“ร้านปักผ้า? เจ้าทำงานร้านปักผ้าไหน” หลินเซียวจับคำพูดนางได้ คงไม่ใช่ร้านปักผ้าของโรงทอผ้าไหมท่านแม่?
“โรงทอผ้าไหม” สวี่เซียงจวิ้นยิ้มกว้าง “พอหายป่วย รู้ว่าท่านช่วยข้า เดิมคิดจะมาขอบคุณท่าน แต่ท่านอาเซี่ยงบอกว่าท่านยุ่งมาก พาข้าไปหอพักใจ พอรู้ว่าข้าปักผ้าได้ไม่เลว ก็ให้ข้าอยู่ทำงานที่โรงทอผ้าไหม หนึ่งปีมานี้ ข้าสะสมเงินได้สี่ตำลึงแล้ว พอจะจ่ายหนี้หนึ่งปีได้แล้ว แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าพวกเขายังตามมาที่นี่…พวกเขาไม่ใช่พวกจัดการง่าย วันนี้ได้พบท่านแล้วก็ถือว่าได้บรรลุความตั้งใจของข้าแล้ว ท่านวางใจ ข้าจะไม่กลับไปร้านปักผ้าอีก พวกเขาจะได้ไม่ไปหาเรื่อง…สรุป ขอบคุณท่านมาก!”
“คนที่เจ้าตามหา ยังไม่มีเบาะแสหรือ” หลินเซียวเริ่มสีหน้าเคร่งเครียด จิบชาแล้วก็ถามขึ้น
“อืม บางทีอาจเพราะนอกและในเมืองเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อน ข้าเลยไม่รู้ว่าพวกเขาย้ายไปไหนกันแล้ว” สวี่เซียงจวิ้นถอนหายใจเบาๆ แม้หาเจอแล้วอย่างไร นางไม่คิดว่าลุงใหญ่และครอบครัวจะช่วยนางใช้หนี้อีกสิบหกตำลึงที่เหลือ
พอทำใจได้ ก็ลุกขึ้นคำนับหลินเซียว “ขอบคุณ” ไม่เพียงช่วยนางไว้ ยังให้นางได้ลิ้มลองขนมอบสับปะรดที่มีชื่อของต้าซื่อ
“เจ้าตั้งใจจะไปไหน” หลินเซียวขมวดคิ้วอย่างขัดใจ คงไม่ใช่ไปรนหาที่เองกระมัง เอาตัวใช้หนี้ น่าตาย ทำไมเขาจึงได้อารมณ์เสียเช่นนี้
“ฟ้าดินกว้างใหญ่ คงมีที่สำหรับข้า” สวี่เซียงจวิ้นตัดสินใจแน่วแน่ “เพียงแต่ไม่มีอะไรตอบแทนบุญคุณคุณชายหลิน” เดิมคิดจะอยู่ทำงานที่โรงทอผ้าไหม พอจ่ายหนี้แล้วก็จะมาชุ่ยอวี้ไจ ขอเพียงได้ช่วยงานเขา ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่เป็นไร
แต่ทว่าตอนนี้คงไม่ได้แล้ว ผู้ใดให้เจ้าพวกนั้นไม่รักษาคำพูดเช่นนี้
นางได้แต่ต้องไปจากต้าซื่อนี้แล้ว จะได้ไม่ทำให้พวกเขามาทำให้กิจการเขาวุ่นวาย
“อยู่ต่อ เรื่องอื่น ข้าจัดการเอง”
……
ตั้งแต่วันนั้น นางก็ไม่ได้เจอเขาอีก และก็ไม่ได้ถูกเจ้าพวกนั้นตามรังควานอีก บางทีอาจถูกเขาจ่ายเงินไล่ไปแล้ว…เพราะว่าหลังจากวันนั้น เขาก็ฝากท่านอาเซี่ยงมาบอกว่า นางอยู่ต่อที่โรงทอผ้าไหมได้ตามสบาย ทำงานปักของนางไป รับเงินเดือนแล้วก็ชดใช้หนี้เขาแทน
จากนี้ไปนางได้มีชีวิตใหม่แล้ว ทุกวันยิ้มแย้มทำงาน มีความสุขกับงาน ทุกวันงานปักของนางล้วนได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ดูแลโรงทอผ้าไหม
ปีที่สองนางเก็บได้อีกสิบตำลึง ในนี้มีหกตำลึงเป็นเงินรางวัลที่ได้หลังนางปักภาพหงส์
