บทพิเศษ 5 กลุ่มพี่น้องหญิง

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

“เหลียงอี๋เยว่!” เสียงคำรามดังลั่นดังสนั่นทั้งในและนอกจวนเหลียง

“เฮ้อ! มีคนมาหาข้าคิดบัญชีอีกคนละ จิ่งอวี้ หรือว่าพวกเราตั้งกลุ่มพี่น้องหญิง ทำให้กลุ่มพี่น้องชายของพวกเขาปวดใจเช่นนี้เลยหรือ” เหลียงอี๋เยว่อดขมวดคิ้วบ่นด้วยสีหน้าขัดใจไม่ได้ เกือบไปแล้ว ชามของหวานเม็ดบัวนี่เกือบหลุดจากมือนางเพราะเสียงคำรามโมโหอันแสนคุ้นเคยนี่แล้ว

พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือพอพวกนางใกล้อายุสิบห้า ใกล้เข้าพิธีปักปิ่นเป็นสาว นางกับจิ่งอวี้ไม่เพียงแต่หลุดออกจากใต้ปีกปกป้องพวกพี่ๆ กล่าวยากรับฟังก็คือตั้งตัวเป็นเอกเทศแล้ว นางไม่เชื่อว่าสตรีอย่างพวกนางขาดผู้ชายดูแลแล้วจะเฉิดฉายส่องประกายไม่ได้

“ข้าว่า พวกเขาทนรับไม่ได้ที่เจ้าเอาพี่หลงกับเซวี่ยเจินมามากกว่า แค่พวกนางสองคนที่พวกเขาทนรับไม่ได้” ใบหน้าเล็กหวานของเจียงจิ่งอวี้เงยขึ้นจากกองสมุดบัญชีหนาตั้งใหญ่ พอนางเข้าพิธีปักปิ่น ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นก็มอบให้นางดูแลทั้งหมด ตอนนี้กำลังอ่านบัญชีกองโตอยู่

“เจ้าไม่ต้องอธิบายละเอียดเช่นนี้ก็ได้” ใบหน้าเล็กน่ารักของเหลียงอี๋เยว่เบ้ปาก นางกับจิ่งอวี้กำลังจะถูกพี่น้องชายขับออกจากงานชุมนุมพี่น้องแล้ว เหตุผลก็ง่ายมาก พวกนางกำลังจะปักปิ่น ไม่เหมาะจะไปร่วมออกหน้าออกตากับหมู่ชายหนุ่ม แต่ทำไมเป็นสตรีเหมือนกัน แต่พี่ใหญ่กับเซวี่ยเจินก็ได้ล่ะ ก็เพราะว่าสถานะพวกนางไม่เหมือนกันงั้นหรือ คนหนึ่งคือประมุขหอเฟิงเหยา อีกคนก็คือว่าที่ผู้นำเซวี่ยหมิง ต้องเป็นผู้นำลูกน้อง ดังนั้นเลยมีประโยขน์ในกลุ่มพี่น้องชาย แต่นางกับจิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน สตรีพอเข้าพิธีปักปิ่น ก็รอแค่ออกเรือน หรือไม่ก็ถูกบิดาแล้งน้ำใจแอบตกลงส่วนตัวกับขุนนางใหญ่จนบรรลุข้อตกลง จากนั้นก็ให้พวกนางขึ้นเกี้ยวที่ไม่รู้มาจากไหนเข้าไปอยู่เรือนหลังของตระกูลใหญ่ ได้ชื่อว่าคุณนายน้อย แต่ความจริง…จากนี้ไปพวกนางก็จะถูกขังอยู่ในพื้นที่แคบๆ นั่นไปจนแก่ตาย…

สำหรับท่านแม่ไม่ธรรมดาของนางนั่น หากออกมายืนข้างนาง ปฏิเสธงานแต่งงานที่บิดานางเสนอออกมา ย่อมอยู่ข้างนาง…

“ไม่กระมัง ท่านน้าไจ่กับท่านน้าจิ้งไม่ใช่คนเช่นนั้น” เจียงจิ่งอวี้มองสตรีตัวน้อยอย่างลังเล นางกำลังมัวแต่พึมพำความคิดตนอย่างไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา ก็อดออกหน้าโต้แทนผู้ใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องด้วยไม่ได้

