นที่ 62 แหล่งกำเนิดบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์
“วันนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะเอเลน อากาศก็เริ่มเย็นแล้วกลับเข้าคฤหาสน์ไปก็รีบอาบน้ำแล้วทำตัวให้อุ่นซะล่ะ”
กว่าจะพาเอเลนมาส่งถึงคฤหาสน์หลังจากกลับมาจากปราสาทของฮิวโก้ก็ปาเข้าไปช่วงเที่ยงคืนแล้ว
“ว่าแต่ที่บ้านเอเลน เขามีเคอร์ฟิวกันหรือเปล่าเนี่ย?”
ฟาร์มารู้สึกเป็นกังวลเพราะตัวเขาพึ่งจะพาหญิงสาวช่วงออกเรือนไปผจญภัยเสียใหญ่โต แต่ถึงจะพูดแบบนั้นไป ฟาร์มาก็ไม่เคยได้รับคำร้องเรียนจากตระกูลของเอเลนแต่อย่างใดในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมา
“ไม่มีหรอกของแบบนั้นน่ะ เพราะบางครั้งฉันก็ต้องเจอเคสที่จำเป็นต้องออกไปตรวจอาการกลางดึก ไม่ก็ทำงานวิจัยโต้รุ่งอยู่แล้ว จะห่วงก็แค่โซฟีที่อาจจะตื่นเอาได้นี่สิ เข้าไปคงต้องระวังเรื่องเสียงซะหน่อย”
ดูท่าตระกูลบอนฟัวจะไม่มีปัญหาด้านการเคอร์ฟิว
“เพราะโซฟีเป็นเด็กตื่นง่ายด้วยนี่นะ”
เคาท์บอนฟัวที่ทำการรับเอาโซฟีมาเลี้ยงนั้น ในเวลาที่เอเลนไม่อยู่เขาจะให้พี่เลี้ยงเข้ามาดูแลในส่วนของเอเลนแทนเสมอ
“ฟาร์มาคุงก็ด้วย วันนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ …”
ว่าแล้วเธอก็จามจนน้ำมูกไหลออกมา ถึงจะเป็นช่วงเดือนเมษา แม้อากาศจะยังไม่หนาวมาก แต่อุณหภูมิร่างกายของเอเลนนั้นก็ลดลงต่ำมากจากการบินด้วยระดับความสูงที่มากพอสมควร เห็นได้จากแว่นตาของเธอมีเต็มไปด้วยไอน้ำ
“ว่าแต่นายไม่หนาวบ้างเลยเหรอฟาร์มาคุงตอนบินอยู่น่ะ ชุดก็ใช่ว่าจะใส่แบบหนาด้วย?”
“ผมก็รู้สึกถึงอุณหภูมิที่เย็นลงหรอกนะแต่ว่า….…”
สำหรับฟาร์มาแล้ว เขาไม่คิดว่าการบินระดับความสูงประมาณนั้นจะทำให้เขารู้สึกหนาวได้เลยซึ่งต่างจากเอเลนที่มองว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ปกติเลย
“ก็ระวังอย่าให้ตัวเองเป็นหวัดก็แล้วกัน คืนนี้ก็ราตรีสวัสดิ์นะ”
ฟาร์มาโบกมือลาเอเลนก่อนจะบินจากไปโดยไม่สนใจความหนาวเย็นของชั้นบรรยากาศตอนนี้เลย จากนั้นเอเลนก็กลับเข้าไปในคฤหาสน์ของเธอ แม้จะไม่อยากยอมรับเท่าใดนัก แต่ฟาร์มาสัมผัสได้ชัดเจนเลยว่าตัวของเขานั้นมีพลังที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งคทาแห่งเทพโอสถก็ยังพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นจากการที่มีคริสทัลเพิ่มขึ้นมา
(ถึงจะยังมีหลายเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยวันนี้เราก็สามารถยืนยันสิ่งที่ค้างคาในใจได้เรื่องหนึ่งแล้วล่ะนะ)
เวลาก็ล่วงเลยไปจนเหล่าคนของเดอ เมดิซิสได้หลับใหลกันหมดแล้ว ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตระกูลของเขามีตาราง การนอนที่เร็วแถมวันนี้เขาก็บอกกับลอตเต้ไว้แล้วว่าจะกลับดึกไม่จำเป็นต้องรอรับเพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจว่า ตนจะยังไม่กลับไปที่คฤหาสน์และทำการเดินทางต่อไปยังที่ตั้งของบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การค้นหาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เขาพอจะรู้บริเวณของที่ตั้งนั้นแล้ว โดยเสริมจากความช่วยเหลือของฮิวโก้ เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาฮิวโก้นั้นได้ทำการค้นคว้าเอกสารโบราณของนักเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่งเลยทีเดียว รวมกับสิ่งที่เขาค้นพบแล้วก็นับว่าแม่นยำพอสมควร ไม่เพียงเท่านั้นฟาร์มายังได้ขอยืมแผนที่ซึ่งทำเครื่องหมายเอาไว้แล้วจากฮิวโก้มา แน่นอนว่าตัวฮิวโก้ก็ยอมมอบให้แต่โดยดี และคาดหวังว่าฟาร์มาจะได้ค้นพบสิ่งนั้นจริงๆ โดยฟาร์มาไม่จำเป็นต้องข่มขู่อะไรเลยด้วยซ้ำ
