ตอนที่ 101 เคล็ดลับอยู่ในมือข้า

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ในคราแรกที่เห็นหลินเว่ยเว่ยโรยเมล็ดข้าวโพดลงในแปลงนาโดยเว้นระยะห่างมากเช่นนั้น หลิวต้าซวนและภรรยาไม่เคยเห็นดีเห็นงามด้วยเลย เขาเพียงคิดว่าเด็กน้อยกำลังเล่นไปเรื่อย แต่คาดไม่ถึงว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาดีกว่าการปลูกแบบถี่ ๆ เสียอีก

หลินเว่ยเว่ยอธิบายว่า การปลูกข้าวโพดถี่เกินไปจะทำให้ลำต้นมีขนาดสูง ใบยาว แต่ขณะเดียวกันก็เปราะบาง อ่อนแอ ความยืดหยุ่นไม่ดีและมักจะหักได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโรคและแมลงต่าง ๆ มากัดกินได้ง่ายด้วย ดังนั้นการปลูกข้าวโพดแบบถี่จนเกินไปจึงไม่ได้หมายความว่ามันจะให้ผลผลิตที่สูง !

หลิวต้าซวนพยักหน้าพลางครุ่นคิด ข้าเห็นข้าวสาลีของบ้านเจ้าก็ปลูกออกมาได้ดีเช่นกัน ผลผลิตที่ได้น่าจะเป็นอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้านเรา เสี่ยวเว่ย ข้าคิดว่าเจ้ามีพรสวรรค์ด้านการเพาะปลูก !

บ้านข้ามีที่ดินน้อยจึงทำให้ปุ๋ยเพียงพอและน้ำถึง อาจเพราะสาเหตุนี้กระมัง หลินเว่ยเว่ยยิ้มจนตาหยี นางแสร้งทำเป็นฉีกยิ้มเยี่ยงคนโง่เขลา

ด้วยความช่วยเหลือของป้ากุ้ยฮวาจึงทำให้รายได้ที่มาจากเนื้อหมูป่าแผ่นอย่างเดียวปาไป 20 ตำลึงแล้ว เนื้อหมูป่าที่ใช้ไม่ต้องเสียเงินซื้อและเสียแค่ค่าเครื่องปรุง ดังนั้นเงิน 20 ตำลึงจึงแทบไม่จำเป็นต้องหักออก เมื่อถึงเวลานับเงินในแต่ละวันนางหวงก็มักรู้สึกว่าตนกำลังฝันอยู่

ทว่าหลินเว่ยเว่ยยังไม่พอใจเพราะนางต้องใช้เวลาในการทำเนื้อหมูแผ่นตั้งแต่เช้าจรดเย็น แม้ตกบ่ายจะมีพี่สาวมาช่วย แต่นางก็ยังรู้สึกว่าเวลามีไม่พออยู่ดี

ท่านแม่เจ้าคะ ข้านำกระทะที่สั่งทำกลับมาแล้ว ข้าอยากจ้างคนมาช่วยทำอีกสัก 2 คน ท่านคิดว่าผู้ใดมีนิสัยและฝีมือเหมาะกับงานนี้บ้าง ? หลินเว่ยเว่ยนั่งอยู่ข้างมารดาพลางมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของมารดาในขณะที่กำลังนับเงิน

นางหวงค่อย ๆ นำเงินเก็บใส่หม้อดินเผาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นำไปซ่อนยังส่วนลึกของเตียงเตาปูน หลังจากได้ยินบุตรสาวกล่าวเช่นนั้น นางหวงก็หันมาพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความลังเล ยังจะจ้างคนมาช่วยอีกหรือ ? คนเยอะก็พูดมาก ถ้ามีผู้ใดนำเคล็ดลับของเราไปลอกเลียน…

