หวังซีรู้สึกว่าเกิดเรื่องของตระกูลหวงเช่นนี้แล้ว เรื่องงานแต่งของฉังเคอควรพักเอาไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ต้องไม่ตอบรับงานแต่งของผู้ใดเพียงเพราะความกังวลหรือความโกรธที่คั่งค้างอยู่เป็นอันขาด แต่เด็กสาวอย่างลู่หลิงผู้นี้ไม่เหมือนคนอื่น นอกจากนางจะจริงใจกับผู้อื่นแล้ว ทำอะไรก็ควรค่าให้คนเชื่อใจได้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังบอกว่าเรื่องนี้นางจะให้ท่านย่าของนางเป็นคนออกหน้าให้ นั่นก็ยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้นแล้ว
“เจ้าลองว่ามาก่อน เป็นคุณชายของตระกูลใดหรือ” นางรีบลากลู่หลิงเข้าไปในโถงรับรอง กล่าวว่า “หากเหมาะสมจริงๆ ข้าจะเป็นแม่งาน ห่อรองเท้าถุงเท้าของปีนี้ให้เจ้าเอง”
ของขวัญขอบคุณแม่สื่อต้องมีรองเท้ากับถุงเท้า ถือเป็นการขอบคุณแม่สื่อที่เหน็ดเหนื่อยวิ่งไปมาให้
ลู่หลิงหัวเราะคิก กระซิบที่ข้างหูนางว่า “จะว่าไปแล้วครอบครัวนั้นนับว่าเป็นสหายเก่าแก่ของครอบครัวข้า แซ่เวิน บ้านเดิมอยู่ตงอิ๋ง เป็นผู้ลากมากดีของที่นั่น…
…คนที่ข้าจะทาบทามให้พี่สาวสี่ฉังคือคุณชายใหญ่ของพวกเขา ปีนี้อายุสิบแปด เนื่องจากเป็นหลานชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของตระกูล ทั้งรูปงามและฉลาดมีความสามารถ ปู่ของเขาจึงให้ความสำคัญกับเขามาก ไม่ยอมหมั้นหมายให้เขาเสียที”
หวังซีฟังแล้วคิ้วกระตุกเบาๆ
ฟังดูไม่เลวเลยทีเดียว
“คนผู้นี้ชื่นชอบศัสตราวุธมาตั้งแต่เด็ก ยังค่อนข้างมีพรสวรรค์อีกด้วย อายุสิบสี่สิบห้าปีก็ดึงคันธนูหนักสามต้านได้แล้ว ปู่ของเขารู้สึกว่าหาได้ยากยิ่ง ช่วงก่อนจึงมาขอร้องท่านย่าของข้า บิดาของข้าจึงเป็นผู้รับรองให้ หางานที่เหมาะสมในกองพลขนนกให้เขาได้หนึ่งตำแหน่ง…
…นายท่านผู้เฒ่าของพวกเขาดีใจเป็นอย่างมาก ซื้อบ้านสามทางเข้าตั้งอยู่ทิศตะวันออกของเมืองให้เขาหนึ่งหลังทันที ส่งพ่อบ้านของครอบครัวมาปรนนิบัติรับใช้ด้วย…
…หากงานแต่งครั้งนี้สำเร็จลงได้ พี่สาวสี่ฉังไม่มีทางเสียเปรียบอย่างแน่นอน…
…เจ้าเชื่อใจข้าได้!”
แน่นอนว่าหวังซีเชื่อใจลู่หลิง แต่ถ้าลู่หลิงเองก็ดูผิดเล่า?
นางถามอย่างสงบว่า “เหตุใดเจ้าถึงคิดได้ว่าอยากเป็นแม่สื่อให้คุณชายเวินท่านนี้กับพี่สาวสี่”
ลู่หลิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เพราะเมื่อวานเขาได้รับคำสั่งจากปู่ของเขาให้นำพุทรามาส่งให้ท่านย่าของข้า หาไม่แล้ว ข้าเองก็นึกไม่ออกเหมือนกัน!”