และจากแผนที่ทั้งหมดที่เข้าได้รวบรวมมาจึงสรุปความเป็นไปได้ของที่อยู่สมบัติลับด้วยกันสามแห่ง โดยที่แรกที่เขาไปเจอนั้นมีตำนานเกี่ยวกับมันอยู่มากมายแต่สุดท้ายก็เป็นเพียงน้ำพุที่มีสภาพเป็นกรดและไม่พบคริสทัลใดๆ เพิ่มเติม ที่ต่อมานั้นเป็นบึงโคลนที่อยู่ใจกลางภูเขาและมีเศษซากกระดูกมนุษย์อยู่บ้างบริเวณก้นของบึง แน่นอนว่าก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน
แล้วก็มาถึงจุดสุดท้าย ซึ่งเป็นใจกลางที่ราบสูงและมีความชันซึ่งเป็นจุดที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงของจักรวรรดิมากที่สุด มันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกราวกับต้องการซ่อนตัวตนจากสายตาของเหล่ามนุษย์ ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ จะมีก็เพียงบรรยากาศและเสียงลมที่ดูน่าขนลุก จากการสังเกตแล้วดูท่ามันจะยังไม่ผ่านการสำรวจของมนุษย์มาก่อนเลยซึ่งฟาร์มาก็ไม่แปลกใจเท่าใดนัก เพราะบริเวณรอบๆ ก็มีผาที่สูงชันจนมนุษย์ไม่น่าจะข้ามผ่านได้
พอฟาร์มาร่อนลงถึงพื้น ชั้นหมอกหนาที่ปกคลุมที่ราบเอาไว้ก็เริ่มจางหายไป
“แบบนี้ก็มองอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะเลย…..นั่นมันอะไรน่ะ?”
ฟาร์มาสังเกตเห็นน้ำพุขนาดเล็กซึ่งขนาดของมันไม่ได้ใหญ่ไปกว่าบ่อน้ำทั่วไปเลย แต่ด้านล่างของมันกลับส่องแสงระยิบระยับออกมา ราวกับกำลังตอบสนองต่อพลังแห่งเทพของฟาร์มา แน่นอนว่ามันมีคริสทัลอยู่ภายในนั้นด้วย
“นี่คงเป็นบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าสินะ……”
ฟาร์มามองไปยังเบื้องลึกของผิวน้ำนั้น
“ไม่ใช่ทะเลสาบกรดเหมือนคราวก่อน”
น้ำที่อยู่ภายในบ่อนั้นไม่ใช่กรดกำมะถัน ไม่มีปลาปริศนาเหมือนที่ผ่านมา แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้และลังเลที่จะลงไปอยู่ดี
[สลายน้ำ]
ฟาร์มาได้ทำการลบน้ำออกในลักษณะเดียวกับน้ำกรดก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็ร่อนลงไปข้างล่างเพื่อสำรวจด้วยคทาแห่งเทพโอสถ แน่นอนว่าเขาก็พบกับ
คริสทัลจำนวนมากที่ด้านล่างนั้น เหมือนกับตอนที่เจอในจักรวรรดิ และแล้วเขาก็ได้พบกับแผ่นหินที่แสนคุ้นตา
(อยู่ตรงนั้นนี่เอง! มันเขียนว่าอะไรกันนะ?)
เขาอ่านข้อความที่สลักอยู่บนแผ่นหิน
[สถานที่แห่งนี้คือบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมต่อผ่านสวรรค์ ประตูลับสู่ต่างโลก]
มันเขียนด้วยภาษาที่ฟาร์มารู้จักอยู่หลายคำด้วยกัน แต่ก็มีหลายคำที่เป็นศัพท์ซึ่งฟาร์มาไม่อาจจะเข้าใจได้ และพอบัตรประจำตัวของฟาร์มาซึ่งเป็นสมบัติลับที่เขาได้มาคราวก่อนเข้าใกล้กับแผ่นหินนั้นก็ได้เกิดแสงสว่างขึ้นที่แผ่นหินแล้วฉายแสงตรงขึ้นไปยังสรวงสวรรค์
(แสงนั่นมันชี้ไปไหนกัน ครั้งนี้มันอยากจะให้เราได้เห็นอะไรกันนะ!?)
ฟาร์มามองตามแสงขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความคาดหวัง
“อ่าว ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่….แปลกๆ ไปหน่อยไหมนะ?”