ยังคงเป็นเช้าตรู่วันที่เจ็ดเดือนสิบเอ็ด สวี่เซียงจวิ้นคว้าถุงใส่เงินสิบตำลึง ตื่นเต้นมาขอพบเขาที่ชุ่ยอวี้ไจ “ข้า…อยากขอพบ…คุณชายหลินเซียว”
เถ้าแก่หลัวจำนางได้ว่าปีก่อนนายท่านให้ความสนใจนางอยู่ ในใจก็คิดได้ทันที ยิ้มบางให้เสี่ยวเอ้อร์พานางไปนั่งรอ ตนเองไปเรือนด้านหลังหาหลินเซียว ไม่ค่อยได้เห็นนายท่านใส่ใจแม่นางบ้านไหนเช่นนี้ นางเป็นคนแรก บางทีเรื่องดีๆ ของนายท่านก็อาจใกล้มาถึงแล้ว
“ไม่เหลือไว้ใช้เองหน่อยหรือ” หลินเซียวเปิดถุงใส่เงินออก ก็รู้ว่านางมอบรายได้ทั้งหมดคืนหนี้ให้เขา แม้ว่าหนึ่งปีมานี้ไม่ได้เห็นนางอีก แต่เขาได้รู้เรื่องของนางผ่านทางท่านอาเซี่ยงกับท่านอาเฟิงประจำโรงทอผ้าไหม
“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้อะไร” สวี่เซียงจวิ้นส่ายหน้า โรงทอผ้าไหมให้เงินเดือนดีมาก รวมอาหารสามมื้อ ยังมีเสื้อผ้าไว้ผลัดเปลี่ยนทุกครึ่งปีอีกสองชุด แทบจะไม่ต้องใช้เงิน
“ไปกันเถอะ” หลินเซียวยืนขึ้นกล่าวพร้อมเก็บเงินและถุงใส่เงินปักลายของนางเอาไว้
“ไป? ไป…ไปไหน” นางอึ้งเงยหน้ามอง
“ไปซื้อของเป็นเพื่อนข้าหน่อย” เขาเดินนำออกจากประตูร้านชุ่ยอวี้ไจ
สวี่เซียงจวิ้นรีบตามเขาไป เดินตามหลังเขาไปยังตลาดที่กำลังคึกคัก
พอไปถึงที่คนมาก หลินเซียวก็จะบังนางไว้ข้างกายเขา
สวี่เซียงจวิ้นสองมือประคองของใช้สตรีมากมาย งุนงงแล้วงุนงงอีก แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม
หลินเซียวหน้าตาอ่อนโยนไม่ได้มีแววคิดร้าย แต่ก็แอบเอาแต่ใจเหมือนกันนะเนี่ย
ตอนแรกนางโบกมือปฏิเสธเขาซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้นาง ยังมีเครื่องประทินผิวอีก แต่ถูกสายตาดุของเขาจ้องจนตกใจ จากนั้นก็ไม่กล้าพูดมากอีก ในใจแอบคาดเดา บางทีเขาไม่ได้ให้นาง แต่ให้น้องสาวเขาหรือพี่สาวเขา…หรือหญิงคู่หมาย…
ใช่ คุณชายใหญ่ตระกูลหลิน ว่ากันว่าอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว แม้ว่ายังไม่แต่งภรรยา แต่จะไม่มีคู่หมายได้อย่างไร
สายตานางสลดวูบลง สวี่เซียงจวิ้นชะงักฝีเท้า แอบเว้นระยะห่างจากเขา บนถนนใหญ่นี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าเขาคือหลินเซียว นางจะไปเดินเทียบกับเขาได้อย่างไร
“เป็นอะไรไปหรือ” หลินเซียวหยุดเดิน หันมาเลิกคิ้วถาม
สวี่เซียงจวิ้นคิดไม่ถึงเขาถึงกับจงใจหยุดรอนาง มองเห็นคนรอบๆ มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ในใจนางก็เริ่มลนลาน