“เฮ้อ เจ้าจะไปรู้อะไร” เหลียงอี๋เยว่ได้สติก็หันมาโบกมืออย่างหมดแรง “หากไม่ใช่ข้าใช้ความตายมาต่อต้าน ท่านแม่ข้าจะบีบข้าเรียนหมอจริงๆ ท่านพ่อข้าก็จะให้ปกครองจริงๆ แต่เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ข้าที่ข้าต้องการ” อนาคตการแพทย์ตระกูลเหลียงมีพี่ชายนางก็พอแล้ว ว่าที่ผู้ปกครองต้าซื่อก็มีหลินซีออกหน้ารับแทนนางและพี่ชายแล้ว นางไม่ได้โง่ที่จะเข้าไปแตะต้องด้วยหรอก ถึงตายก็ไม่เอา

“อย่างนั้นเจ้าอยากทำอะไร ใช่แล้ว กลุ่มพี่น้องหญิงนี่มีไว้ทำอะไร” เจียงจิ่งอวี้ถามอย่างไม่เข้าใจ

บอกว่าตั้งกลุ่มพี่น้องหญิง แต่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ที่ควรดึงมา ที่ควรแจ้งให้ทราบ ที่ควรประกาศศักดา…ก็ทำหมดแล้ว ก็รอแค่งานเปิดกลุ่มพี่น้องหญิง แต่ทำไมตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนว่าเป็นแค่ข้อเสนอยามรู้สึกเบื่อของสตรีตัวน้อยและต้องการโต้ตอบกลุ่มพี่น้องชายที่ไม่ยอมให้พวกนางสองคนเข้าร่วมหลังพิธีปักปิ่น นางจึงได้คิดตั้งกลุ่มพี่น้องหญิงขึ้นมา

“จริงด้วย จากนี้ควรทำอะไร ข้าคิดก่อน เมื่อก่อนพวกพี่ๆ เขาจะร่วมมือกันวางแผนทำอะไรบ้าง…”

ตามคาด! เจียงจิ่งอวี้ถอนหายใจเบาๆ พลางส่ายหน้า ไม่สนใจเหลียงอี๋เยว่ที่เอาแต่คร่ำเคร่งคิดอยู่ หันหน้าไปดูตัวเลขที่แสนวุ่นวายของตนเองต่อ

เพราะไม่อาจเข้าร่วมงานชุมนุมพี่น้องของพวกพี่ชาย มีกลุ่มพี่น้องหญิงให้นางฆ่าเวลาก็ดีเหมือนกัน ขอแค่อี๋เยว่อย่าได้คิดหาเรื่องเดือดร้อนมาให้นางจนทำให้คนมาหาเรื่องตีกับพวกนางก็พอ

……

เป็นดังที่นางคาดเดาไว้เลย กลัวอะไรอันนั้นก็มาจริง

เจียงจิ่งอวี้มองเหลียงอี๋เยว่ที่แต่งกายเป็นชายเบื้องหน้าอย่างลังเล นางอยู่ในชุดแต่งกายผู้ชายสีเขียว “ต้องเปลี่ยนหรือ”

“แน่นอน หรือว่ามีผู้หญิงที่ไหนไปหอบุปผา” เหลียงอี๋เยว่สีหน้าตื่นเต้น “คนข้างนอกเขาล้วนชื่นชมกันว่าหอบุปผาในเมืองฮ่วนซาดึงดูดสายตาชายได้มากที่สุด หรือว่าเจ้าไม่อยากไปดูให้รู้กันสักครั้ง”

พูดตามตรง นางไม่อยาก เจียงจิ่งอวี้กลืนน้ำลายเอื๊อก แต่ผู้ใดให้นางอายุน้อยกว่าอี๋เยว่ล่ะ ไม่มีสิทธิ์พูด ได้แต่เชื่อฟังเป็นเพื่อนคอยตามเหลียงอี๋เยว่ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายชายขึ้นรถม้าไปยังเมืองฮ่วนซาแผ่นดินต้าหุ้ย

ขอแค่พวกพี่ๆ จะรู้ก่อนสายเกินไป ยับยั้งพวกนางก่อนจะเข้าหอบุปผา

เจียงจิ่งอวี้แอบหวัง ตอนที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็แอบหาเวลาไปเขียนจดหมายทิ้งไว้บนโต๊ะ ก็หวังว่าพี่ชายนางจะมาพบเข้าว่านางไม่ได้ออกไปกินข้าวทั้งวัน และมาหานางที่ห้อง สวรรค์! นางไม่อยากถูกบรรดาสาวๆ ในหอบุปผานั้นรุมล้อมอยู่กับเหลียงอี๋เยว่สองคนนะ