* * *
แล้วเขาก็กลับมาถึงคฤหาสน์ในช่วงเข้า โดยไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเลย
(แย่เลยแฮะแบบนี้ กว่าจะมาถึงก็ปาเข้าไปตอนเช้าแล้ว)
“ยินดีต้อนรับกลับนะคะ ท่านฟาร์มา”
ฟาร์มาที่แอบย่องเข้าไปในคฤหาสน์ พบเข้ากับลอตเต้ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาพร้อมกับบลานซ์ที่ถือของเล่นเอาไว้ในมือบริเวณทางเข้า
(อุ หวาาา …)
บรรยากาศอันน่าอึดอัดได้ปกคลุมทั้งสาม จนทั้งสามเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่
บลานซ์จะเป็นคนเปิดปากพูดคนแรก
“ท่านพี่เมื่อคืนไปไหนมาคะ รู้หรือเปล่าว่าหนูรอท่านพี่จนดึกเลย ไหนสัญญากับหนูว่าจะมาอาบน้ำด้วยกันไง?”
บลานซ์พูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะพร้อมกับถือตุ๊กตาสัตว์ของเธอไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยพอใจที่ฟาร์มาไม่กลับมาเท่าใดนัก
“เดี๋ยวนะผมเคยสัญญาอะไรแบบนั้นไว้ด้วยเหรอ!?”
อย่าพูดอะไรแปลกๆ แบบนั้นสิ ฟาร์มาเริ่มหน้าแดง ขณะนั้นเองเขาก็สัมผัสด้วยถึงสายตาของลอตเต้ที่จ้องมองมา ลอตเต้ก็คือลอตเต้แหละนะ
“เมื่อคืนก่อนท่านฟาร์มากับท่านเอเลโอนอร์อยู่ด้วยกัน…..อ่ะ ไม่มีอะไรค่ะ”
ลอตเต้สังเกตเห็นว่าเอเลนกับฟาร์มานั้นออกไปข้างนอกด้วยกันเมื่อวันก่อน จึงได้แต่เอาก้มหน้าด้วยความเขินอาย เธอรู้สึกว่าตนไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของหนุ่มสาวมากจนเกินไป
“เดี๋ยวก่อนนะ ผมก็แค่ไปเยี่ยมคุณฮิวโก้ที่เขตแดนของเขาเท่านั้นเอง”
ฟาร์มาไม่อยากให้ลอตเต้เป็นกังวลเกี่ยวกับเขา เขารู้ได้ทันทีว่าหากปกเรื่องนี้ไปเสียหมดก็มีแต่จะสร้างความกังวลมากขึ้นกว่าเดิม เขาจึงได้บอกแบบ
คลุมเครือออกไปแทน
“อ๋อ บ-แบบนั้นเองสินะคะ ต้องขออภัยด้วย!”
จากมุมมองของลอตเต้แล้ว ยังไงก็เห็นได้ชัดว่าฟาร์มาออกไปค้างคืนด้วยกันมา ลอตเต้จินตนาการได้ทันทีว่าช่วงที่ไปเยี่ยมท่านฮิวโก้เขาคงจะไม่ได้ทำอะไรกันมากนัก แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้เวลาร่วมกับเอเลนช่วงข้ามคืนนั้นได้อยู่ดี
(เหมือนจะยิ่งเข้าใจผิดไปกว่าเดิมอีกหรือเปล่าเนี่ย)
วินาทีนั้น ปาลเล่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาเรียกว่าเป็นจังหวะหน้าสิ่วหน้าขวานเลยก็ว่าได้
“แหม แหม แหม เป็นอะไรไปฟาร์มาน้องพี่ กลับบ้านมาเสียเช้าเลย ถึงพี่จะไม่คิดว่านายจะทำอะไรเอเลโอนอร์ก็เถอะนะ แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องหักห้ามใจตัวเองเลยนี่นา เพื่อตัวเอเลโอนอร์เองด้วย”
ปาลเล่ให้คำแนะนำแบบแปลกๆ มา เอเลนกับปาลเล่นั้นต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน….แบบแมวกับหมาแหละนะ
“ไม่มีอะไรระหว่างเราทั้งนั้นแหละครับ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น!!”
“ไม่เห็นต้องปฏิเสธเสียงแข็งแบบนั้นเลยนะ แบบนี้มันยิ่งน่าสงสัยกว่าเดิมไม่ใช่หรือไง…เดี๋ยวนะ”
สายตาของปาลเล่เปลี่ยนไปพอมองที่ฟาร์มาดีๆ เขาสังเกตได้ว่าพลังแห่งเทพของฟาร์มานั้นมีลักษณะที่เปลี่ยนไป
“นายดูเปลี่ยนไปหน่อยหนึ่งหรือเปล่า”
ระหว่างที่เขาเข้าไปยังชั้นใต้ดินของปราสาทฮิวโก้ เขาได้จัดการกับกลุ่มก้อนความทรงจำและเหล่าคริสทัลมากมาย
“ผมเหรอครับ? บางทีอาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าก็ได้ เพราะหลังจากส่งเอเลนที่คฤหาสน์ตอนเที่ยงคืนแล้ว ผมก็ออกไปตามหาอะไรนิดหน่อยหลังจากนั้น”
ฟาร์มาสารภาพไปตามตรงเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดใดๆ อีก
“อะไรกันนะที่แสนสำคัญจนทำให้น้องชายพี่ต้องออกไปหาถึงดึกดื่น?”
