นที่ 60 ความจริงของศิลานักปราชญ์
——–
(EX Note : ขอแก้ชื่อ ทีโมรี่ เป็น เทรมอย)
——
คืนหนึ่งหลังมื้อเย็นของบ้านเดอ เมดิซิส ขณะที่ฟาร์มากำลังคุยกับปาลเล่เกี่ยวกับเคสของผู้ป่วยที่เขาดูแล เขาก็ได้ถูกบรูโนเรียกเข้าพบที่ห้องทำงาน
“ท่านพ่อมีอะไรหรือเปล่านะ?”
“ฟาร์มานายแอบไปทำอะไรน่าสงสัยมาหรือเปล่าเนี่ย?”
ขณะที่ถูกปาลเล่ล้อเล่นใส่ ฟาร์มาก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาขณะมุ่งหน้ายังห้องทำงานของบรูโน
“เรียกผมเหรอครับ ท่านพ่อ?”
บรูโนแสดงสีหน้าที่เคร่งขรึมออกมา
“ดูเหมือนท่านเทรมอยจะลาออกจากการเป็นแพทย์โอสถหลวง เจ้ามีส่วนในเรื่องนี้หรือไม่?”
บรูโนจ้องไปที่ฟาร์มาระหว่างรอคำตอบของเขา
ฟาร์มาอยากจะบอกเหลือเกินว่า ฮิวโก้เข้ามาโจมตีเขา เขาก็เลยจำเป็นต้องตอบโต้กลับไปจนท้ายที่สุดฮิวโก้ก็มีสภาพดูไม่จืดเลยทีเดียว
แต่เขาก็หยุดความคิดนั้นไปเสียก่อน
“คือว่า….เกี่ยวกับเรื่องนั้น …”
จะบอกว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ใช่จะได้
แต่ถึงฟาร์มาไม่พูดอะไรให้ชัดเจนออกไป บรูโนก็ดูท่าจะทราบเรื่องอยู่ก่อนแล้วจึงได้ตำหนิฟาร์มา
“ตอนนี้ แพทย์โอสถหลายๆ คนก็ได้รู้ถึงความสามารถของเจ้าดีอยู่แล้วในฐานะแพทย์โอสถหลวงที่มีความสามารถสูง และพ่อก็อยากให้เจ้าคิดถึงองค์จักรพรรดินีให้มากๆ ด้วย ถึงแม้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาทั้งหมดจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ใช่ว่าคนภายในวังเขาจะเชื่อและยอมรับกันเสียทุกคน เพราะบางครั้งสิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นอาจจะไม่ใช่ความจริง จงระลึกไว้เสมอว่าตัวตนของเจ้าครึ่งหนึ่งนั้นก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ การจะไปเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจทางการเมืองขนาดนั้นอาจจะไม่ใช่ผลดีต่อเราและราชสำนักก็ได้”
“ที่ท่านพ่อพูด..ก็ถูกครับ”
ฟาร์มาตั้งใจฟังคำอธิบายของบรูโน เพราะฟาร์มามั่นใจว่าบรูโนจะต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยไปด้วย เนื่องจากไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างข้าหลวงระดับสูงขอลาออกจากตำแหน่งไปก่อนการเกษียณโดยสมัครใจมาก่อนเลย จึงไม่แปลกที่หลายคนจะมุ่งเป้าไปยังบรูโนผู้อาจจะเป็นคนชักใยอยู่หลังฉากของเหตุการณ์นี้
“อย่าได้ต่อสู้กับเหล่าข้าราชบริพารในวัง แม้เจ้าจะรู้สึกรำคาญคนพวกนั้นบ้างแต่จงอย่าได้ดูหมิ่น วิพากษ์วิจารณ์ หรือเมินเฉยพวกเขาโดยไม่จำเป็น เพราะถ้าเจ้าทำเช่นนั้นจะเป็นการสร้างศัตรูขึ้นมาอย่างไม่จบสิ้น ให้คิดถึงตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าในตอนนี้ให้ดีๆ”
“ผมจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจครับ”
บางทีความคิดเห็นจากบรูโนอาจจะเปลี่ยนไปหากเขาได้รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ และเชื่อว่าการกระทำของฟาร์มานั้นมันมีเหตุและผลของมัน แต่บรูโนที่ไม่ทราบความจริงของเรื่องนั้นอย่างหมดจดจึงได้ตำหนิฟาร์มาไป ดังนั้นฟาร์มาจึงทำได้เพียงรับฟังคำตำหนิแต่โดยดี
“งั้นเดี๋ยวผมจะส่งจดหมายขอโทษไปให้ท่านดยุกเทรมอยเองครับ”
บรูโนเหมือนต้องการจะไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้จบด้วยดี ตัวฟาร์มาที่มีแผนจะเข้าไปพบกับฮิวโก้อยู่แล้วจึงได้ตามน้ำบรูโนไป
——–
ด้วยเหตุนี้เองฟาร์มาจึงได้ทำการเขียนจดหมายขึ้นอย่างจริงจังขณะอยู่ที่ร้านขายยาต่างโลก โดยมีลอตเต้นำขนมหวานและน้ำชามาเสิร์ฟ
“ท่านฟาร์มากำลังเขียนจดหมายถึงใครอยู่เหรอคะ?”
