นที่ 61 หนทางสู่ความเป็นอมตะ

ทั้งฟาร์มาและเอเลนต่างเกือบลืมหายใจขณะที่ได้ฟังเรื่องราวจากฮิวโก้

“แม้ตอนแรกข้าจะไม่แน่นักเกี่ยวกับตัวตนของศิลานักปราชญ์ ที่ลือกันในหมู่ของนักเล่นแร่แปรธาตุ แต่ท้ายที่สุดข้าก็ต้องเปลี่ยนความคิดนั้นเมื่อได้เห็นคริสทัลที่อยู่ก้นของทะเลสาบใต้ดินนั้น”

สืบเนื่องจากฮิวโก้ได้ยินมาจากเจ้าของที่ดินคนก่อนว่าผืนดินของอาคารนั้นต้องสาปเนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารบนผืนดินนั้นเกิดการกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว จนทำให้ฮิวโก้ซื้อที่ดินนั้นมาด้วยความอยากรู้ เขาได้ใช้ทั้งทรัพยากรและแรงงานจำนวนมากในการขุดค้นจนท้ายที่สุดเขาก็ได้พบกับทะเลสาบที่มีกรดซัลฟิวริกอยู่ ก่อนจะพบเข้ากับคริสทัลเหล่านั้นในเวลาต่อมา

(ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียวทำให้เกิดการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้เลยหรือ)

แม้การกระทำของเขาจะถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่หากประเมินถึงความสำเร็จก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียว

“ความพิเศษของคริสทัลเหล่านี้คือมันจะบรรจุความทรงจำของคนที่ตายเอาไว้ ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการสร้างศิลานักปราชญ์ซึ่งร่ำลือกัน และหากคริสทัลดังกล่าวถูกบดจนเป็นผงก่อนจะนำไปเผาโดยเปลวไฟจากศาสตร์แห่งเทพ แล้วให้สิ่งมีชีวิตสูดดมมันเข้าไป ความทรงจำของคนที่ตายไปจะถูกส่งผ่านเข้าไปยังร่างของสิ่งนั้นอย่างที่เจ้าได้เห็นเมื่อคราวก่อน”

“แบบนี้นี่เอง แล้วคุณค้นพบวิธีดังกล่าวได้ยังไงกันครับ”

“มันก็แค่ความบังเอิญขณะทดลองน่ะ แต่ข้าเชื่อว่ามันต้องถูกค้นพบมาตั้งแต่อดีตก่อนจะส่งต่อเรื่องเล่ากันมาผ่านหมู่นักเล่นแร่แปรธาตุเป็นแน่”

ฟาร์มาเห็นสิ่งที่ฮิวโก้เรียกว่าโฮมุนครุสแล้ว มันเป็นลิงขนาดเล็กที่มีท่าทางคล้ายกับคน ไหนจะหญิงสาวที่ตกลงไปก้นทะเลสาบซึ่งเป็นศพที่มีชีวิตนั่นอีก

“แล้วท่านทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้อย่างไรกัน?”

เอเลนถามด้วยความสั่นกลัว

“ข้าไม่ได้ทำมัน แต่คริสทัลต่างหากที่ทำปฏิกิริยากับร่างนั้น”

“หมายความว่าคุณใช้คนที่อยู่ในสภาวะสมองตายหรือไม่มีสติการรับรู้สินะครับ…”

ฟาร์มากำลังคาดเดาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

“สมองตาย? นั่นคือคำที่เจ้าใช้เรียกงั้นหรือ”

ฮิวโก้ไม่รู้จักศัพท์ของผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะสมองเสื่อม แต่เมื่อฟาร์มาอธิบายถึงลักษณะอาการของผู้ป่วย ฮิวโก้ก็เหมือนจะยอมรับทฤษฎีนั้นได้ เพราะในฐานะตนที่เป็นถึงแพทย์โอสถหลวงแล้วการจะหาข้อมูลผู้ป่วยสักคนผ่านเครือข่ายข้อมูลของจักรวรรดิจนถึงการจะขอรับตัวผู้ป่วยที่ครอบครัวเห็นว่าไม่มีหวังแล้วมาอยู่ในการดูแลของตนย่อมเป็นเรื่องง่าย