ปาลเล่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“แล้วท่านเจอสิ่งที่ตามหาไหมคะ?”
ลอตเต้ถามขณะเอียงศีรษะ
“คว้าน้ำเหลวน่ะ”
ลอตเต้ได้ยิ้มให้กำลังใจกับฟาร์มา ในขณะที่เขาไหล่ตกด้วยความผิดหวัง
“ตอนนี้ก็เช้าแล้วด้วยสิคะ มาช่วยกันค้นหาของที่ท่านฟาร์มาตามหากันเถอะค่ะ ฉันก็จะช่วยด้วย เห็นแบบนี้ฉันก็เก่งเรื่องหาของนะคะ”
ลอตเต้นั้นมีความสามารถพิเศษในการค้นหาของอ้างอิงได้จากการหาของที่
บลานซ์มักทำหายได้อยู่เสมอ เธอจึงพูดด้วยความมั่นใจ
(นั่นสินะ….ถ้าเราเปลี่ยนช่วงเวลาค้นหาดู อาจจะเจอความแตกต่างบ้างก็ได้)
คำพูดของลอตเต้ทำให้ฟาร์มาคิดได้ว่ายังเร็วไปที่จะยอมแพ้
“ทีหลังนายก็อย่าทำให้คนที่บ้านเป็นกังวลมากนักก็แล้วกัน”
ปาลเล่พูดแทนบลานซ์กับลอตเต้
“ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ”
ฟาร์มาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากคำพูดนั้น
“ฉันก็แค่ดีใจที่ท่านฟาร์มากลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้นเองค่ะ”
ลอตเต้ยิ้มอย่างสดใสให้กับฟาร์มา ฟาร์มาก็พร้อมรับรอยยิ้มนั้นมา แม้จะรู้ว่าเธออยากจะถามเรื่องต่างๆ จากฟาร์มามากมายแต่เธอก็เงียบเอาไว้โดยไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มต่อจากนั้น
(นี่สินะความรู้สึกของการกลับถึงบ้าน)
เขารู้สึกราวกับถูกบอกว่าตนสามารถอยู่สถานที่แห่งนี้ได้นะ
วันรุ่งขึ้นขณะที่ยังเป็นช่วงวันพักจากการทำงาน ฟาร์มาตัดสินใจเดินทางไปยังบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งขณะที่พระอาทิตย์ยังคงอยู่ ถึงเขาอยากจะพาลอตเต้ไปด้วย แต่ก็ต้องมาพบกับภาพที่ลอตเต้แปลกใจเรื่องที่ฟาร์มาบินได้เพราะเธอไม่เคยรู้มันมาก่อนเลย หลังจากจัดการกับอาการช็อกของเธอเสร็จ เขาก็ตัดสินใจว่าไปคนเดียวน่าจะง่ายกว่า
หลังทานอาหารกลางวันเสร็จเขาใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกเติมเต็มอีกครั้งหลังจากหนึ่งวันผ่านไป
“น้ำในบ่อนี้จะเต็มเร็วเกินไปไหมนะ [สลายนะ-] ”
วินาทีนั้นเขานึกถึงคำพูดของลอตเต้ที่บอกกับเขาได้ เขาคิดนึกอยากจะลองวิธีอื่นที่ตนยังไม่เคยมาก่อน และคิดว่าครั้งนี้ลองไม่สลายน้ำในบ่อออกไปดูน่าจะดี
“อาจจะได้มุมมองที่ต่างออกไปจากเดิมหากน้ำยังอยู่ก็ได้ เราต้องนึกถึงกรณีของการหักเหของแสงไว้ด้วยสินะ”
เมื่อฟาร์มาตระหนักถึงทางเลือกนั้น เขาก็ไม่สนใจว่าตนจะเปียกหรือไม่ในขณะที่ดำดิ่งลงไปที่ก้นบ่อ พอถึงที่หมายเขาก็นำบัตรประจำตัวไว้เหนือแผ่นหินนั้น คราวนี้แสงที่ส่องออกมาจากแผ่นหินได้เขาไปกระทบกับผิวน้ำจนเป็นประกายทำให้เห็นภาพท้องฟ้าสีฟ้าขึ้นมา
และจากบนผิวน้ำนั้นฟาร์มาก็ได้เห็นคลื่นน้ำกำลังเคลื่อนตัว จนเกิดเป็นเงาสะท้อนระหว่างผิวน้ำกับข้างใต้ของบ่อน้ำพุ
แล้วประตูทางเข้าก็ปรากฏขึ้นเหนือผิวน้ำ ซึ่งปลายทางของประตูมันได้เชื่อมกับห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยที่เขาเคยทำงานอยู่เมื่อชีวิตก่อน
(เอ๋ …?)