จดหมายนั้นจะถูกนำมาใช้ในกรณีที่นกพิราบสื่อสารไม่สามารถใช้ได้ เพราะตัวของนกพิราบนั้นจะถูกสอนให้เดินทางเป็นเส้นเดียวระหว่างต้นกับปลายทาง นั่นหมายความว่าจะสามารถใช้ได้กับผู้ที่ติดต่อกันอยู่เป็นประจำเท่านั้น แถมหากฝืนส่งนกตัวที่ยังไม่ได้ถูกฝึกมาดีนัก ปลายทางของข้อความอาจจะไม่สามารถถูกส่งไปถึงก็ได้ ในกรณีนี้การใช้จดหมายจึงดีกว่าเป็นอย่างมาก แต่ถึงจะบอกไปแบบนั้นการใช้จดหมายเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากในปัจจุบันเช่นกัน
“ฟาร์มาคุงกำลังเขียนจดหมายอะไรอยู่น่ะ …”
เอเลนที่อยู่เหนือหัวของเขากำลังก้มลงมามอง
“ผมกำลังจะเข้าไปเยี่ยมคุณฮิวโก้น่ะ ก็เลยจะเขียนไปแจ้งให้เขาทราบ”
ฟาร์มาได้เล่าถึงความสัมพันธ์ของเขากับฮิวโก้ให้เอเลนฟังโดยปิดบังเนื้อหาส่วนหนึ่งเอาไว้ด้วย
“ฉันว่าแบบนั้นมันน่าสยองไปหน่อยนะที่นายจะไปเจอเขาหลังจากอัดเขาซะยับแบบนั้น บางทีเขาอาจจะคิดก็ได้ว่าที่นายมาเยี่ยมรอบนี้คือตามมาเก็บเขา”
แต่ฟาร์มาก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย
“เพราะแบบนั้นผมก็เลยเขียนจดหมายนี้ขึ้นมาไง เขาจะได้ไม่ต้องกังวลแล้วตกใจพอผมไปถึงที่นั่น”
เธอนึกถึงหน้าของเจ้าหน้าที่จากราชสำนักที่ต้องรับจดหมายจากฟาร์มาไปส่งแล้วก็อดเป็นกังวลไม่ได้
“ถ้าเป็นฉันนะคงจะใจตกไปถึงตาตุ่มเลยแหละ ยิ่งไปกว่านั้นฉันเชื่อเลยว่านั่นไม่ใช่อะไรนอกจากการประกาศศึกถึงถิ่นตัวเอง”
เอเลนบ่มพึมพำกับฟาร์มาผู้ไม่ได้เข้าใจถึงเรื่องนี้เลย
“เดี๋ยวฉันจะตามนายไปด้วย เพราะนายไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในถิ่นศัตรูแบบนั้น”
(แต่แบบนี้ไม่ใช่ว่าเอเลนจะตกอยู่ในอันตรายถ้าไปกับเราหรอกเหรอ)
ฟาร์มาไม่ได้คิดว่าเอเลนจะเป็นภาระสำหรับเขา เพียงแต่เขาไม่อยากให้เอเลนต้องมาตกอยู่ในอันตรายด้วย
“อีกฝ่ายก็ใช้ศาสตร์แห่งเทพไม่ได้แล้วด้วย ไม่เห็นต้องกังวลขนาดนั้นเลย”
หากผู้ต้องพึ่งพาพลังจากเหล่าเทพอย่างฮิวโก้ถูกช่วงชิงความสามารถดังกล่าวไป ตัวตนของเขาก็ไม่ต่างไปจากสามัญชนธรรมดา ด้วยช่วงวัยแล้วความสามารถเชิงกายภาพยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะให้เทียบฟาร์มากับตัวเขาแล้ว ต้องบอกว่าเป็นผืนดินกับท้องฟ้าเลยก็ว่าได้ และด้วยประสาทสัมผัสของตัวฟาร์มาที่ถูกเร่งให้ถึงขีดสุดย่อมรู้สึกตัวได้ทันทีหากตนนั้นตกอยู่ในวิกฤต