“มานี่” หลินเซียวกวักมือเรียกนาง พอนางเข้ามาใกล้ ก็เอื้อมมือไปรับของที่นางถือไว้ อีกมือก็กุมมือนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
กลับถึงชุ่ยอวี้ไจ ก็ไปยังเรือนพักเขา ให้สาวใช้เข้ามาช่วยนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ปักปิ่นปักผม ทาเครื่องประทินผิวที่เพิ่งซื้อมาบางๆ
สวี่เซียงจวิ้นได้แต่งง ผลักประตูห้องหนังสือเขาออก “คือว่า…ข้าเปลี่ยนเสร็จแล้ว…แต่ว่า…” นางไม่เข้าใจ เขาหมายความว่าอย่างไร
“ไม่เลว” หลินเซียวเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเอ่ยชม
“คุณชายหลิน…”
“เรียกข้าหลินเซียว อาเซียว เซียวก็ได้ แต่อย่าเติมคุณชาย” หลินเซียวลุกขึ้น ดึงนางมานั่งที่เก้าอี้ “คืนนี้กลับบ้านไปกินข้าวเป็นเพื่อนข้าสักมื้อ”
ที่แท้ไม่ใช่อาหารมื้อง่ายๆ แต่เป็นงานเลี้ยงดูตัว สวี่เซียงจวิ้นถูกสาวน้อยแต่งกายงดงามจ้องมองดุดันตาไม่กะพริบจนกินเสร็จ ก่อนจะถูกพ่อค้าพุงพลุ้ยสังเกตอยู่นานจึงได้พอรู้
นางเพียงแค่ถูกเขายืมตัวมาบังหน้างานดูตัวเท่านั้น แม้ว่าในใจแอบเฝื่อนขม แต่ทว่าได้รู้ว่าเขาตอนนี้ยังไม่มีคู่หมาย อยากให้นางมาแสดงตัวเป็นสตรีที่เขาชอบ นางก็พอใจแล้ว
ปลายฤดูใบไม้ร่วงปีที่สาม นางไม่เพียงแต่ใช้คืนหนี้ครบ ยังมีเงินเก็บอีกหลายตำลึง รู้มาว่าวันที่เจ็ดเดือนสิบเอ็ดเป็นวันเกิดเขา ก็ปักถุงใส่เงินที่ฝีมือประณีตยิ่งกว่าปีที่แล้วให้เขา เลือกหาหยกกลมมีรูสัญลักษณ์ราบรื่นปลอดภัยยัดใส่ถุงใส่เงิน
“สุขสันต์วันเกิด” ยังคงเป็นห้องโถงที่ชุ่ยอวี้ไจ ยังคงเป็นเถ้าแก่หลัวไปรายงาน นางได้พบเขาอีกครั้ง ตั้งแต่วันไหว้พระจันทร์ถูกเขาลากไปกินข้าวที่เหอหยวน นางก็ไม่ได้พบเขาอีก ไม่เจอกันหลายเดือน เขายังคงหล่อเหลาขึ้นอีกหลายส่วน เทียบกับปีก่อนแล้วก็ดูสง่างามขึ้นอีกหลายส่วน
หลินเซียวหรี่ตามองนางเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “คืนครบแล้ว?”
“อืม…ดอกเบี้ย…ไม่รู้เท่าไร” นางกล่าวออกไปด้วยท่าทีเก้อๆ ตอนนั้นขับไล่พวกนั้นไปได้ คงไม่ใช่เงินน้อยๆ คงไม่ใช่แค่สิบหกตำลึง เพียงแต่เขาไม่บอก นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าดอกเบี้ยเท่าไร
“ไม่น้อย” หลินเซียวยิ้ม
ใบหน้างามสวี่เซียงจวิ้นสลดลง “ว่ามา เท่าไร ข้าจะได้เตรียมใจ” อย่างมากก็อีกสามปี ไม่เชื่อว่าจ่ายไม่หมด
“เอาเถอะ เจ้าจ่ายไม่หมดหรอก” หลินเซียวแววตาเป็นประกาย แสร้งส่ายหน้าลำบากใจ
“ชั่วชีวิตก็จ่ายไม่หมดหรือ บอกข้ามาว่าแท้จริงเท่าไร” นางใจร้อนตบโต๊ะดัง พอหลุดกล่าวออกไปก็รู้ตัวว่านางหยาบคายไปแล้ว รีบก้มหน้าลงน้ำเสียงเบายิ่งเดาว่า “ร้อยตำลึง?”