ฟาร์มาคิดว่าตนกำลังมีอาการประสาทหลอนอยู่หรือเปล่า แต่นี่อาจจะไม่ใช่เพราะจากข้อความที่เขาถอดมาได้จากแผ่นหินมันได้บอกถึง เรื่องประตูสู่ต่างโลกด้วย
ฟาร์มาค่อยๆ เข้าใกล้ผิวน้ำนั้นอย่างระมัดระวัง
(ให้ตายเถอะ ต้องขอบคุณลอตเต้จริงๆ)
พื้นผิวของน้ำพุนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางซึ่งสามารถมองเห็นได้จากด้านล่างของบ่อนี้เท่านั้น พอฟาร์มาลอยไปถึงผิวน้ำ เขาก็ได้ทำการวางมือลงไปตรงนั้น แต่พอเขาจะเอื้อมมือออกไป พื้นผิวของน้ำนั้นกลับสูงขึ้นเล็กน้อยและภาพเชื่อมต่อของอีกโลกก็หายไป
(น่าหงุดหงิดชะมัด แปลว่าต้องหาวิธีอื่นสินะ……)
แล้วเขาก็คิดถึงการใช้ศาสตร์แห่งวารีในการแช่แข็งน้ำ ซึ่งใช้มันทำการแช่แข็งน้ำบริเวณด้านบนของผิวน้ำ วิธีการนี้จะไม่ทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมอีกต่อไปและพอเขาลองก็พบว่ามันได้ผล เขาดันมือขวาของตนเข้าไปสัมผัสกับผิวน้ำนั่นทำให้มือของเขาได้หลุดผ่านเข้าไปอีกโลกหนึ่ง
(นี่สินะปริศนาอีกหนึ่งอย่าง ถ้าเป็นแบบนี้คนที่ใช้มนตร์น้ำแข็งไม่ได้ก็ไม่มีทางจะข้ามผ่านประตูนี้ได้เลยสินะ…)
แม้จะเป็นความบังเอิญที่เขาได้มันได้พอดี แต่เห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีวิธีอื่นที่จะเลี่ยงได้เลยนอกจากการใช้ศาสตร์แห่งน้ำ แช่แข็งมันไว้ในสถานการณ์แบบนี้ จากนั้นเขาก็ทำการดึงคันโยกของห้องปฏิบัติการด้วยมือขวา แต่มันกลับไม่ขยับเลยสักนิด ดูท่าอุปกรณ์ตรวจสอบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการป้องกันอาชญากรรมที่ติดอยู่กับประตูยังทำงานอยู่
(คงต้องใช้สิ่งนี้สินะ!)
ฟาร์มานำบัตรพนักงานเข้าไปแตะที่ประตู
ได้ผล … ตี๊ด-คลื่น
เสียงปลดล็อกกลไกของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องปฏิบัติการจะเปิดออก
ฟาร์มาได้นำหัวของเขาเข้าตามไปข้างในประตูจนในที่สุดก็ผ่านเข้าไปทั้งร่าง พอเขาเข้าไปแล้วก็รีบหาของมาสำหรับกั้นประตูเพื่อให้มันแง้มไว้เล็กน้อย หากทำเช่นนั้นเข้าก็จะสามารถเข้าออกห้องนี้ได้ในทันที
“นี่เรากำลังฝันอยู่หรือเปล่านะ?”
เขาได้ยินเสียงของหน้าปัดนาฬิกากำลังหมุนไปมาภายในห้องปฏิบัติการ ก่อนที่เขาจะเห็นภาพบางสิ่งในมุมมองที่ไม่คุ้นเคย ร่างของชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีขาวกำลังนอนอยู่ภายในถุงนอนบนโซฟาตรงมุมหนึ่งของห้อง
(คงไม่ใช่หรอกใช่ไหม …)
นั่นคือร่างของฟาร์มาในชีวิตก่อน ซึ่งเป็นรองศาสตราจารย์ของสาขาวิจัยเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ยาคุทานิผู้กำลังค้นคว้ายารักษาโรคต่างๆ
“โฮ่ย นายตรงนั้นน่ะ!”