“ดังนั้นเหล่าคนที่ตายไปแล้วจะได้รับความเป็นอมตะจากการใช้คริสทัลที่บรรจุความทรงจำเอาไว้ยังไงล่ะ”

ฮิวโก้พูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ

“ถึงแบบนั้นท้ายที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็ตายตรงทะเลสาบใต้ดินนะ”

เอเลนหยุดการสนทนาแล้วชี้ประเด็นไปตรงจุดนั้น

“เพราะมันสายไปแล้วยังไงล่ะ หากเป็นคนตายที่ถูกเก็บความทรงจำเอาไว้ช่วงแรกๆ พวกเขาคงไม่จบแบบนั้นหรอก”

(แม้จะเสียชีวิตก็ใช่ว่าจะตายไปแล้วจริงๆ นี่มันเหมือนกับสภาพของเราตอนนี้เลยนี่)

ฟาร์มาที่ฟื้นขึ้นมาในร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเขาผ่านกระบวนการผสานความทรงจำเข้ากับร่างที่เสียชีวิตไปแล้วของเด็กคนนี้ จนได้ร่างที่มีกระทั่งความต้านทานการโจมตีกายภาพและพิษต่างๆ ซึ่งเรื่องที่ฮิวโก้ว่ามาทั้งหมดนั้นไม่ได้ต่างการสถานการณ์ที่ฟาร์มาเป็นเท่าใดนัก เพราะแบบนี้ทฤษฎีของฮิวโก้จึงมีส่วนเข้าเค้าอยู่บ้าง

“ท่าทางเหมือนเจ้าจะรู้อะไรบางอย่างนะ”

ฮิวโก้จ้องมองฟาร์มาขณะที่ตนกำลังพูด เพราะเขาก็รู้สึกสงสัยว่าฟาร์มาเองก็อาจจะเป็นศพมีชีวิตเช่นเดียวกันจากเหตุการณ์ที่การโจมตีทางกายภาพนั้นไม่มีผลอะไรกับเขาเลย

“ฟาร์มาไม่ใช่อะไรแบบที่ท่านคิดหรอก”

เอเลนปฏิเสธอย่างสุดใจ แม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นถึงชนชั้นสูงผู้มากด้วยความรู้

“ความทรงจำของคนตายจะสามารถเก็บอยู่ภายในคริสทัลนั่นได้ไม่เกินสามวัน บางทีความทรงจำของผู้หญิงคนนั้นอาจจะหายไประหว่างช่วงที่ตกลงไปข้างล่างก็ได้”

เมื่อความทรงจำได้สลายไปจากร่างของคนคนนั้นหลังจากผ่านไปสองถึงสามวันร่างดังกล่าวก็จะกลับไปสู่สถานะเดิม (โคม่า หรือ เสียชีวิต) ฮิวโก้ได้ค้นพบข้อเท็จจริงนี้ผ่านการทดลองหลายต่อหลายครั้ง

(ดูเหมือนตำแหน่งแกรนดยุกจะไม่ได้มาเพราะโชคช่วยสินะ แต่นี่มันเป็นการทดลองที่ไร้มนุษยธรรมเกินไปหรือเปล่านะ)

“อีกทั้งยังมีเอกสารโบราณจำนวนมากของนักเล่นแร่แปรธาตุกล่าวถึงคริสทัลที่สามารถสร้างศิลานักปราชญ์ขึ้นมาได้ โดยการที่จะได้มันมานั้นต้องผ่านการผนึกความทรงจำของคนตายที่อยู่ภายในคริสทัลเข้าไปยังร่างของสิ่งมีชีวิตและปล่อยให้มันอาศัยอยู่ในร่างนั้น”

