เสียงครางเบาๆ ดังแว่วมา นางขยับเปลือกตาก่อนจะลืมตาขึ้น ท่ามกลางแสงไฟหม่น เห็นกำแพงเขียวอ่อนและเพดานสีขาวน้ำนม ม่านหน้าต่างสีเหลืองไข่เป็ดถูกลมพัดไหว

“ที่นี่คือ…” ซูสุ่ยเลี่ยนเบิกตากว้างอย่างงุนงง กำลังคิดจะเท้าแขนยันตัวขึ้น ก็เหมือนมีอะไรรั้งไว้ มีความเจ็บเป็นริ้วที่แขน

นี่คือ…น้ำเกลือ แขนขวาเรียวบางของนางกำลังให้น้ำเกลือที่ยังเหลืออีกครึ่งขวด

หรือว่าชาวหลงจว่าช่วยชีวิตไว้?

คิดถึงเมื่อสองเดือนก่อน หลินซีลูกชายคนเล็กของนางแต่งกับจิ่งอวี้จากตระกูลเจียงอย่างยิ่งใหญ่ นางกับอาเย่าก็ออกท่องเที่ยวทั่วหล้า

ก่อนเกิดเรื่อง นางและเขากำลังเที่ยวแผ่นดินหลงจว่า ปีนขึ้นเขาไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกับบรรดาแขกต่างเมืองอีกหลายคน ผู้ใดจะคาดคิดว่ายอดเขาจะมีโจรภูเขา อาเย่ากำบังนางกับคนอื่นๆ ไว้ด้านหลัง สู้กับทุกคนตัวคนเดียว จัดการโจรภูเขาหมดสิ้น แต่ถูกเขี้ยวสัตว์ป่าที่ไม่รู้มาจากที่ไหนวาววับทำเอาตกใจ ทุกคนต่างตกใจแตกตื่น นางก็เลยลื่นไถลลงหน้าผาไป ตอนนั้นนางเห็นอาเย่าหันกลับมาอย่างตกใจ จากนั้นก็ทะยานมาคว้าแขนนางไว้ แต่กลับไม่ทันส่งแรงมา จึงร่วงลงไปพร้อมกับนาง

สวรรค์! อาเย่าล่ะ เขาคงไม่ได้…

นางดิ้นรนพยายามลุกขึ้น กลับรู้สึกว่าหมดแรงไปทั้งตัว ยกแขนง่ายๆ ยังลำบาก

“โอ๊ะ! คุณหนูซู! คุณหนูซูฟื้นแล้ว คนไข้เตียงเจ็ดฟื้นแล้ว! คนไข้เตียงเจ็ดฟื้นแล้ว!!”

“ฟื้นแล้วจริงหรือ เร็ว! แจ้งญาติ…”

……

นางกลับมาแล้ว หลังสลบไปหนึ่งปี

กลับมายังเมืองซูโจวในยุคสาธารณรัฐ กลับมาเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซู

มิน่านางจึงไร้เรี่ยวแรง ปีหนึ่งมานี้นอกจากนวดและเช็ดตัวทุกวันวันละสองครั้งแล้ว ร่างนางก็เหมือนเอาแต่นอนนิ่งบนเตียงเช่นนี้

พอนึกทุกอย่างได้ นางก็รู้สึกถึงอารมณ์มากมายประดังเข้ามา นางเคยคิดว่าอยากกลับมา ตอนนี้กลับไม่แน่ใจแล้ว นางไม่อยากทิ้งอาเย่าไว้ที่นั่น มีชีวิตก็ดี ตายก็ดี นางไม่อยากให้เขาต้องทนรับเพียงคนเดียว

แม้ว่าผ่านมาสองเดือน วิญญาณนางก็ยังคงอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน สำหรับนางเรียกได้ว่าจำต้องทนรับโลกที่เหมือนคุ้นเคยและแปลกหน้านี้แล้ว