หวังซีถาม “ก่อนหน้านี้เจ้ารู้จักครอบครัวนี้หรือไม่”
เนื่องจากอยู่ซานตง ทั้งยังเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลโตในพื้นที่ หากมีความลับน่าละอายอะไร พวกนางอยากตรวจสอบก็อาจจะตรวจสอบไม่เจอ
ลู่หลิงยิ้มตอบ “แน่นอนว่าย่อมรู้จักอยู่แล้ว นายท่านผู้เฒ่าของพวกเขากับท่านปู่ของข้าเป็นสหายสนิทกัน ยังเคยช่วยชีวิตท่านปู่ของข้าเอาไว้ด้วย เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่หน้าที่การงานของท่านพ่อข้ายังไม่ได้ยุ่งมากขนาดนี้ ล้วนหาเวลาไปคารวะเยี่ยมเยียนนายท่านผู้เฒ่าของพวกเขาทุกปี เป็นหลายปีมานี้ หลังจากมารดาของข้าเสียชีวิต ท่านย่าของข้าก็ต้องเป็นคนดูแลเรื่องต่างๆ ในจวน บิดาของข้าจึงไม่อาจออกจากเมืองหลวงตามใจชอบได้อีก ถึงได้ห่างกันไปบ้างเล็กน้อย…
…ครอบครัวพวกเขาไม่เลวเลยจริงๆ…
…นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเวินมีบุตรชายสี่คนบุตรสาวสองคน คุณชายเวินมีน้องชายสามคนและน้องสาวสองคน ยังมีลูกพี่ลูกน้องชายหญิงของอาอีกสิบกว่าคน นอกจากเขากับคุณชายแปดของพวกเขาที่ฝึกวิทยายุทธ์แล้ว น้องชายคนอื่นๆ ของเขาล้วนเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษา บรรพบุรุษไม่มีบุรุษคนใดละเมิดกฎหมาย”
เหตุใดฟังแล้วหวังซีรู้สึกคุ้นหูเหลือเกิน!
นางร้อง “อ๋อ” เสียงหนึ่ง ถามว่า “คุณชายเวินท่านนี้ยืมมือของจวนชิ่งอวิ๋นโหวเข้ากองพลขนนกใช่หรือไม่”
“น่าจะใช่กระมัง!” ลู่หลิงไม่ค่อยกระจ่างแจ้งนัก กล่าวว่า “สมัยหนุ่มท่านพ่อของข้าสนิทสนมกับชิ่งอวิ๋นโหวมาก ไปขอให้เขาช่วยอะไรเล็กน้อยน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก”
ไม่ใช่แค่ไม่ยาก! เกือบก่อมรสุม ทำให้หวังซีถูกบังคับให้ไปขอร้องจวนชิ่งอวิ๋นโหวแทนหย่งเฉิวโหวเสียแล้ว
นางยิ้มขื่นพลางถาม “พวกเขากับจวนเซียงหยางโหวยังเป็นญาติห่างๆ กันอยู่ใช่หรือไม่”
ลู่หลิงพยักหน้า กล่าวว่า “ย่าอีกคนของเซียงหยางโหวเป็นสตรีจากตระกูลเวิน อย่างไรก็ตาม ย่าของเซียงหยางโหวผู้นี้เสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือคุณหนูเอาไว้หนึ่งท่านเท่านั้น หลังจากคุณหนูท่านนี้ออกเรือนก็เสียชีวิตด้วยภาวะคลอดบุตรยากโดยไม่ทิ้งบุตรเอาไว้เลยสักคน ปู่ของเซียงหยางโหวแต่งงานใหม่กับฮูหยินอีกท่านหนึ่ง แม้ทั้งสองครอบครัวยังมีการติดต่อกันอยู่ แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกันบ่อยเท่าบ้านข้า หากไม่เล่าสาแหรกกันอย่างละเอียด คนรุ่นหลังอย่างคุณหนูห้าของจวนเซียงหยางโหวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นญาติทางไหนกับตระกูลเวิน!”