“แต่จะทำยังไงกับการโจมตีทางกายภาพล่ะ เช่นพวกเครื่องยิงอะไรอย่างนั้น”
“งั้นดูนี่นะ”
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครแถวนี้นอกจากเอเลน เขาจึงได้ใช้ปากกาของตัวเองแทงเข้าไปที่แขนของเขา ผลที่ได้คือปากกานั้นได้ทะลุของแขนของฟาร์มาไปและแทงเข้ากับโต๊ะที่อยู่ด้านใต้แทน
“อ-เอ๋?! นั่นมันอะไรน่ะ ร่างกายของนายมันยังไงกันแน่…”
“นั่นแหละที่ผมก็อยากรู้”
นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาอยากจะทำความเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นเพราะอะไร ถึงเขาจะอาศัยอยู่ในร่างนี้ แต่มันก็หาใช่ร่างที่แท้จริงของเขาไม่ เรื่องการโจมตีทางกายภาพที่สามารถผ่านทะลุตัวเขาไปอีกยิ่งเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดขึ้น
“แต่จะประมาทแบบนั้นก็ไม่ได้นะ กับศัตรูที่เราไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรแล้วด้วยแบบนี้”
เอเลนก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี ฟาร์มาก็เข้าใจถึงความกังวลของเธอ
“ขอบคุณสำหรับความกังวลนั้นนะ เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากจะตามผมมาจริงๆ ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะรู้ไว้ก่อน เอเลนคุณกลัวความสูงหรือเปล่า?”
“นายหมายความว่ายังไง?”
เอเลนมีลางสังหรณ์แปลกๆ ซึ่งมันออกมาเป็นความกังวลผ่านสีหน้าของเธอเอง
“ก็แค่อยากจะแน่ใจก่อนเลยถามน่ะ”
หลังจากวันนั้นเอเลนก็รู้สึกเสียใจไม่หายจากเรื่องที่เธอตกปากรับคำจะตามเขาไป
วันต่อมาทั้งคู่ได้บินผ่านท้องฟ้าที่สดใสด้วยความเร็วสูง
“กรี๊ดดด! ที่นายถามฉันเรื่องนั้นเพราะแบบนี้เองสินะ!!!?”
เอเลนกรีดร้องไม่หยุดขณะที่อยู่ข้างหลังของฟาร์มา ตัวของเอเลนไม่สามารถสัมผัสกับคทาแห่งเทพโอสถได้โดยตรง เธอจึงได้ทำการเกาะไหล่ของฟาร์มาเอาไว้แล้วนั่งบนคทาที่เตรียมมาอีกชิ้นซึ่งต่อเข้ากับคทาแห่งเทพโอสถราวกับเป็นที่นั่งแถวหลังแทนขณะบิน
“หยุดนะ!! จะตกแล้วๆ!”
บรรยากาศที่ดีช่างเป็นใจราวกับทั้งสองกำลังออกเดตกันกลางอากาศ
“นี่นายช่วยบินช้ากว่านี้หน่อยจะได้ไหม แน่ใจเหรอว่านี่คือช้าของนายแล้วน่ะ ไม่ใช่ว่ามันจะเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
ฟาร์มานั้นคุ้นเคยกับความเร็วระดับนี้อยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่ความคิดในเรื่องของความเร็วจะต่างกับเอเลน
“ฮึ-ฮือออออ!”