ฮิวโก้เล่าเรื่องดังกล่าวด้วยความตื่นเต้น จนเผลอทุบหมัดของเขาลงที่โต๊ะเลยทีเดียว

“ความเป็นอมตะ มันจะเป็นไปได้จริงเหรอครับ”

ฟาร์มาฟังเขาเล่าเรื่องนี้ ขณะกำลังคิดว่านี่มันเป็นเรื่องคลาสสิกสุดๆ ไปเลย สิ่งสุดท้ายที่เหล่าผู้มีความมั่งคั่งและอำนาจต่างแสวงหา หนทางแห่งความเป็นอมตะ

“แน่นอนสิ…มันต้องเป็นไปได้อยู่แล้ว…”

ฮิวโก้พูดพึมพำกับตัวเองอย่างขมขื่น

(แบบนี้นี่เอง เพราะตัวเขาตอนนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนคริสทัลนั้นให้กลายเป็นศิลานักปราชญ์ได้สินะ)

ฟาร์มาทำการคาดเดา

“อย่างที่ผมเคยบอกคุณก่อนหน้านี้ ตามที่สัญญา รบกวนช่วยหลับตาลงด้วยครับ”

ฟาร์มาเดินเข้าไปหาฮิวโก้ ก่อนที่ตัวฮิวโก้จะผละถอยไป

“เจ้าจะทำอะไรน่ะ!?”

“ก็เหมือนที่ผมบอกไปตอนแรกไงครับ ผมจะเปิดชีพจรแห่งเทพให้คุณ”

ฟาร์มาปิดตาก่อนจะชี้คทาแห่งเทพโอสถไปยังอกของฮิวโก้แทนที่จะเป็นศีรษะ เพื่อไม่ให้เขาย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นแผลใจ พอคทาได้สัมผัสเข้ากับอกของฮิวโก้ ฟาร์มาก็ทำการเปิดชีพจรแห่งเทพโดยไร้ซึ่งคำร่ายใดๆ

แต่การเปิดชีพจรแห่งเทพครั้งนี้ ฟาร์มาได้จำกัดพลังการปลดปล่อยของมันเอาไว้เพื่อเป็นบทลงโทษสำหรับสิ่งที่เขาทำ และเพื่อเป็นหลักประกันไม่ให้ตัวฮิวโก้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่รุนแรงได้ในอนาคต

เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงที่การขอโทษ และไม่มีการปลดตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้นจากการที่ฮิวโก้ต้องสูญเสียพลังแห่งเทพไป

“อ่ะ … อ้า …”

ฮิวโก้ที่หลับตาปี๋อยู่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคทาที่จะทะลวงร่างของเขาไป แบบที่เขาคิดแต่อย่างใด

“เสร็จแล้วครับ แม้พลังจะไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่สำหรับตอนนี้คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วครับ”

ฮิวโก้รู้สึกราวกับว่าตนได้ชีวิตกลับมาอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งเทพที่กำลังค่อยๆ กลับมา แม้จะฟื้นคืนมาเพียงเล็กน้อยก็ตาม ก่อนเขาจะถอนหายใจด้วยเสียงที่ดังลั่นแล้วทรุดลงไปกับพื้นโดยไม่พูดอะไรเลย บางทีเขาคงจะเหนื่อยมากจริงๆ

เอเลนผู้ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ข้างๆ โดยไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงอะไรได้เลย และนั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกเสียวสันหลังยิ่งกว่าเดิม เพราะเพียงแค่ฟาร์มาตัวคนเดียวก็สามารถทำให้ชนชั้นสูงระดับอดีตแกรนดยุกยอมจำนนอย่างหมดหนทาง

“ฟาร์มาคุงบางครั้งก็ดูน่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย …”

เอเลนเอาแต่พยักหน้าให้กับฟาร์มาและนึกอยู่ภายในใจว่า ตนจะไม่มีวันเป็นศัตรูกับฟาร์มาเป็นอันขาด

การสารภาพของฮิวโก้ดูท่าจะจบลงแล้ว แต่ฟาร์มาก็ยังคงถามเรื่องอื่นต่อ

“คุณมีอะไรอย่างอื่นจะพูดอีกไหมครับ?”