ถ้าหากสิ่งที่ลู่หลิงกล่าวมาเป็นความจริง การทาบทามครั้งนี้ใช่ว่าจะลองดูไม่ได้
สิ่งสำคัญคือลู่หลิงบอกว่าคุณชายตระกูลเวินผู้นั้นรูปงาม
นางอดถามไม่ได้ว่า “ที่บอกว่าคุณชายตระกูลเวินรูปงามนั้นงามอย่างไรหรือ”
ลู่หลิงตรึกตรองแล้วตอบว่า “ข้ารู้สึกว่ารูปงามกว่าองค์ชายสี่”
“จริงหรือ” หวังซีมีชีวิตชีวาขึ้นมา ถามว่า “เมื่อเทียบกับเฉินลั่วเล่า”
“พอๆ กับเฉินลั่วกระมัง!” ลู่หลิงตอบ
“เป็นไปได้อย่างไร!” หวังซีตกใจ ถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้าบอกว่าเขารูปงามกว่าองค์ชายสี่มิใช่หรือ”
“ก็ข้ารู้สึกว่าเฉินลั่วเองก็รูปงามกว่าองค์ชายสี่นี่นา!” ลู่หลิงกล่าวอย่างไม่เข้าใจ
หวังซีคิดว่าต่อให้การทาบทามครั้งนี้ไม่สำเร็จ การได้ไปดูว่าคุณชายเวินท่านนี้หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่แย่เหมือนกัน
แต่นางยังไม่ถึงขั้นไปโน้มน้าวนายหญิงสามเพียงเพราะอยากไปดูว่าคุณชายเวินท่านนี้หน้าตาเป็นอย่างไร
“ข้าคิดว่าด้านนายหญิงสามน่าจะยินดีไปเจอสักครั้งหนึ่ง” นางขบคิดพิจารณาอยู่ในใจ กล่าวกับลู่หลิงว่า “ตระกูลเวินนับว่าเป็นตระกูลดีที่หาได้ยากตระกูลหนึ่ง ก็ต้องรอดูว่าตระกูลเวินคิดเห็นอย่างไรกับตระกูลฉังแล้ว เจ้าบอกว่านายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเวินให้ความสำคัญกับหลานชายคนโตผู้นี้มากมิใช่หรือ กลัวแต่ว่าบิดาของพี่สาวสี่ฉังไร้ยศตำแหน่ง พวกเขาอาจไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไร”
ลู่หลิงรีบกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปถามท่านย่าของข้าดู”
กล่าวจบ ก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วดุจสายลมหอบหนึ่งเหมือนตอนมา ไม่แม้แต่จะไปเจอหน้าฉังเคอ
กระทั่งหวังซีกลับเข้ามาในลานบ้าน ฉังเคอกับคุณหนูพานต่างมองไปที่ด้านหลังของนางอย่างช่วยไม่ได้ “คุณหนูลู่เล่า?”
หวังซีพึมพำงึมงำ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาเหตุผลให้เรื่องนี้ได้ แม้แต่ตอนทำน้ำปรุงรสเห็ดปลวก แม่ครัวถามนางว่าต้องการเติมพริกลงไปหรือไม่ นางส่ายศีรษะอย่างไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ทำน้ำปรุงรสเห็ดปลวกไร้พริกออกมากองหนึ่ง
น้ำปรุงรสที่ไม่มีพริก สำหรับคนสู่จงแล้วก็เหมือนน้ำปรุงรสที่ไม่มีรสชาติ
หวังซีหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
ยังดีที่ลู่หลิงวิ่งมาหาอีกครั้งช่วงพลบค่ำ ยังเอาพุทรามาให้นางกับพวกฉังเคอด้วยหลายตะกร้า
“ท่านย่าของข้าบอกว่าใช้ได้” นางกล่าวอย่างดีอกดีใจ คล้ายกำลังเป็นแม่สื่อให้นางก็ไม่ปาน “ให้คนนำจดหมายไปส่งให้ตระกูลเวินเรียบร้อยแล้ว อย่างมากครึ่งเดือนก็น่าจะมีข่าวคราวตอบกลับมาแล้ว”
กล่าวจบ นางยังยักคิ้วอย่างภาคภูมิใจพลางกล่าว “ฮึ่ม! ไม่มีคนขายหมูแซ่จาง ก็คิดว่าต้องกินหมูมีขนแล้วอย่างนั้นหรือ! คอยดูเถิด ถึงเวลาจะทำให้พวกเจ้าต้องตกใจครั้งใหญ่ ทำให้พวกเจ้าต้องเสียใจภายหลัง!”
หวังซีหัวเราะเสียงดังลั่น กอดลู่หลิงแรงๆ กล่าวอย่างรักใคร่ว่า “เจ้าช่างน่ารักน่าชังจริงๆ!”