“ช่วยทนอีกนิดหนึ่งก็แล้วกันนะ หายใจเข้าให้ลึกๆ ระหว่างที่จับไหล่ผมอยู่หากกลัวที่จะมองลงไปข้างล่าง ก็พยายามมองขึ้นข้างบนแทน น่าจะได้ช่วยบ้างนะ”
ฟาร์มาไม่ได้สนใจเอเลนที่กำลังกรีดร้องอยู่ในระหว่างที่เขากำลังตรวจสอบแผนที่การเดินทางที่จะมุ่งไปยังเขตแดนของฮิวโก้ จนในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงด้วยความรวดเร็ว
พอทั้งสองร่อนลงถึงพื้น เอเลนก็ถึงกับทรุดลงที่พื้นก่อนจะพูดออกมาว่า ” ฮึก..ขอพักหายใจหน่อย…” แล้วว่าร่ายศาสตร์แห่งเทพสร้างน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับลำคอของเธอ
ขณะกำลังสังเกตปราสาทโดยมีเอเลนอยู่ข้างๆ ฟาร์มาก็พูดขึ้น
“นั่นมัน มง แซ็ง-มีแชล หรือไงน่ะ….มาสร้างสถานที่แบบนี้เอากลางทะเลเลยหรือเนี่ย?”
ที่พักอาศัยของฮิวโก้นั้นชวนให้นึกถึงป้อมปราการทางทะเล ซึ่งมันเป็นเกาะขนาดเล็กที่คล้ายกับกำลังลอยอยู่เหนือทะเล มีกำแพงล้อมรอบสถานที่ดังกล่าว ในส่วนของตัวปราสาทนั้นสร้างให้มีลักษณะหอคอยสูงต่ำสลับไปมาอย่างซับซ้อน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นป้อมปืนและเวรยามบริเวณรอบกำแพงได้อย่างชัดเจน โดยมีทางเข้าออกเพียงแห่งเดียวซึ่งเป็นประตูขนาดใหญ่ทอดยาวเป็นทางเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่
“สถานที่ตั้งซึ่งถูกล้อมไปด้วยน้ำจะช่วยให้ระบบเกราะป้องกันที่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุวารีสร้างสามารถป้องกันตัวเองและปกป้องดินแดนได้ง่ายขึ้นนะ”
เอเลนอธิบายขณะกำลังกลืนน้ำลาย
ฟาร์มาเลยนึกขึ้นได้ว่าคฤหาสน์ของเดอ เมดิซิสนั้นก็หันเข้าไปทางแม่น้ำในลักษณะเดียวกันแถมสวนสมุนไพรของพวกเขาก็ตั้งอยู่บริเวณใกล้ของแม่น้ำอีกด้วย
“แล้วมันเป็นศาสตร์แห่งเทพแบบไหนกันเหรอ?”
เขาสงสัยเกี่ยวกับมันเพราะก่อนหน้านี้เอเลนไม่ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ให้เขาฟังชัดเท่าไรนัก
เอเลนจึงได้อธิบายถึงรายละเอียดของการป้องกันโดยใช้ศาสตร์แห่งเทพรูปแบบนี้คือการนำพลังมาใช้กับพื้นที่รอบดินแดนของตน โดยเป็นที่ทราบกันดีว่ามันจะทำงานโดยอัตโนมัติจากการร่ายลงสิ่งของบางอย่างเป็นตัวกำหนดการทำงาน ซึ่งจะมีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงตามที่ผู้ร่ายตั้งไว้
(คิดง่ายๆ ก็เหมือนกับการวาดวงเวทขึ้นสินะ)
ฟาร์มาพอจะเข้าใจคำอธิบายนี้อย่างคร่าวๆ
“หากนายทำการตั้งค่ามนตร์ดังกล่าวไว้ล่วงหน้า เช่นให้มันสามารถตรวจจับผู้บุกรุกที่เข้ามาโดยไม่ผ่านประตูหลัก หากมีกรณีนั้นเกิดขึ้นตัวมนตร์ก็จะทำการใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุวารีโดยนำทรัพยากรมาจากพื้นที่โดยรอบโจมตีคนคนนั้น คฤหาสน์ของตระกูลเดอ เมดิซิสก็เป็นแบบนั้นนะ”
“แบบนั้นเหรอ? สะดวกสบายพอตัวเลยนะเนี่ย”
(ถ้าแบบนี้คุณซาโลม่อนหรือคนอื่นๆ เคยเอาของแบบนี้ไปใช้ในทางอื่นด้วยไหมนะ?)
ฟาร์มานึกไปถึงตอนที่พบกับซาโลม่อนครั้งแรกตอนเขายังเป็นคณะผู้ไต่สวนซึ่งเข้ามาโจมตีฟาร์มา โดยการติดตั้งกับดักขึ้นในรูปแบบที่คล้ายกับบาเรียปิดผนึก และอื่นๆ อีกมากมายที่รุนแรงพอสมควรเลย
“ถ้างั้นเราเข้าไปทางประตูหลักกันเลยไหม?”