ท่านแม่เจ้าคะ เนื้อหมูป่าแผ่นไม่ได้มีเคล็ดลับอันใดนักหรอก แค่มองก็ทำเป็นแล้ว อีกอย่างเหตุใดเนื้อหมูแผ่นของบ้านเราจึงขายได้ในราคานี้ เคล็ดลับก็อยู่ที่เครื่องปรุงในมือข้า แม้ผู้อื่นอยากลอกเลียนก็ทำไม่ได้หรอก ! หากเป็นเรื่องนี้ หลินเว่ยเว่ยยังพอมีความเชื่อมั่นอยู่เพราะนางใช้เครื่องเทศทั้งหมดห้าชนิดและเครื่องปรุงส่วนใหญ่ก็มาจากสมุนไพรในร้านยา ผู้ใดจะคิดว่าสมุนไพรก็สามารถนำมาทำเป็นเครื่องปรุงได้เล่า ?

หลินเว่ยเว่ยพูดต่อด้วยรอยยิ้ม อีกอย่างเนื้อแผ่นของพวกเราก็ทำมาจากเนื้อหมูป่า พวกเขามีเนื้อหมูป่าหรือไม่ ? พวกเขาต้องจ่ายเงินซื้อเนื้อซึ่งราคาแพงโดยไม่ต้องพูดถึง แค่รสสัมผัสก็ห่างชั้นกันแล้วเจ้าค่ะ ! พอถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะไม่สามารถขายได้ สุดท้ายต้องขาดทุนย่อยยับ !

ตอนแรกนางหวงไม่ได้คิดอันใด แต่หลังจากได้ยินหลินเว่ยเว่ยกล่าวเช่นนั้น นางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลเล็กน้อย เช่นนั้น…จะจ้างเพิ่มอีก 2 คนเชียวหรือ ? แต่ถ้าเราจ้างเพิ่มอีก 2 คน ค่าแรงต่อวันก็จะตกอยู่ที่ 90 อีแปะเชียวนะ ต่อไปหากเจ้าล่าหมูป่าไม่ได้ก็ต้องออกไปซื้อมาทำ แล้วต้นทุนของเราจะไม่เพิ่มขึ้นหรือ ?

หลินเว่ยเว่ยจึงพยายามอธิบายให้มารดาฟังอย่างใจเย็น ท่านแม่เจ้าคะ ตอนนี้หมูติดมันมีราคาอยู่ที่ 50 – 60 อีแปะต่อชั่ง หมูหนัก 3 ชั่งสามารถทำหมูแผ่นได้ 1 ชั่ง หมายความว่าราคาหมูแผ่นหนึ่งชั่งอยู่ที่ 160 – 170 อีแปะ

หากพวกเราจ้างคนเพิ่มอีก 2 คนก็จะสามารถทำเนื้อหมูแผ่นได้ถึงหนึ่งร้อยชั่ง แม้จะเป็นหมูแผ่นธรรมดาจำนวนหนึ่งชั่งก็ตกอยู่ที่ 300 อีแปะ กำไรของเนื้อหมูแผ่น 100 ชั่งก็น่าจะอยู่ที่ 12 ตำลึงเจ้าค่ะ!

ถ้าเราไม่จ้างคนเพิ่ม ข้าต้องทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำและไม่ได้ทำงานอย่างอื่นอีกเลย แต่เนื้อหมูแผ่นที่ทำได้มีปริมาณอยู่ที่ 50 ชั่ง กำไรต่อวันอยู่ที่ 6 ตำลึง ถ้าเราไม่ยอมเสียเงิน 90 อีแปะเพื่อจ้างคน เราจะเสียโอกาสในการทำเงินเพิ่มอีก 6 ตำลึงไปเลย เช่นนั้นท่านว่าเราควรจ้างหรือไม่จ้างดีเล่า ?