ลู่หลิงยักคิ้วให้อย่างยิ้มแย้ม จะวิ่งกลับออกไปประหนึ่งควันสายหนึ่งอีกครั้ง “ท่านย่าของข้ารอข้ากลับไปลองเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ อีกสองวันข้าต้องเข้าวังไปเยี่ยมเจียงไท่เฟยกับท่านย่า”
“ไปเถอะ ไปเถอะ!” หวังซีโบกมือ วันรุ่งขึ้นให้ไป๋กั่วไปพบหลงจู๊ใหญ่ของตระกูลหวัง “หาวิธีไปหาตุ๊กตาของชาวตะวันตกมาให้คุณหนูลู่”
ให้นางได้ดีใจสักหน่อย
ไป๋กั่วรับคำยิ้มๆ แล้วเดินออกไป
หวังซีอยากแบ่งปันเรื่องราวนี้ให้เฉินลั่วฟัง นางให้คนนำจดหมายไปให้เฉินลั่ว ทั้งสองคนไปเจอกันที่กำแพง
ตอนเฉินลั่วมา หวังซีมาถึงก่อนแล้ว
นางพาดตัวอยู่บนกำแพงที่ปูด้วยเสื่อผ้าเนื้อละเอียดสีฟ้าไร้ลายอย่างใจลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
สายลมยามค่ำคืนพัดเส้นผมนางเบาๆ ตรงจอนผมมีเส้นผมลุ่ยลงมาปอยหนึ่ง
เฉินลั่วรู้สึกคันยุบยิบที่มืออีกแล้ว อยากจับผมปอยนั้นเกล้าขึ้นไปให้นางใหม่ถึงจะสบายใจได้
เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งจะขยับเข้าไปใกล้ หวังซีก็ได้สติกลับคืนมาแล้ว กล่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้มร่าเริงว่า “เจ้ามาแล้ว” ทว่าดวงตากลับติดตรึงอยู่บนร่างเขาไม่อาจถอนออกมาได้
เสื้อแขนกว้างคอกลมผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์ไร้ลายถูกลมพัดจนแนบอยู่บนตัวเขา ไหล่กว้างเอวคอดกิ่ว ช่วงขายาวดูดี ดุจต้นหลิวยืดหยุ่นแต่แข็งแรงและต้นสนที่มั่นคง สว่างไสวเย็นสบาย
คุณชายเวินจะรูปงามเท่าเฉินลั่วจริงหรือ!
หวังซีไม่เชื่อ
นางถามเฉินลั่ว “พวกเรากำหนดวิธีลับๆ สักอย่างหนึ่งขึ้นมาได้หรือไม่ เวลาข้ามีเรื่องด่วนจะได้พบเจ้าได้ทันที”
เฉินลั่วคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าเอาระฆังไปแขวนไว้บนต้นหลิวตรงนั้น เมื่อข้าได้ยินเสียงระฆัง พวกเราก็มาพบกันตอนยามโหย่ว[1]”
เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเมื่อเฉินลั่วกลับถึงบ้านก็จะให้คนไปฟังดูว่ามีเสียงระฆังจากทางนี้หรือไม่
หวังซีรู้สึกว่าดีมาก
นางยิ้มตาหยี
เฉินลั่วถามนาง “มีเรื่องด่วนอะไรหรือ” ไม่อย่างนั้นคงไม่รีบร้อนมาหาเขาเช่นนี้
หวังซีรีบเล่าเรื่องที่ลู่หลิงเป็นแม่สื่อให้ฉังเคอให้เฉินลั่วฟัง ยังกล่าวอย่างไม่หายตื่นเต้นว่า “หากสองตระกูลมาวางสินสอดใกล้ๆ กันได้ก็คงดี!”
เฉินลั่วมองหวังซีครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “หากตระกูลเวินนั่นมีกฎว่า ต่อให้ในบ้านจะมั่งคั่งร่ำรวยแค่ไหน บุตรหลานในตระกูลแต่งงานก็มีการกำหนดสินสอดตายตัวเอาไว้เล่า”
ถึงเวลายังไม่รู้เลยว่าผู้ใดจะเสียหน้ามากกว่ากัน
“นั่นเป็นปัญหาอะไรกัน” หวังซีกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ข้าเติมให้นางก็ได้แล้ว”
เรื่องที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ ไม่นับว่าเป็นปัญหา
เฉินลั่วกลับคิดถึงตระกูลเวิน ถามว่า “รู้หรือไม่ว่าคุณชายเวินผู้นั้นมีนามว่าอะไร”
เขาคิดว่าจะให้ดีต้องไปสืบดูสักหน่อย
เป็นคนของกองพลขนนก ใครจะรู้อาจจะได้ทักทายกันสักวันหนึ่งก็เป็นได้
“เห็นว่ามีนามอักษรเดียวว่า ‘เจิง’” หวังซีรู้สึกว่าต่อให้จิงเฉิงกว้างใหญ่มาก แต่ต้องมีสักวันที่เฉินลั่วจะได้เจอ หากสืบได้ว่าคนผู้นี้เป็นคนเช่นไรก็ยิ่งดี
ไม่คิดว่าเฉินลั่วได้ยินแล้วจะพยักหน้า ถามนางว่า “เจ้ามาหาข้ามีอะไร”
หวังซีตะลึงงัน
เมื่อครู่นางพูดไปแล้วนี่นา!