“… เจ้าหมายถึงอะไรกัน?”

“ไม่ใช่ว่าคุณกำลังพยายามทำอะไรบางอย่างในห้องใต้ดินของปราสาทนี้หรอกเหรอครับ เห็นได้ชัดเลยว่าคุณกำลังพยายามจะยืมมือใครบางคนเข้ามาช่วยเรื่องนี้”

ไหล่ของฮิวโก้ถึงกับสั่นขึ้นมาอีกครั้ง

“ใช่ไหมล่ะครับ?”

ฟาร์มาหันกลับมาถาม เพราะตัวเขาสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังหลับใหลอยู่ใต้ปราสาทนี้ กลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้มันเหมือนกับกลุ่มก้อนของวิญญาณร้าย แต่มันทำให้เขารู้สึกขยะแขยงมากกว่านั้นเยอะเลยทีเดียว นั่นคือความรู้สึกที่ฟาร์มาสัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาภายปราสาทนี้

“นั่นก็เป็นหนึ่งในการทดลองของศิลานักปราชญ์เหรอครับ คุณสามารถจัดการกับมันได้จริงๆ แล้วเหรอ?”

“ดะ-เดี๋ยวก่อน ตรงนั้นน่ะ ห้ามไปยุ่งกับมันเด็ดขาด! ประตูบานนั้นไม่สมควรจะถูกเปิดออก ข้าได้ทำการปิดผนึกมันไว้แล้ว และจะไม่มีวันเปิดมันขึ้นมาอีก”

ฮิวโก้ได้ตะโกนออกมาและเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ

“ผมเชื่อว่าสิ่งที่คุณกำลังผนึกเอาไว้นั้นมันไม่สมบูรณ์ครับ เพราะผมสัมผัสได้ถึงสัญญาณของมันที่รั่วไหลออกมาจำนวนมาก มันให้ความรู้สึกราวกับวิญญาณร้าย ไม่สิมันเหมือนกับกลุ่มก้อนความชั่วร้ายที่แท้จริงเสียมากกว่า”

ฟาร์มาชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่รอเพียงแค่วันจะถูกแง้มออกมาให้เห็น การกระทำของฮิวโก้เป็นเพียงแค่การยื้อเวลาเท่านั้น

“นี่ คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ครับ?!”

เอเลนถึงกับไหล่สั่นด้วยความหวาดกลัว

“นั่นสิ ท่านกำลังทำอะไรอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้กันแน่คะ?!”

“ช่วยไม่ได้สินะ”

ฮิวโก้เริ่มอธิบายว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่กำลังทดลองภาชนะสำหรับใส่ความทรงจำจำนวนมากที่สกัดมาจากคริสทัล อยู่ดีๆ มันก็เกิดหลุดการความคุมขึ้นมาเสียอย่างนั้น และพวกกลุ่มก้อนความทรงจำที่หลุดการความคุมไปมันก็ได้ทำการหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว จนฮิวโก้ไม่สามารถควบคุมมันได้อีก ซ้ำร้ายหลังจากที่ถูกฟาร์มาปิดผนึกชีพจรแห่งเทพแล้ว เรื่องดังกล่าวก็ยิ่งเหนือการควบคุมของเขาเข้าไปใหญ่

“หากคุณรับมือกับมันไม่ไหวแล้ว งั้นเดี๋ยวผมจะเป็นคนจัดการเอง รออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ”

“ด-เดี๋ยวก่อน เจ้าอย่าได้ทำลายภาชนะวิญญาณพวกนั้นนะ เพราะวิญญาณสังเคราะห์พวกนั้นหากหลุดออกมา มันสามารถเข้าไปสิ่งคนเป็นๆ ได้ด้วย!”