เพราะมันคงไม่ดีแน่หากพยายามจะแอบลอบเข้าไปแล้วโดนจับได้ แถมยังต้องรับมือกับระบบป้องกันจากศาสตร์แห่งเทพอีก
“ก็คงมีแค่ทางนั้นแล้วล่ะนะ ไม่งั้นก็ต้องไปรับห่ากระสุนศาสตร์แห่งเทพแทน จะว่าไปแบบนี้ไม่ใช่ว่าเราจะมาถึงก่อนที่จดหมายของนายส่งมาถึงหรือเปล่าเนี่ยฟาร์มาคุง?”
เนื่องจากจักรวรรดินั้นมีบริการรับส่งจดหมายกันอยู่แล้ว โดยจดหมายของเขานั้นจะนำส่งโดยเจ้าหน้าที่ของทางการ และหากเป็นจดหมายที่ถูกเขียนโดยชนชั้นสูงระดับสูงด้วยแล้ว เวลารับส่งนั้นย่อมสามารถคาดการได้อย่างง่ายดายกว่าเดิม
“จากที่ผมคำนวณดูแล้วขณะนี้เขาน่าจะได้รับแล้วกำลังอ่านจดหมายนั่นอยู่พอดีเลย”
“นี่กะไม่ให้ท่านฮิวโก้เขาหนีได้เลยหรือไง”
เอเลนรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง จากการที่ฟาร์มาไม่แม้แต่จะมอบเวลาพักหายใจให้กับฮิวโก้
ว่าแล้วทั้งสองก็เดินทางไปยังประตูหลักของป้อมปราการทางทะเลเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย ยิ่งเขาเข้าใกล้ปราสาทมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันไม่พึงประสงค์ราวกับไม่อยากต้อนรับผู้ใดมากยิ่งขึ้น
(ความรู้สึกแปลกๆ นี่มันอะไรกันนะ แต่เราไม่ควรกังวลมากจนเกินไป ถึงจะสัมผัสมันได้บ้างก็เถอะ)
ขณะกำลังนึกถึงสิ่งที่เขาสัมผัสได้ ฟาร์มาก็ถือเครื่องขยายเสียงขึ้นก่อนจะเรียกคนเฝ้าประตูทั้งสองที่กำลังเฝ้าทางเข้าออกนั้นอยู่ ดูท่าปราสาทนี้จะมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดพอสมควร จากการที่เห็นเวรยามจำนวนมากอยู่บนกำแพง
“สวัสดีครับ ถึงแม้จะส่งจดหมายมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ต้องขออภัยที่เข้ามาพบอย่างกะทันหันนะครับ ผมฟาร์มา เดอ เมดิซิส เป็นแพทย์โอสถหลวงครับ ขอผมเข้าพบท่านดยุกเทรมอยได้หรือเปล่าครับ?”
“ท่านเจ้าปราสาทขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ”
แม้ยามเฝ้าประตูจะประหลาดใจที่เด็กชายคนนี้เป็นถึงแพทย์โอสถหลวง แต่เขาก็ตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“เข้าใจแล้วครับ ว่าแต่เขาจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ?”
“พวกเราทราบเพียงว่าท่านจะจากไปสักพักหนึ่งเท่านั้นเองครับ”
พอได้คำตอบมาว่าท่านดยุกออกไปข้างนอกเป็นเวลานานพอสมควร เขาก็มองว่าคงต้องแสร้งเป็นถอยก่อนในตอนนี้
“ช่วยไม่ได้สินะครับ งั้นไว้ผมค่อยกลับมาใหม่ครั้งหน้าแล้วกันนะครับ”
สีหน้าของยามเฝ้าประตูแสดงอาการโล่งใจออกมา ขณะที่ฟาร์มานั้นได้ยินเสียงอันแผ่วเบามาจากระยะไกล ก่อนจะมองขึ้นไปยังป้อมปราการที่สูงตระหง่าน แล้วเขาก็จับมือของเอเลนไว้ก่อนจะส่งพลังแห่งเทพไปที่คทาแห่งเทพโอสถ
“มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?”
เอเลนถามฟาร์มา
“แล้วมันอะไรล่ะ?”