……

เมืองฮ่วนซาแผ่นดินต้าหุ้ยไม่รู้ว่าเริ่มจากปีไหนที่มีแต่หอบุปผาทั่วเมือง เป็นหอที่ทำเงินจ่ายภาษีแทนทั้งเมือง หอบุปผาเมืองฮ่วนซากลายเป็นสัญลักษณ์เมืองฮ่วนซาไปแล้ว บรรดาสาวๆ ในหอบุปผา ก็กลายเป็นผู้สร้างความสุขให้แก่เมืองฮ่วนซา

เป็นเช่นนี้เพราะต้าซื่อที่ไม่ห่างจากฮ่วนซา เก็บกวาดสะอาดไม่ยอมให้ในเมืองมีหอคณิกา ว่ากันว่าหยางจิ้งจือนายหญิงแห่งต้าซื่อ ซึ่งก็คือหัวหน้าโรงหมอ เป็นผู้ยืนยันกฎระเบียบนี้ การปรับปรุงอื่นนางไม่เคยเข้าข้องเกี่ยว มีเพียงหอคณิกาที่นางไม่ยอมให้มี บางทีนี่อาจเป็นเหตุให้เมืองฮ่วนซารุ่งเรืองอยู่ในตอนนี้

หากนางได้รู้ว่าลูกสาวนางถึงกับปลอมตัวเป็นชายจะไปหว่านเงินที่หอบุปผาซื้อรอยยิ้มแล้วละก็ จะกระอักโลหิตไหมนะ

เจียงจิ่งอวี้ถูกเหลียงอี๋เยว่ลากไปถึงหน้าประตูหอบุปผาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮ่วนซา ก่อนจะลงจากรถม้า นางก็ยังคงลังเล

“อี๋เยว่…” นางดึงมือเหลียงอี๋เยว่ไว้แน่น พี่ใหญ่ทำไมยังไม่มาอีก หรือว่าเขาไม่ได้เห็นจดหมายที่นางทิ้งไว้ หรือว่าวันนี้เขาไม่ได้กลับบ้าน ยุ่งอยู่แต่กับงานในสำนักศึกษา

“จิ่งอวี้? เจ้ากลัวอะไร เข้าไปดูๆ กันเท่านั้นเอง!” เหลียงอี๋เยว่มองอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมเจียงจิ่งอวี้กลัวเช่นนี้

“ดูๆ? แล้วจากนั้นล่ะ” นางไม่คิดว่าแม่เล้านางคณิกาในหอบุปผาจะจัดการง่าย ครึ่งปีก่อนตามท่านน้าใหญ่มาทำการค้าที่เมืองฮ่วนซา ก็จัดเลี้ยงที่หอบุปผาจุ้ยสี่โหลว ตอนรินสุราให้พ่อค้า นางก็เคยได้เห็นกลวิธีแยบยลของแม่นางพวกนั้นมาแล้วด้วยตนเอง แค่เพียงหนึ่งชั่วยาม เงินทองในกระเป๋าพ่อค้าเหล่านั้นก็ถูกขุดออกไปจนเกลี้ยง สุดท้ายยังเป็นท่านน้าที่จ่ายเงินค่าสุราแทน

สวรรค์! พอนางคิดถึงแม่นางที่เห็นเงินยิ่งกว่าชีวิตพวกนี้แล้วก็อดเข่าอ่อนไม่ได้ นางยอมก้มหน้าอยู่กับสมุดบัญชีน่าเบื่อพวกนั้นดีกว่า อย่างไรก็ไม่คิดจะมาเสวนากับแม่นางหอบุปผาพวกนี้

“จิ่งอวี้ เจ้ากลัวอะไรน่ะ วางใจได้ พวกเราแต่งตัวเช่นนี้ไม่มีคนมองออกหรอก” เหลียงอี๋เยว่ยิ้มมุมปาก ดึงเจียงจิ่งอวี้ไปยังหอจุ้ยสี่โหลวที่แขวนโคมหลากสีสันเอาไว้