(มันไม่ใช่แค่ปีศาจหรือวิญญาณร้ายหรอกเหรอ …)

แบบนี้ยิ่งปล่อยไปไม่ได้

“เดี๋ยวก่อนฟาร์มาคุง แบบนี้มันไม่อันตรายเกินไปเหรอ!”

ฟาร์มาทิ้งเอเลนกับฮิวโก้เอาไว้ ก่อนที่เขาจะใช้พลังจากคทาบินตรงไปยังห้องใต้ดินทันที

ขณะที่กำลังใช้ประสาทสัมผัสในการค้นหาวิญญาณร้าย ในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าประตูเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งคล้ายจะเป็นทางตันของชั้นใต้ดินนี้แล้ว ส่วนของประตูมีโครงสร้างที่แข็งแรงซึ่งสามารถรับแรงกระแทกในกรณีที่เกิดการระเบิดจากภายในนั้นได้อีกด้วย

จากนั้นฟาร์มาก็ใช้ดวงตาวินิจฉัยของเขามองทะลุไปยังอีกฟากของประตู

(แบบนี้อันตรายเลยแฮะ)

[แดนศักดิ์สิทธิ์ขจัดโรคระบาด]

ฟาร์มาจับคทาแห่งเทพโอสถเอาไว้ ก็จะร่ายแดนศักดิ์สิทธิ์ขจัดโรคระบาดผ่านเข้าไปในประตู วิญญาณร้ายตอบสนองต่อแดนศักดิ์สิทธิ์ขจัดโรคระบาดที่ฟาร์มาร่าย ตัวของมันเริ่มหดเล็งลง ฟาร์มาจึงได้ใช้จังหวะนั้นทำการพุ่งผ่านประตูเข้าไปด้วยแรงทั้งหมด ซึ่งมีด้วยกันสามชั้น จนเข้าไปถึงยังห้องข้างในสุด ทางเอเลน ฮิวโก้ และข้ารับใช้ต่างก็รีบตามฟาร์มาลงมา แต่ดูเหมือนจะไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถทะลุผ่านประตูไปได้เช่นฟาร์มา เสียงของเอเลนที่กำลังเรียกชื่อของฟาร์มาได้เล็ดลอดผ่านซอกประตูเข้ามา

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ฟาร์มาก็ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยเพราะตัวเขามีความรู้สึกแค่เพียงว่าไม่สามารถปล่อยให้สิ่งชั่วร้ายพวกนี้เล็ดลอดออกไปยังโลกภายนอกได้เด็ดขาด ภายในนั้นเป็นห้องทดลองใต้ดินขนาดใหญ่ของฮิวโก้ซึ่งอดีตเคยเป็นถ้ำใต้ดินแต่ได้รับการปรับปรุงเสียใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือทดลองเล่นแร่แปรธาตุที่ดูมีมนตร์ขลัง ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเครื่องมือที่ ฮิวโก้ใช้ภายในงานแสดง แน่นอนว่าฟาร์มาได้พบความมืดมิดที่ส่งกลิ่นอันชั่วร้ายซึ่งเกิดจากเหล่าสารเคมีภายในห้องนั้นปนมาด้วย

เบื้องหน้าของฮิวโก้ที่คนอื่นรู้จักนั้นคือแพทย์โอสถหลวงผู้มากความสามารถ แต่เบื้องหลังของเขานั้นคือนักเล่นแร่แปรธาตุผู้เล่นกับชีวิตและความตาย ตัวตนที่มอบชีวิตให้กับการศึกษาศาสตร์มืด

ใจกลางของห้องทดลองนั้นมีขวดที่บรรจุคริสทัลหลากหลายขนาด พร้อมกับโลหะที่ใช้ทำปฏิกิริยาอีกมากมาย แต่สิ่งที่สะดุดตาเขามากที่สุดกลับเป็น ภาชนะหลอดแก้วใสขนาดใหญ่ซึ่งมันเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องกลั่นขนาดยักษ์ โดยมีสิ่งมีชีวิตอสัณฐานสีแดงดำกำลังเคลื่อนไหวไปมาภายใน มันคือสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน มันกำลังส่งเสียงอันแสนน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเสียงดังกล่าวอัดแน่นไปด้วยความแค้นและจิตมุ่งร้าย