นางหวงคิดในใจเงียบ ๆ หากจ้างคนมาช่วยจะได้เงินเพิ่มอีกเท่าตัว ถ้าเป็นเช่นนั้นเงิน 90 อีแปะก็ถือว่าคุ้มค่า

ถ้าจะจ้างคนมาช่วย แม่คิดว่าซัวถัวกับหยาเอ๋อร์เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว โดยเฉพาะพี่หยาเอ๋อร์ของเจ้า แม่เห็นนางมาตั้งแต่เด็ก นางเป็นคนซื่อสัตย์และทนต่อความลำบากได้ นางเป็นลูกกำพร้าพ่อที่มีแต่แม่ ในแต่ละวันต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หากเราช่วยอันใดได้ก็ควรจะช่วย จริงหรือไม่ ! นางหวงส่ายหน้าเบา ๆ เพราะในแต่ละครอบครัวย่อมมีปัญหาของตน

หยาเอ๋อร์คนนี้สูญเสียบิดาไปตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ผ่านไปได้ไม่นานหลังจากที่น้องชายคนเล็กออกไปเล่นบริเวณหน้าหมู่บ้านก็โดนหมาในคาบไป มารดาของนางก็ตาบอด นอกจากนี้นางยังมีน้องชายอายุ 8 และ 7 ขวบให้ดูแลอีก ดังนั้นเด็กสาวอายุ 16 ปีผู้นี้จึงต้องแบกรับภาระราวกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง

โชคดีที่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาฝนตกต้องตามฤดูกาล การเก็บเกี่ยวผลผลิตในที่ดินรวมถึงการเก็บผักป่าและผลไม้ป่าในละแวกนี้จึงทำให้ครอบครัวของหยาเอ๋อร์สามารถก้าวผ่านมาได้ ตอนนี้น้องชายทั้งสองของนางก็สามารถช่วยงานได้แล้ว ส่วนมารดาที่ตาบอดก็สามารถลูบคลำทำงานบ้านได้บ้าง แต่แล้วก็ต้องมาเผชิญกับภัยแล้งในปัจจุบัน…

ผลผลิตส่วนใหญ่ของคนในหมู่บ้านไม่มีสิ่งใดให้หวัง แปลงนา 2 หมู่ของหยาเอ๋อร์ก็จ่ายได้แค่ค่าภาษีเท่านั้น หยาเอ๋อร์จึงต้องพาน้องชายทั้งสองเข้าไปเก็บผักป่าตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน ได้ยินว่าช่วงหลายวันมานี้นางต้องต้มผักป่าประทังชีวิตเพราะข้าวไม่เหลือแล้ว

หลังได้ยินเช่นนั้นหลินเว่ยเว่ยก็พยักหน้ารับทันที ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะออกไปถามว่าพวกนางอยากทำหรือไม่

หนึ่งวันทำงาน 4 ชั่วยามก็ได้เงิน 30 อีแปะแล้ว คนโง่เท่านั้นถึงจะไม่ทำ โดยเฉพาะหยาเอ๋อร์ที่แทบเหมือนคนโดนแป้งทอดตกใส่ศีรษะ เพราะเงิน 30 อีแปะสามารถซื้อธัญพืชหยาบได้ 2 ชั่งและมันก็สามารถทำให้พวกนางทั้งสี่ได้อิ่มท้อง หากทำต่ออีกสองสามเดือนและประหยัดเงินหน่อย พวกนางก็จะไม่ต้องทนหิวในฤดูหนาวแล้ว

บ่ายวันนั้น ซัวถัวและหยาเอ๋อร์ก็พากันมาที่บ้านตระกูลหลิน หลินเว่ยเว่ยสอน ‘เคล็ดลับการทำเนื้อหมูป่าแผ่น’ ให้พวกนาง พูดง่าย ๆ ก็คือไม่ได้มีเคล็ดลับอันใดมากมาย แต่สิ่งสำคัญคือวิธีคุมไฟ เนื่องจากสตรีสองคนนี้คุ้นชินกับงานครัวอยู่แล้วจึงสามารถทำได้โดยลองฝึกแค่ไม่กี่คราเท่านั้น