“หากไม่รู้มาก่อนว่านี่คือหอบุปผา ข้ายังคิดว่าก็แค่ร้านอาหารธรรมดานะเนี่ย” เหลียงอี๋เยว่อ่านชื่อร้านหอบุปผาที่แปลว่าทั้งเมาทั้งปรีดา ไม่ใช่ร้านอาหารจะเป็นอะไร แต่ฟั่งเฉินถึงกับบอกว่านี่คือหอบุปผา

“ฟั่งเฉิน? เขาให้เจ้ามาหรือ” ในที่สุดเจียงจิ่งอวี้ก็จับความได้สองคำจากคำพูดที่ไม่เน้นประเด็นอะไรสักอย่างของเหลียงอี๋เยว่

“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเคยได้ยินเขาเอ่ยถึงตอนเขาคุยกับเซวี่ยเยวียน” เหลียงอี๋เยว่ย่นจมูก บรรดาพี่ชายจะยอมให้พวกนางสองคนที่ยังไม่ปักปิ่นมาที่แห่งนี้สิแปลก

มิน่า! เจียงจิ่งอวี้แอบกลอกตา ไม่อย่างนั้นด้วยวิสัยนางที่วันๆ ล้อมรอบไปด้วยโคลง หมาก พิณ อักษรภาพวาด อะไรพวกนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าเมืองฮ่วนซามีหอบุปผา

“อี๋เยว่ ข้าว่า…” มองไปเห็นแม่นางสองคนหน้าประตูจุ้ยสี่โหลวกำลังร้องเรียกเชื้อเชิญแขกอยู่ เจียงจิ่งอวี้ก็หยุดฝีเท้าทันที “พวกเรากลับไปเถอะ หากมีคนรู้…” นางเริ่มพูดมาก จุดจบอย่างไรนางพอคิดออกแล้ว

“มาก็มาแล้ว ไม่เข้าไปน่าเสียดายออก…” เหลียงอี๋เยว่หรี่ตายิ้มลากนาง นางยังคงไม่ยอมหันหน้ากลับไปทางจุ้ยสี่โหลว พวกพี่นางไม่ทันมาตาม พวกนางก็คิดกลับบ้าน? ล้อเล่นน่า นาง ‘เหลียงอี๋เยว่’ ไม่ใช่พวกทำอะไรล้มเลิกกลางคันนะ

เจียงจิ่งอวี้แทบจะหลับตาถูกเหลียงอี๋เยว่ลากเข้าไปในจุ้ยสี่โหลว สำหรับขึ้นไปชั้นบนได้อย่างไร เข้าไปในห้องพิเศษได้อย่างไร นางไม่รู้ตัวเองเลย พอได้สติ นางกับอี๋เยว่สองคนก็มานั่งจิบชาอยู่ในห้องพิเศษส่วนตัวหรูหราชั้นสองห้องหนึ่งแล้ว

“ดูสิ ไม่ได้อันตรายเหมือนที่เจ้าคิดไว้เลยใช่ไหม” เหลียงอี๋เยว่หรี่ตามอง ก่อนจะสบตากับเจียงจิ่งอวี้ ละครกำลังเริ่มแล้ว พวกนางได้ยินเสียงแสนคุ้นเคยดังอยู่ด้านล่าง

“ออกมา! เหลียงอี๋เยว่!” ซือฟั่งเฉินคำรามเสียงดัง

“จิ่งอวี้! เด็กดี เด็กดี ออกมานะ!” เจียงไหวอานน้ำเสียงอ่อนโยน

“ข้าว่าเผามันเลย ให้จบๆ ไป” ซือฉีหยางเสนออย่างดุดันหยาบคาย

“อี๋เยว่ อย่าทำให้พี่ใหญ่ต้องค้น!” เหลียงซวี่รื่อข่มขู่น้ำเสียงสุภาพทรงเสน่ห์

“เฮ้อ มากันเร็วไปไหมนะ ไม่ทันได้ดื่มน้ำชาสักคำ” เหลียงอี๋เยว่แบสองมือให้เจียงจิ่งอวี้ “เจ้าทิ้งข้อความไว้หรือ” ไม่อย่างนั้นจะถูกพวกเขาตามมาถึงที่นี่เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร แม้ว่านางเองก็คิดว่าพวกเขาคงตามมาที่นี่ได้ แต่ไม่คิดว่าจะถูกจับได้เร็วเพียงนี้