ฟาร์มาได้เดินเข้าไปแตะไหล่ชายคนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เขากลับไม่รู้สึกตัวเลย แม้จะถูกฟาร์มาทุบเข้าไปอย่างแรง ไม่แม้จะกระโดดเด้งขึ้นมา ราวกับว่าฟาร์มาไม่สามารถปลุก สัมผัส หรือรบกวนชายคนนี้ได้ จะถ่างเปลือกตาดู หรือบีบแก้มของเขาก็ไม่เป็นผล ฟาร์มาจ้องมองชายคนนั้นด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก
(ดูเหมือนตัวฟาร์มาจะเข้าไปยุ่งกับคนคนนี้ไม่ได้เลย…)
ชายคนนี้ก็คือตัวเขา แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่ตัวเขา พอฟาร์มามองที่นาฬิกาบนโต๊ะของยาคุทานิ ก็เห็นว่ามันตรงกับวันตายของเขาพอดี
3 นาฬิกา 50 นาที
รองศาสตราจารย์ยาคุทานิเสียชีวิตขณะงีบหลับภายในห้องทดลอง ชายคนนี้จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
แต่ขณะนี้เขายังมีชีวิตอยู่
ฟาร์มาหยิบสมาร์ตโฟนที่อยู่บนโต๊ะของชายคนนั้นเพื่อลองติดต่อกับโลกภายนอก แต่ไม่ว่าจะคลื่นวิทยุ หรือสัญญาณมือถือ ไวไฟ ก็ต่างใช้ไม่ได้เลยสักนิดเดียว โทรศัพท์ประจำห้องก็ไม่มีสายส่งสัญญาณ แม้ทางเครื่องคอมพิวเตอร์จะใช้ได้ แต่ตัวสัญญาณกลับไม่อาจเชื่อมต่อได้ มุมมองภายนอกหน้าต่างก็เป็นสีดำมืดสนิท เพราะมันไม่ใช่เวลากลางวันจะมีก็แต่ความมืดมิด แต่มันก็แปลกเพราะแม้กระทั่งแสงไฟภายในเมืองฟาร์มาก็ไม่อาจเห็นได้เลย
(ที่แห่งนี้คงจะเป็นโลกอีกใบหนึ่งสินะ…)
ฟาร์มาสำรวจสอบๆ ห้อง แล้วก็หวนนึกถึงความทรงจำในอดีตของเขา ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย ทำงานภายในห้องนี้แล้วก็ผล็อยหลับไป เสียงของมอเตอร์ตู้แช่แข็งพิเศษยังคงทำงานอยู่ชวนให้ถึงนึกภาพเก่าๆ เครื่องปั่นแยกพิเศษก็ทำงานอย่างต่อเนื่องในอีกสี่ชั่วโมงต่อจากนี้ตามที่เขาเคยตั้งไว้ เวิร์กสเตชันก็เป็นพื้นที่สำหรับเครื่องวิเคราะห์จีโนมขนาดใหญ่กำลังทำงานจากที่เขาตั้งค่าไว้ก่อนหน้านี้ ตัวทำปฏิกิริยาก็ถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะพร้อมกับโน้ตบุ๊กที่เรียงซ้อนกันจำนวนมาก ภายในห้องถูกล้อมรอบไปด้วยอุปกรณ์ทดลองที่มีความแม่นยำสูงนับไม่ถ้วนและมันจะยังคงทำงานต่อไปแม้ตัวเจ้าของห้องจะสิ้นชีวิตไปแล้ว
เขาสามารถสัมผัสทุกอย่างในห้องปฏิบัติการได้ ถ้าหากบอกว่านี่เป็นฝัน เขาสามารถทำอะไรได้อีกบ้างล่ะ? ฟาร์มาทำการเก็บเซลล์เยื่อเมือกในช่องปากของเขา แล้วนำมันไปวางที่เครื่องวิเคราะห์ข้อมูลจีโนม
ประการแรกเขาอยากจะรู้จักตัวเองให้มากกว่านี้ การมีอยู่ของฟาร์มาสามารถขยายผลและเปลี่ยนมันเป็นข้อมูลสำหรับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้มากเลยทีเดียว
(แย่ละสิ มันต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าผลจะออกด้วย ประตูยังคงเชื่อมต่อกันอยู่หรือเปล่านะ?)
เขาหันกลับไปดูทางบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นทางเชื่อมให้เขาเข้ามาที่นี่ได้ มันยังคงเชื่อมต่ออยู่กับประตูที่แง้มไว้ และไม่มีทีท่าจะปิดลงแต่อย่างใด
เขาหยิบตัวทำปฏิกิริยากับหลอดบรรจุตัวอย่างทดลองออกจากช่องแช่แข็งเพื่อเตรียมการสำหรับการเดินทางออกจากห้องนี้โดยทันที ก่อนจะเก็บมันเข้าไปในกล่องโฟมอีกที ต่อมาก็เป็นเรื่องที่ว่าเขาควรเขียนจดหมายลาตายไว้ให้คนที่เกี่ยวข้องบนโลกนี้ด้วยจะดีไหม
“อึก อั๊ก!!”