หลินเว่ยเว่ยให้พวกนางไปช่วยป้ากุ้ยฮวาสับเนื้อหมู เดิมทีก่อนที่ซัวถัวและหยาเอ๋อร์จะมาช่วยงาน ป้ากุ้ยฮวาต้องสับเนื้อให้ได้อย่างน้อยวันละเกือบ 200 ชั่ง ดังนั้นแขนทั้งสองข้างจึงบวมไปหมด ตอนนี้ค่อยดีหน่อย เพราะหลังจากทั้งสามคนช่วยกันทำงานจึงได้สับเนื้อทุกสามวันครั้งเท่านั้น ป้ากุ้ยฮวาจึงสบายขึ้นมาก

ทั้งสามคนรวมกับพี่สาวคนโตอีกหนึ่ง พวกนางก็สามารถทำเนื้อหมูป่าแผ่นได้วันละ 100 ชั่ง หนิงตงเซิ่งเปิดร้านสาขาสองอยู่ในตัวอำเภอ อย่าว่าแต่ 100 ชั่งเลยเพราะแม้จะมีมากกว่านี้ก็ไม่พอขายสำหรับเขา แต่เขาก็เข้าใจหลักการที่ว่าของดีย่อมหายาก ดังนั้นเขาจึงติดป้ายหน้าร้านว่า ‘เนื้อหมูป่าแผ่นหมดแล้ว’ อยู่เสมอ

ยิ่งเศรษฐีในอำเภอหาซื้อได้ยากเท่าไร ก็ยิ่ง ‘จดจำ’ ว่าเนื้อหมูป่าแผ่นเป็นของดี ไม่ว่าจะนำไปเป็นของขวัญหรือใช้ต้อนรับแขกก็ถือว่ามีหน้ามีตาทั้งสิ้น บัดนี้หนิงตงเซิ่งจึงเป็นบุคคลที่พึงต้อนรับของทางอำเภอสุด ๆ แต่ละคนต่างเชิญเขาไปร่วมกินข้าว ฟังบทกวี เที่ยวหอนางโลม…จนเขาไม่มีเวลาได้พักเลย ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการผูกมิตรด้วยเพราะเวลาต้องการสินค้าในร้านของเขาก็จะสามารถสั่งจองเนื้อแผ่นหรือผลไม้อบแห้งต่าง ๆ ได้ล่วงหน้านั่นเอง

ลานบ้านติดกำแพงทางฝั่งตะวันออกของตระกูลหลินมีเพิงไม้อยู่สามหลัง ด้านในถูกวางไว้ด้วยกระทะสามใบ บางครั้งเวลาที่กระทะทั้งสามใบถูกใช้งานพร้อมกัน กลิ่นหอมอันเย้ายวนของเนื้อก็แทบจะเรียกได้ว่า ‘แม้ผ่านไปสามวัน รสสัมผัสก็ยังติดอยู่ในลำคอ ! ’

คนในหมู่บ้านต่างรู้ว่าตระกูลหลินกำลังทำของกินชนิดใหม่อยู่และนำมันไปขายในเมือง พวกเขาอยากรู้อยากเห็นกันมากว่าของกินที่หอมถึงเพียงนี้จะเป็นสิ่งใด ? และตระกูลหลินสามารถทำเงินก้อนโตได้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นจะจ้างคนถึงสามคนไปช่วยงานได้อย่างไร ?

ในแต่ละวัน หลังออกจากบ้านตระกูลหลินแล้ว ป้ากุ้ยฮวากับซัวถัวจะต้อง ‘บังเอิญ’ เจอพวกญาติที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวมาคอยถามถึงเรื่องของตระกูลหลิน ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ถามว่าตระกูลหลินต้องการจ้างคนงานเพิ่มหรือไม่

ตอนต่อไป