(นั่นสินะ สาเหตุของวิญญาณร้าย)

ศาสตร์แห่งเทพกำลังก่อตัวอยู่ภายในกระจกหนา แม้ไม่ต้องใช้พลังจากดวงตา เขาก็สังเกตเห็นได้ว่ามันเริ่มจะมีรอยร้าวอยู่บ้างแล้ว

(หากสิ่งนี้หลุดออกไปข้างนอก สถานการณ์คงจะเลวร้ายสุดๆ เป็นแน่…)

หากจะให้เทียบกับวิญญาณร้ายที่สิงสู่คามิวในเหตุกาฬมรณะแล้ว สิ่งที่เขาพบเจอในตอนนี้วิญญาณร้ายนั้นไม่มีทางจะเทียบได้ติดเลย ฟาร์มาสัมผัสได้ทันทีว่าหากปล่อยสิ่งนี้ไว้อีกสักวันหนึ่ง เรื่องที่เลวร้ายจะต้องบังเกิดขึ้นเป็นแน่

“มีแต่ต้องกำจัดมันทิ้ง”

ฟาร์มาได้ทำการทุ่มเทพลังแห่งเทพทั้งหมดที่เขาพอจะสามารถรีดออกมาเข้าไปยังคทาแห่งเทพโอสถ ทำสมาธิให้มั่น ก่อนจะกัดฟันและแทงตัวคทาเข้าไปภายในหลอดแก้วด้วยความระวังเพื่อไม่ให้มันแตกออก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายของเหลวที่อยู่ภายในนั้น ก่อนที่ของเหลวนั้นจะส่งเสียงกรีดร้องอันไม่พึงประสงค์ออกมา เสียงของมันคล้ายกับเสียงที่ออกมาจากตัวของมนุษย์ จนท้ายที่สุดมันก็ได้เป็นไอสีดำ ก่อนที่หมอกสีดำนั้นจะแปรสภาพเป็นของเหลวสีใสและถูกดึงเข้าไปภายในคริสทัลที่ติดกับตัวคทาแห่งเทพโอสถ

(แย่แล้ว!)

วิญญาณร้ายได้เข้าไปสิงสู่ภายในคทา ในวินาทีนั้นเขาเริ่มมีอาการเป็นกังวลทันที ก่อนที่จะทำการแกว่งตัวคทาไปมา เพื่อสังเกตท่าที แต่ท้ายที่สุดดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย นอกเสียจากจำนวนคริสทัลบนตัวของคทา เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งก้อนรวมไปหก

“เอ๋?”

ฟาร์มาส่งเสียงออกมา ความทรงจำที่ถูกผนึกภายในคริสทัลจะเป็นอะไรไหมหลังจากนี้ และดูท่าจะไม่มีสัญญาณของวิญญาณร้ายออกมาแล้ว

แล้วฟาร์มาก็ตอบสนองต่อเสียงเรียกของเอเลนที่คล้ายกับกรีดร้องมาจากอีกฟากของประตู เขาได้ทำการลบประตูทุกบาน ด้วยความสามารถสลายสสาร

เอเลน ฮิวโก้ และคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างนอกก็ได้แต่สับสนกับเหตุการณ์นี้

“ฟาร์มาคุง! เข้าไปคนเดียวแบบนั้น จะไม่ประมาทเกินไปหน่อยหรือไง”

เอเลนพุ่งเข้าไปหาฟาร์มา

“จะมุทะลุเกินไปแล้ว …! แล้วข้างในนั้นมันมีอะไรบ้างล่ะ?!”