ยาคุทานิที่นอนอยู่บนโซฟาเริ่มแสดงอาการป่วยและพยายามดิ้นรนไปมา
ฟาร์มาที่พยายามจะใช้ดวงตาวินิจฉัย กลับไม่เป็นผลเพราะเขาไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพภายในห้องนี้ได้เลย เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่เวลาของยาคุทานิก็มาถึงแล้ว
(เราจะช่วยอะไรได้บ้างล่ะ!?)
ที่จริงก็มีหนทางที่จะช่วยเขาได้โดยไม่ต้องพึ่งดวงตาวินิจฉัย โดยการให้อะดรีนาลีนที่เก็บไว้ภายในห้องนี้สำหรับการCPR แต่เขาไม่สามารถใช้การCPR ได้เนื่องจากกระดูกบริเวณหน้าอกของยาคุทานิไม่ได้รับแรงกระแทกจากการที่ฟาร์มาทิ้งน้ำหนักลงไปเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ฟาร์มาไม่สามารถเข้าไปยุ่งหรือแทรกแซงร่างของยาคุทานิได้เลย กระทั่งเข็มยังไม่อาจเจาะผ่านผิวหนังของเขาได้ ไม่มีหนทางใดๆ ที่จะช่วยได้แล้ว
ี๊ปี๊บๆๆๆ ปี๊บบบบบ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เนื่องจากยาคุทานิตั้งเวลาปลุกมันไว้หลังจากหนึ่งชั่วโมงที่เขางีบไป จาก 3 นาฬิกา 42 นาที บัดนี้ถึงเวลา 4นาฬิกา 42 นาที แล้ว
มันก็ได้ดังขึ้น
(4 นาฬิกา 42 นาที!)
ราวกับนั่นเป็นตัวกำหนดจุดสิ้นสุด สติของฟาร์มาได้ถูกดึงออกจากห้องปฏิบัติการนั้นทันที
นี่เวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ วิสัยทัศน์ทั้งหมดที่เขาเห็นช่างขาวโพลน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ได้สติและเห็นว่าตนกำลังลอยอยู่เหนือบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของโลกเดิม
“อ้า…”
น้ำแข็งที่ควรจะเคลือบอยู่ข้างบนผิวน้ำได้ละลายไปหมดแล้ว นี่เรากำลังตื่นจากฝันงั้นเหรอ หรือประตูนั้นจะเป็นเพียงโลกแห่งความฝันกันนะ หรือว่าฟาร์มาตอนนี้ยังคงฝันอยู่ เขารู้สึกมึนงงไปหมดและพยายามจะตั้งสติขึ้นมาใหม่
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงแสงแดดที่ส่องมายังใบหน้าของเขาแรงมากกว่าปกติ เขาจึงได้ยกมือขึ้นเพื่อบังแสงนั้น จนเขาสังเกตเห็นว่าข้างๆ ตัวเขานั้นก็มีกล่องโฟมที่บรรจุของจากห้องปฏิบัติการนั้นลอยอยู่เหนือผิวน้ำเช่นเดียวกัน แปลว่าเขานำกลับมันมาด้วยได้จริงๆ ก่อนจะสัมผัสมันเพื่อความแน่ใจ
“นี่มันไม่ใช่ความฝัน…?”
ฟาร์มาถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติ ก่อนจะมองที่มือของเขาซึ่งยังคงบังแสงแดดเอาไว้ด้วยความตกใจ
บางที นี่อาจจะเป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการเดินทางระหว่างโลก มือของฟาร์มาในขณะนี้มีความโปร่งแสงมากกว่าที่เคยเมื่อเทียบก่อนช่วงก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางมายังบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์
“…นี่มัน …”
ฟาร์มานึกถึงตำนานแห่งเทพโอสถที่เขาเคยได้ยินจากซาโลม่อน เทพโอสถรุ่นก่อนที่เขาได้ทำการเดินทางไปมาระหว่างโลกกับสวรรค์ด้วยบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งเขาก็หายไป
(หรือว่าคนคนนั้น สูญเสียกายเนื้อไปก่อนจะหายสาบสูญไปจากโลกนี้กันนะ?)
หากเป็นฟาร์มาในตอนนี้เขาเริ่มมีความมั่นใจแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับเทพโอสถองค์ก่อนกันแน่ จากการที่เขาได้พบกับยาคุทานิ
“โลกแห่งนี้ มันยังไงกันแน่นะ?”