“อี๋เยว่…” เจียงจิ่งอวี้พยักหน้าอย่างลำบากใจ พวกนางออกเดินทางมากันครั้งที จุดหมายที่จะไปก็น่าตกใจจริงนะ

“เอาเถอะ ลงไปกันเถอะ คงไม่อาจให้พวกเขาเผาหอนี่หรือค้นมันทุกห้อง” เหลียงอี๋เยว่หน้าสลด “จิ่งอวี้ เดี๋ยวสบช่อง ขอเพียงให้พวกพี่ๆ รู้ว่าพวกเราออกจากหอจุ้ยสี่โหลวก็พอ ข้ายังไม่อยากถูกพวกเขาคุมตัวกลับไปจัดการเร็วเช่นนี้”

“เจ้าคิดหนี?” เจียงจิ่งอวี้อุดปากแน่น อี๋เยว่คิดเช่นนี้ตอนไหนกัน หรือว่าว่างเกินไปจริง เหมือนนาง พี่หลง พี่เจิน ไม่มีใครคิดเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้ได้สักคน แต่ไม่มีเวลาแล้ว ไหนเลยจะยังมีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้

“ข้าเพียงแต่คิดอาศัยกระบี่ออกท่องยุทธภพ กว่าจะหนีออกจากบ้านมาได้ ไยไม่ถือโอกาสไปท่องยุทธภพกันล่ะ” เหลียงอี๋เยว่จัดเสื้อผ้าอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ก่อนจะคว้าห่อผ้า ในนั้นมีกระบี่สั้นที่ตีขึ้นเป็นพิเศษเล่มหนึ่ง

เจียงจิ่งอวี้ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ข้า…”

“พี่น้องกันไม่อาจกล่าวว่าไม่!” เหลียงอี๋เยว่คำเดียวก็ทำให้วาจาที่นางไม่ทันได้กล่าวออกมาต้องกลืนกลับไป ฮือ ฮือ ฮือ นางมีงานยุ่งนะ ไม่มีเวลาเป็นเพื่อนคุณหนูใหญ่อย่างนางไปท่องยุทธภพหรอกนะ

……

“แน่ใจแล้วว่าพวกนางไปทางตะวันออก”

“ดูทิศทางแล้วน่าเป็นเมืองชิงเฮ่อ”

“ไม่ตามจับกลับมาจริงหรือ”

“พี่ใหญ่ไม่ได้บอกแล้วหรือ นางเพียงแต่ส่งเสียงไม่พอใจที่พวกเราขับนางออกจากงานชุมนุมพี่น้อง”

“ให้นางออกไปปลดปล่อยอารมณ์บ้างก็ดี ไม่แน่ออกไปครั้งนี้ อาจเจออะไรที่ทำให้นางเรียนรู้ที่จะเป็นเด็กดีก็ได้”

“แต่จิ่งอวี้ไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลยนะ”

“จิ่งอวี้วิทยายุทธ์ไม่อ่อนด้อย มีนางอยู่ กลับวางใจ”

”สามเดือน ให้เวลาพวกนางสามเดือน ฉีหยาง ให้คนที่ชิงเฮ่อของเจ้าจับตาดูพวกนางหน่อย”

“เข้าใจแล้ว อย่างนั้น…กลุ่มพี่น้องหญิงยังคงอยู่ไหม”

“คงอยู่หรือไม่คงอยู่มีอะไรแตกต่าง?”

“ข้าคิดจะขอยืมพี่หลงหน่อย”

“ข้ายังอยากยืมเจินเอ๋อร์หน่อย”

“จะเป็นอะไรไป กลุ่มพี่น้องหญิงก็ไม่ได้มีกฎระเบียบว่าสมาชิกในกลุ่ม นอกกลุ่มยืมใช้ไม่ได้” นั่นคือสิ่งที่เหลียงอี๋เยว่คิดไม่ถึงว่าพวกเขายังมีวิธีการเช่นนี้อีก

“ดังนั้น…”

“พี่ใหญ่กับเซวี่ยเจินยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเราอย่างไร!” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน

นังหนูสองคนที่คิดว่าตนเองหนีออกไปได้อิสระ นานเข้าจึงได้รู้ว่า ที่เรียกว่ากลุ่มพี่น้องหญิงนั้นมีแค่นางสองคน แต่ทว่าได้ออกท่องเที่ยวก็ถือว่าเป็นการชักธงรบก็แล้วกัน

……

“ข้าก็ว่า! ปล่อยพวกนางสองไปท่องเที่ยว ยากรับรองว่าจะคิดกลับบ้านเอง” สามเดือนต่อมา กลุ่มพี่น้องชายก็มาพบกันอีกด้วยเรื่องเดียว ก็คือน้องสาวสองคนหนีออกจากบ้านไปท่องยุทธภพ ตอนนี้ยังไม่คิดกลับบ้าน

“ฉีหยาง เจ้ามีข่าวอะไร” เจียงไหวอานขมวดคิ้วหรี่ตามองซือฉีหยางที่นิ่งคิดอยู่ พักนี้พี่หลินหลงกำลังยุ่งกับการคุ้มกันสินค้าราชสำนัก หอเฟิงเหยาทุกคนกำลังทำงานกันอย่างจริงจัง กลัวเกิดเหตุผิดพลาด ดังนั้นภาระจับตาดูสองสาวก็ย่อมต้องตกเป็นของหอกว่างชื่อโหลวแบกรับไป

“ยี่สิบวันก่อนพวกนางยังอยู่เมืองเฟิงเฉิง สิบวันก่อนพวกนางมาอยู่เมืองสุ่ยเยว่ สามวันก่อนพวกนางก็ถึงเมืองหลวง ตอนนี้…ไม่รู้ พักนี้พวกนางยังใช้ชื่อกลุ่มพี่น้องหญิง ชาวยุทธภพไม่น้อยรู้ นึกว่ามีกลุ่มพี่น้องหญิงว่าเป็นองค์กรใหม่แล้ว” ซือฉีหยางแบะสองมือท่าทางบอกว่าไม่รู้ทำเช่นไรดี ตอนนี้หอกว่างชื่อโหลวที่มีสาขาอยู่สิบแผ่นดินก็ต้องคอยอารักขาสองสาวไปตามท้องถนนตรอกซอกซอย บางทียังต้องช่วยพวกนางสองคนเก็บกวาดงานหลังพวกนางออกผดุงคุณธรรมด้วย

“จิ่งอวี้ส่งจดหมายมาว่าอย่างไร” เหลียงซวี่รื่อถอนหายใจเบาๆ หันไปถามเจียงไหวอาน โชคดีที่มีจิ่งอวี้อยู่ ยังรู้ว่าต้องส่งจดหมายให้พวกเขาเดือนเว้นเดือน

“อี๋เยว่ยังคิดจะขึ้นเหนือต่อ บางทีอาจเข้าเซวี่ยหมิง” เจียงไหวอานขมวดคิ้วถอนหายใจกล่าว แม้ว่าเซวี่ยหมิงก็คือพื้นที่ของเซวี่ยเยวียน แต่ไม่ได้หมายความว่าชาวแผ่นดินเซวี่ยหมิงทุกคนจะรู้จักพวกนาง

“แจ้งเซวี่ยเยวียน ให้เขาส่งคนมาคอยติดตามอารักขาพวกนางตลอดทาง” หลินเซียวนิ่งเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยสั่งการ

“แต่ว่า…” เหลียงซวี่รื่อแอบลังเล ตามความเห็นท่านพ่อเขา ให้สองสาวได้เจออะไรบ้างก็ดี หากปกป้องดีเกินไป จะมีอะไรให้เจอล่ะ ดีไม่ดี อี๋เยว่จะคิดว่าพวกนางดวงดีเจอแต่คนดี เช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะยิ่งชอบหาทางออกท่องยุทธภพไม่เลิก

”ข้าไปพาพวกนางกลับมา” เจี้ยนซิงกล่าวเบาๆ สำหรับเขาแล้ว พวกนางสองคนล้วนเป็นน้องสาวเขา แม้ว่าเขาพูดไม่เก่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใส่ใจพวกนาง

“เช่นนี้ก็ดี ระวังตัวด้วย มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ติดต่อหอกว่างชื่อโหลว หรือเซวี่ยเยวียน” หลินเซียวเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

ดังนั้นกลุ่มพี่น้องชายก็เริ่มปฏิบัติการตามล่าน้องสาวแล้ว…