ฟาร์มาที่จับมือของเอเลนเอาไว้ได้ทำการกระโดดขึ้นไปยังห้องของฮิวโก้ ผ่านหน้าต่างที่กำลังแง้มเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นเร็วมากจนยามเฝ้าประตูมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น
“้เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
ยามทั้งสองมองหน้ากันด้วยความงุนงง
“ว๊ากก!!”
ฮิวโก้ถึงกับตะโกนออกมาด้วยความตกใจ จากการบุกเข้าประชิดตัวของฟาร์มาจากระยะไกล จนกรีดร้องออกมาก่อนจะถอยหนีไปชนเข้ากับมุมห้องแล้วทรุดตัวลง
“สวัสดีครับท่านดยุกเทรมอย”
ฟาร์มากล่าวคำทักทาย แน่นอนว่าฮิวโก้ใช่ว่าจะสนและพยายามหาทางหนี แต่นั่นก็ไร้ประโยชน์เสียแล้วเพราะเส้นทางการหลบหนีได้ถูกฟาร์มายืนปิดทางไว้แล้ว
“นะ-นี่เจ้าหาที่นี่เจอได้ยังไงกัน!?”
ฮิวโก้มองไปที่ฟาร์มาก่อนที่น้ำตาของเขาจะเริ่มซึมออกมา
“ก็เหมือนที่ผมได้บอกไปทางจดหมายนั่นแหละครับ ผมมีคำถามสองถึงสามข้ออยากจะถามคุณ แล้วพอดีผมเห็นว่าคุณกำลังมองพวกเราจากทางหน้าต่างนี้ อันที่จริงถ้าจะแสร้งว่าไม่อยู่ก็ไม่ควรจะแอบมองพวกเราจากทางหน้าต่างนะครับ เพราะมันทำให้พวกเราเห็นคุณเข้าจนได้”
ฟาร์มาเก็บคำแนะนำของบรูโนเอาไว้ในใจขณะพูดกับฮิวโก้ แน่นอนว่าต้องมีความสุภาพและปล่อยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มันผ่านไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
“ระ-เรื่องนั้นข้าก็เข้าใจอยู่หรอก แต่ …”
ฮิวโก้ได้แต่ตกตะลึงจากความกลัวและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจากนั้นอีกดี ขนาดเอเลนยังรู้สึกกลัวการกระทำของฟาร์มาเลย นับประสาอะไรกับฮิวโก้กันล่ะ
“…ละ-แล้วนี่คิดจะทำอะไรกับข้ากัน!”
ฮิวโก้กล่าวขณะที่กำลังนั่งเอามือกุมหัวจนสั่นไปมา
ฟาร์มารู้สึกเสียใจก่อนจะตอบกลับไป ” ก็เหมือนที่ผมได้เขียนในจดหมายไปนั่นแหละครับ ได้โปรดอย่ากังวลการที่ผมเข้ามาพบในวันนี้เลย “
“ผมรู้แล้วว่าคุณได้ทำการชดใช้ให้เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุที่ถูกหลอกทั้งหมดแล้ว ดังนั้นผมก็ไม่ติดใจอะไรแล้วครับ แถมจะไม่เอาเรื่องนี้ไปรายงานจักรพรรดินีด้วย”
อีกเหตุผลหนึ่งที่เขามาเยี่ยมฮิวโก้ก็เพื่อตรวจสอบเรื่องอาการทางจิตของฮิวโก้ที่เป็นข่าวลืออยู่ในวังด้วยว่าจริงหรือไม่ เมื่อฟาร์มาใช้ดวงตาวินิจฉัย เขาก็เห็นแสงสีฟ้าอ่อนๆ ในหัวของฮิวโก้
“ความเครียดเฉียบพลัน”
แต่การวินิจฉัยไม่ได้พบเพียงแค่นั้น สิ่งที่ฟาร์มาเป็นกังวลที่สุดนั่นคืออาการที่จะเกิดขึ้นหลังโรคความเครียดเฉียบพลัน เพราะอาการเครียดดังกล่าวจะเกิดขึ้นมาจากการที่สมองนึกย้อนไปถึงอดีตของสิ่งที่ผู้ป่วยเคยพบ และส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะนำพาไปสู่เหตุการณ์นั้นแล้วหากมันมีมากจนเกินไป เช่นเหตุการณ์ที่ฮิวโก้ได้รับผลกระทบทางจิตใจขั้นรุนแรงจากฟาร์มา จนทำให้มีอาการนอนไม่หลับและตื่นตระหนกเมื่อเห็นฟาร์มา หากภาวะดังกล่าวยังคงอยู่ท้ายที่สุดมันอาจจะพัฒนาไปถึงขั้นอาการ PTSD (ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ) เพราะคิดถึงเรื่องของฮิวโก้ต่อจากนี้ ฟาร์มาก็ไม่คิดจะลงโทษเขาจนไม่สามารถกลับมายืนได้อีกครั้งเสียหน่อย
ทักษะและความสามารถของฮิวโก้ในฐานะแพทย์โอสถนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้ ถึงเขาจะเกษียณตัวเองไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถกลับไปเป็นแพทย์โอถสหลวงได้อีกเสียหน่อย จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ก็น่าเสียดาย
“ระ-เรื่องในตอนนั้น ได้โปรดยกโทษให้กับข้าด้วยเถิด….”