เพื่อจะให้ได้คำตอบ เขาจึงออกมาจากบ่อน้ำพุนั้น
หลังจากยึดกล้องโฟมไว้กับคทาในตำแหน่งที่เห็นได้ง่าย เขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะจับคทาแห่งเทพโอสถไว้
พุ่งทะยานไปด้วยความเร็วอันมหาศาลเป็นแนวดิ่งขึ้นไป เขากุมคทาเอาไว้โดยไม่ปล่อยให้ร่างของตนตกลงไป จนกระทั่งถึงชั้นบรรยากาศที่ไร้ซึ่งอากาศสำหรับการหายใจ เขาพยายามบินไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ราวกับกำลังพยายามเข้าใกล้จุดสูงสุดของจักรวาล
ลมหายใจของเขาเริ่มมีไอเย็นออกมา เหงื่อที่ไหลมาได้กลายเป็นน้ำแข็ง แต่ร่างกายของเขากลับไปรู้สึกหนาวเลย แม้จะไม่มีออกซิเจนเขาจะไม่รู้สึกเลยว่าตนหายใจไม่ออก
ฟาร์มาพยายามเอาอากาศออกจากปอด เพราะด้วยความกดอากาศขนาดนี้อาจจะทำให้ปอดของเขาระเบิดออกมาได้ พอมานึกดูก็ตลกที่ยังมองว่าตัวเองยังคงเป็นมนุษย์อยู่ แต่ถึงตัวเขาจะไม่ใช่มนุษย์สัญชาตญาณการป้องกันตัวของเขาเหมือนจะยังไม่เปลี่ยนแต่อย่างใด
ศพที่มีชีวิตไม่สามารถตายได้….
(มาลองกันดูสักตั้งสิจุดสูงสุดของโลกใบนี้จะมีอะไรอยู่กัน!)
ครึ่งหนึ่งคิดว่าเป็นการเสี่ยงโชค อีกครึ่งหนึ่งอยากจะหลบหนีจากความจริง เขาคิดอยู่เพียงแค่ว่าตนจะไปได้ไกลและสูงถึงเพียงไหม และนี่เป็นครั้งแรกที่
ฟาร์มาได้เห็นผืนดินจากบนอวกาศ สภาพของดาวเคราะห์ดวงนี้
ดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่เขาเห็นนั้นเป็นดาวที่ฟาร์มาไม่รู้จัก มันไม่มีความคล้ายคลึงกับโลกของเขาเลย รูปร่างของมหาสมุทรและรูปร่างของแผ่นดินนั้นแตกต่างจากรูปร่างของโลกในความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง
(นี่มันที่ไหนกันแน่…)
การที่ได้เผชิญหน้ากับจักรวาล ก็คือการเผชิญหน้ากับตัวเอง ความเงียบงันอันน่าสยดสยอง จะมีก็เพียงเสียงของอวัยวะภายในร่างกายของเขาเท่านั้นที่สัมผัสได้ ความเปล่าเปลี่ยวและอ้างว้างเข้ามาทับถม จนรู้ถึงว่ากาลเวลาผ่านไปหลายหมื่นปี
ดวงดาวนับไม่ถ้วนกำลังเรียงตัวกันอยู่ในจักรวาลที่อยู่ไกลออกไป ทว่าไม่ว่าเขาจะมองมากแค่ไหน ก็ไม่พบกับดาวเคราะห์ที่คล้ายกับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะเดิมของเขาเลย มีดวงดาวที่คล้ายกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ซึ่งไม่ต่างจากของเขา แต่รูปแบบของจักรวาลนี้มันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง อุณหภูมิที่เย็นจัดและรังสีคอสมิกที่รุนแรงกำลังค่อยๆ ทรมานเขาดาวฤกษ์ที่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์กำลังทอดเงาไปบนดาวเคราะห์ที่ฟาร์มาอยู่
(นี่ไม่ใช่โลก แต่เป็นดาวดวงอื่น แล้วมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ…?)
ความลึกลับอันยิ่งใหญ่ที่ฟาร์มาต้องตามหาดูเหมือนจะยังอีกยาวไกล เขารู้สึกว่าหนทางที่เขาจะเดินไปช่างมีขวากหนามอยู่มากมาย เขาได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจท่ามกลางความเงียบงันของจักรวาล ไม่นานนักแรงโน้มถ่วงก็ดึงตัวของเขากลับเข้าไปยังดาวเคราะห์ที่กำลังค่อยๆ หมุนไปอย่างช้าๆ ราวกับไม่ต้องการให้เขาจากไปไหน
ร่างของฟาร์มาไม่ได้ถูกเผาไหม้ภายในชั้นบรรยากาศ แม้แต่กฎของชั้นบรรยากาศยังถูกตัวตนของเขาปฏิเสธมัน จนท้ายที่สุดร่างของเขาก็ค่อยๆ ร่วงลงมาจนถึงที่ราบสูง ที่เขาสามารถมองเห็นพื้นดินได้อย่างชัดเจน
เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ในตอนนี้เขาจะต้องกลับไปยังที่ที่เขาควรจะอยู่ ที่ที่ครั้งหนึ่งฟาร์มา เดอ เมดิซิสได้จากมา
—————————
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913
Note 2 : สำหรับเวอชั่นเว็บโนเวลก็จบไปแล้วกับเล่ม 4 นะครับ