เป็นนานไม่ได้ยินเสียงตอบหลินเซียว สวี่เซียงจวิ้นเงยหน้าสบตาที่ยากคาดเดาของเขา
“ไปกันเถอะ” เขาถอนสายตากลับ ลุกขึ้นมองนาง
“ครั้งนี้จะไปไหนอีก” นางดึงดันจะอยู่ที่เดิม ราวกับว่าหากเขาไม่ตอบนางว่าไปไหน ก็จะไม่ยอมลุก นางไม่อยากถูกเขาหลอกไปยกของกองใหญ่ขนาดนั้นอีก เงินที่นางคืนเขา กลับถูกเขาคืนกลับมาให้นางอย่างไม่แตะต้องแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่ตลาด” เขายิ้มบาง
นางถูกพามาวัดตัวที่ร้านตัดเสื้อผ้าสำเร็จรูปของโรงทอผ้าไหม
“เดือนห้าปีหน้าแต่งงานทันไหม ผู้ใหญ่ในเหอหยวนบอกแล้วว่าน่าจะเทศกาลตวนอู่หรือไหว้พระจันทร์” อยู่ๆ เขาก็ถามนางตอนที่พานางไปร่วมงานเลี้ยงที่เหอหยวน
“เอ๋? เจ้า? เจ้าจะแต่งงานแล้วหรือ” ในใจนางราวกับมีเมฆดำปกคลุม
“อืม” เขาแอบเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ดีมาก ท่าทางสลดใจ สีหน้าเศร้าสลด
“ยินดีด้วย” นางพยายามระงับความเจ็บปวดในใจ เสแสร้งทำเป็นใจกว้างกล่าวขึ้น แม้ในใจอิจฉาสตรีวาสนาดีที่ได้แต่งเป็นภรรยาของเขา
หลินเซียวหัวเราะ เอื้อมมือไปลูบผมบนศีรษะนางอย่างรักใคร่เอ็นดูพลางกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “แสดงความยินดีกับสามีตนเองได้อย่างไร หรือว่าข้าก็ต้องกล่าวแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
“เอ๋?” ความหมายเขาคือ สตรีวาสนาดีที่เขาจะแต่งด้วยก็คือนาง
“เด็กโง่!” เขารั้งเอวนางเข้ามาเบาๆ ให้เข้ามาใกล้เขายิ่งขึ้น เขาเป็นสมาชิกในกลุ่มพี่น้องชายที่ไม่ชำนาญกับการจีบสาวที่สุด ก็ไม่ควรตำหนิที่บรรดาผู้ใหญ่และพี่น้องของเขาต่างเป็นกังวลว่าเขายากจะตามจีบแม่นางที่เขาชอบมาได้
แต่ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนที่เขาได้พบนางที่ชุ่ยอวี้ไจเป็นครั้งที่สอง ใบหน้างดงามของนางก็ประทับอยู่ในใจของเขา แม้ว่าไม่เหมือนกับพี่น้องเขาที่ได้พบหน้ากับหญิงที่ชอบบ่อยๆ เขากับนางพบกันจริงๆ ก็นับครั้งได้ ไม่เกินสิบวัน
แต่สิ่งที่เขามั่นใจแล้ว เขาย่อมยอมไม่ปล่อยมือ
วาสนาแต่งงานแล้วแต่สวรรค์ เส้นด้ายเดียวกำหนดชีวิตแต่งงาน
นางกับเขา ในคืนหนาวปลายฤดูใบไม้ร่วงหรืออาจก่อนหน้านั้น ก็ถูกเทพจันทราจับคู่ด้วยด้ายแดงไว้แล้ว