เฉินลั่วย่นคิ้ว กล่าวว่า “ข้ายังมีธุระ มีเรื่องอะไร พวกเราค่อยคุยกันอีกทีครั้งหน้าก็แล้วกัน!”
หวังซีเบื้อใบ้ เฉินลั่วหมุนกายเดินจากไปแล้วถึงได้สติคืนกลับมา นางเดือดปุดปุด หักกิ่งหลิวมาโยนใส่หลังของเขา
เฉินลั่วที่เดินอยู่ใต้แสงจันทร์เม้มปากกลั้นหัวเราะ มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่ตรงหางตา
เขาถามเฉินอวี้ที่เดินตามมาว่า “ชิ่งอวิ๋นโหวกลับไปตอนไหน”
เฉินอวี้กระซิบกล่าว “กลับไปก่อนที่ท่านกั๋วกงจะกลับมาขอรับ” กล่าวถึงตรงนี้ ดวงหน้าเขาเผยแววลังเลออกมาให้เห็น
เฉินลั่วครวญเสียงเย็นครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ชิ่งอวิ๋นโหวมาเยี่ยมมารดาข้า บิดาข้ายังไม่รู้ หากบอกว่าไม่มีฝีมือของมารดาข้าอยู่ด้วย ผู้ใดจะเชื่อ”
เฉินอวี้ก้มศีรษะลงยิ้มขื่น ไม่อยากให้เฉินลั่วเห็น กล่าวว่า “ตรวจสอบมาแน่ชัดแล้ว อีกสองวันเป็นวันคล้ายวันประสูติของเจียงไท่เฟย ฟังจากน้ำเสียงของชิ่งอวิ๋นโหวแล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงมีพระประสงค์จะจัดงานอย่างดีให้เจียงไท่เฟยสักครั้งหนึ่ง ก็เลยอยากเชิญจ่างกงจู่เข้าวังขอรับ”
เฉินลั่วหลุบตาก้มหน้าลง
เชิญมารดาของเขาเข้าวังเป็นเรื่องรอง ฮองเฮาเหนียงเหนียงอยากใช้โอกาสนี้ขอโทษฮ่องเต้ นี่ต่างหากคือวัตถุประสงค์หลักของตระกูลปั๋ว
มารดาของเขาน่าจะตอบรับ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มารดาของเขาล้วนให้ความสำคัญกับฮองเฮาเหนียงเหนียง
แต่น้ำเสียงของเฉินอวี้เปลี่ยนไป ดวงตาเผยความงุนงงออกมาพลางกล่าวต่อว่า “ชิ่งอวิ๋นโหวยังหารือกับจ่างกงจู่ด้วยว่า อยากใช้โอกาสที่จัดงานวันคล้ายวันประสูติให้เจียงไท่เฟยนี้ สมทบเงินค่าเครื่องเขียนให้องค์ชายทั้งหมดขอรับ”
เฉินลั่วหน้าเคร่ง
เบี้ยรายเดือนของเหล่าองค์ชายล้วนถูกกำหนดเอาไว้ตายตัว เบี้ยรายเดือนมากน้อยมีผลต่อรายจ่ายของแผ่นดิน ดึงขนเพียงหนึ่งเส้นแต่กายสั่นไปทั้งร่างได้ ปกติแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหล่าองค์ชายเองก็ใช่ว่าอยากใช้จ่ายอย่างไรก็ใช้จ่ายอย่างนั้นได้
หากฮ่องเต้เห็นใจโอรส องค์ชายที่ยังเรียนหนังสืออยู่ก็จะใช้ค่าเครื่องเขียนเป็นข้ออ้าง องค์ชายที่เสกสมรสแล้วจะใช้ค่าฟืนไฟเป็นข้ออ้าง ลอบสมทบเงินให้องค์ชายเป็นการส่วนตัวอย่างลับๆ
แต่การเอาเรื่องลับมากระทำอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ จวนชิ่งอวิ๋นโหวคิดจะทำอะไรกันแน่
ใต้หล้าปรองดองกันแล้ว ทุกคนจะได้ส่วนแบ่งอย่างนั้นหรือ
…………………………………………………………….
[1]ยามโหย่ว 17.00-19.00 นาฬิกา
ตอนต่อไป