พอเห็นฟาร์มาออกมาโดยไม่ได้รับบาดแผลใดๆ เลย ฮิวโก้ก็ยิ่งเป็นกังวลว่าบางทีความทรงจำของคนตายภายในนั้นอาจจะเข้ามาสิ่งสู่ในตัวฟาร์มาแล้วก็เป็นได้

“ผมจัดการพวกวิญญาณร้ายบริเวณรอบๆ นี้หมดแล้วครับ”

ฟาร์มาบอกถึงสถานการณ์ที่อยู่ภายในห้องทดลอง ฮิวโก้ถึงกับผงะไป

เนื่องจากตนเชื่อว่าสิ่งนั้นนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ตัวคนเดียว จะสามารถหาทางรับมือได้เสียหน่อย

“ถะ-ถูกจัดการไปหมดแล้วงั้นเหรอ …”

ในขณะที่ฟาร์มาเห็นฮิวโก้กำลังแสดงสีหน้าที่สบายใจอยู่ เขาก็พูดกับฮิวโก้ด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมขึ้นทันที

“จากนี้ไปท่านดยุกเทรมอล สัญญากับผมได้หรือเปล่าครับว่าคุณจะไม่ไปยุ่งกับการวิจัยคริสทัลพวกนี้อีก เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นก็เพราะคุณเข้าไปทำการดัดแปลงสิ่งมีชีวิตและยุ่งกับความทรงจำของคนตายทั้งสิ้นครับ”

ฮิวโก้ที่เหมือนกำลังยกภูเขาออกจากอกไป ก็ทำได้เพียงพยักหน้าให้กับเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ข้าต้องขอโทษด้วย เพราะเข้าไม่สามารถควบคุมมันได้….เป็นหนี้บุญคุณเจ้าจริงๆ”

ไม่คิดว่ากระบวนการสร้างศิลานักปราชญ์จะมีความบิดเบี้ยว จนนำพามาสู่เหตุการณ์เช่นนี้ บางทีเขาคงกำลังจะค้นหาตัวของนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีความรู้เกี่ยวกับคริสทัลพวกนี้มารับมือกับวิญญาณร้ายนี้ก็ได้ นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาคิด

“จากนี้ไปคุณควรจะมุ่งความสนใจไปทางโอสถวิทยา มากกว่าการเล่นแร่แปรธาตุแบบนี้นะครับ”

แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับเส้นทางความเป็นอมตะ จะมีกว่าไหมหากกลับไปสู่วัฏจักรเดิมของมนุษย์และทำความเข้าใจถึงความเป็นตายของมนุษย์ผ่านโอสถวิทยาแทน ฟาร์มาบอกกับฮิวโก้ที่กำลังพยายามหลับตาเขาอยู่

“หากคุณต้องการเช่นนั้น ผมก็ยินดีจะให้ความร่วมมือเสมอในฐานะของแพทย์โอสถที่เท่าเทียมกันนะครับ”

ฟาร์มาออกจากปราสาทของฮิวโก้โดยมีเอเลนตามมาข้างหลัง ระหว่างทางกลับจักรวรรดิ ดวงอาทิตย์ก็เหมือนจะลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว ตอนนี้เอเลนดูเหมือนจะไม่กลัวตอนกำลังนั่งอยู่บนคทาขณะบินบนท้องฟ้าแล้ว

“ได้เห็นดวงดาวกับพระจันทร์ใกล้ขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย ต้องขอบคุณนายจริงๆ ที่ทำให้ฉันเห็นอะไรแบบนี้”

เธอพูดอย่างเขินอายก่อนจะเอาใบหน้าของตนซุกไปที่แผ่นหลังของฟาร์มา

————

Note 1 : อีกตอนเดียวจะจบบทนี้แล้ว // ทำงานเสร็จละมาแปลบางครั้งก็เบลอๆ นะครับ หากมีอะไรแปลกๆ ไปบอกได้เหมือนเดิม หากเห็นสมควรจะกลับมาแก้ตามทีหลัง

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913

Next Ch : แหล่งกำเนิดบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์