ฮิวโก้ยอมจำนนทั้งน้ำตาเพื่อขอให้ฟาร์มายกโทษให้กับตน ฟาร์มาก็เอาแต่นึกว่านี่อาจจะกลายเป็นความผิดของเขาไปทั้งชีวิตหากฮิวโก้เป็นเช่นนี้ต่อไป แค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว
“จนถึงวันนี้ผมคิดว่ามันคงเพียงพอแล้วครับ ผมเชื่อว่ามันถึงเวลาที่จะกลับมาเปิดชีพจรแห่งเทพให้คุณสักที เพราะยังไงคุณก็ซ่อนเรื่องที่สูญเสียพลังแห่งเทพไปตลอดไม่ได้ด้วย”
นั่นอาจจะเป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่ยามเฝ้าประตูปิดบังเรื่องที่ฮิวโก้หลบซ่อนภายในปราสาทด้วยก็ได้
“แล้วก็เหตุผลอีกอย่างที่ผมมาที่นี่ เพราะอยากจะถามถึงเหตุผลที่คุณไปหลอกคนแบบนั้นครับ หากคุณตอบมันด้วยความสัตย์จริง ผมก็จะเปิดชีพจรแห่งเทพให้ใหม่ครับ”
ฟาร์มาเสนอเงื่อนไขสำหรับสิ่งที่เขาจะมอบให้
“เรื่องศิลานักปราชญ์นั่นเหรอ…”
“ศิลานักปราชญ์พวกนั้นมันเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้นเลย”
เอเลนพูดแทรกขึ้นมา
“ข้าก็แค่อยากจะหาผู้ที่สามารถสร้างศิลานักปราชญ์ขึ้นมาได้จริงๆ ก็เท่านั้น”
แล้วฮิวโก้ก็เล่าเรื่องของเขาให้ฟาร์มาฟัง อย่างแรกเขาได้ทำการป่าวประกาศว่าตนนั้นได้ทำการสร้างศิลานักปราชญ์ขึ้นมาได้สำเร็จและทำการรวบรวมเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุที่สนใจในศิลานักปราชญ์ขึ้นมา เพื่อหาตัวผู้ที่สามารถสังเคราะห์ศิลานักปราชญ์ขึ้นมาได้จริงๆ แน่นอนว่าคนคนนั้นจะต้องป่าวประกาศว่าสิ่งที่เฮอร์เมสทำขึ้นมานั้นเป็นของปลอม ตัวเขากำลังมองหาคนเช่นนั้นอยู่
(ก็ไม่รู้หรอกนะว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่เพราะแบบนี้….)
“ว่าแต่ทำไมคุณต้องการค้นหานักเล่นแร่แปรธาตุที่สามารถสังเคราะห์ศิลานักปราชญ์ขึ้นมาได้ด้วยล่ะครับ คิดจริงๆ เหรอครับว่าสิ่งนั้นมันมีอยู่จริงๆ?”
ยิ่งถามฟาร์มาก็ยิ่งสับสน
“ความเป็นไปได้ที่จะสังเคราะห์ศิลานักปราชญ์น่ะมันมีอยู่แล้ว แต่มันก็แลกมากับสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก…”
น้ำเสียงของฮิวโก้ที่แย้งออกมานั้นมีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะทำการดื่มไวน์ที่อยู่ใกล้ๆ เข้าไปหนึ่งอึก วินาทีนี้ฟาร์มาสัมผัสได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาพูดนี้อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เรื่องโกหก
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913
Note 2 : งานเยอะจริงจังครับ