“เลี่ยนเอ๋อร์ หมอบอกแล้ว พรุ่งนี้ก็จะตรวจร่างกายให้ทั้งหมด ไม่เป็นไรก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว” หลี่หรูซีสะใภ้ใหญ่ตระกูลซูผู้เป็นแม่ซูสุ่ยเลี่ยน นายหญิงผู้ดูแลตระกูลซูตอนนี้กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน แม้ลูกสาวฟื้นมาได้สองเดือนแล้ว แต่แววตาสิ้นหวังก็ยังคงไม่จางหายไป นางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวนางกันแน่ หรือว่าตอนแรกไม่เพียงแค่ถูกเติ้งอวิ๋นสองแม่ลูกผลักล้มแล้วแย่งเอาผ้าปักผืนประณีตนั้นไป ยังมีอะไรที่นางไม่รู้อีก

“เลี่ยนเอ๋อร์ นางแซ่เติ้งนั่นถูกเขียนหนังสือหย่าไปแล้ว สุ่ยเยี่ยนก็ถูกกักบริเวณ นอกจากออกเรือน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ให้นางออกจากเรือนของนางแม้แต่ก้าวเดียว เฮ้อ แม่รู้ว่าลูกจิตใจดี แต่…นี่คือคำสั่งคุณปู่” หลี่หรูซีถอนหายใจเบาๆ เล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงในหนึ่งปีมานี้ของตระกูลซูให้นางฟัง เติ้งอวิ๋นถูกเขียนหนังสือหย่าก็คงเป็นคำสั่งนายท่านใหญ่ตระกูลซู ซึ่งก็คือปู่ของนาง ซูสุ่ยเลี่ยน ตระกูลเติ้งจากนี้ไปก็ไม่มีทางหวนคืนได้อีกแล้ว เป็นแผนที่นางแอบวางแผนไว้กับถิงอี้ ใครใช้ให้กล้าทำร้ายลูกสาวนางเช่นนี้ นางไม่อาจยอมให้พวกตระกูลเติ้งมีชีวิตที่ดีได้ แค่ถูกหย่า สบายนางไปแล้ว แม้ไม่รู้สามีแอบยัดเงินให้นางไปเท่าไร แต่รู้ว่าตัดบัวยังเหลือใย หากไม่จัดการให้สิ้น นางยากจะระงับความแค้นในใจ

“คุณแม่…ลูกเหนื่อยแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนหลับตา นางเหนื่อยจริงๆ ไม่ว่ากายหรือใจ ร่างกายยังไม่หายดี จิตใจก็ห่อเหี่ยวตาม อาเย่า เจ้าสบายดีไหม นางนึกเยาะตนเอง นางมีร่างนี้นอนรอนางกลับมา วิญญาณยังคงอยู่ต่อไป แต่อาเย่าล่ะ

ไปใช้ชีวิตในอีกมิติมายี่สิบกว่าปี นางไม่อาจปรับตัวเข้ากับความเคร่งเครียดและแก่งแย่งในยุคสาธารณรัฐนี้ได้จริงๆ

เมื่อก่อนนางวางตัวเหนือการแก่งแย่งพวกนี้ได้ จดจ่อกับการปักผ้า เหมือนเป็นโลกใบเล็กของนาง แต่ตอนนี้ล่ะ นางยังจะเป็นเหมือนเดิมได้หรือ ใจนางมีช่องโหว่ที่ขาดหายไปเพราะอาเย่าหายไป ไม่อาจประสานได้อีกแล้ว

โชคดีที่เซียวเอ๋อร์ หลงเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์ได้หาคู่ชีวิตที่จะเป็นเพื่อนพวกเขาไปตลอดชีวิตแล้ว เหลือเพียงแค่อาเย่า…

……

“หมอเมิ่งบอกว่าทุกอย่างดีหมด พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว กลับไปพักผ่อนที่บ้านสักระยะก็จะฟื้นคืนเป็นปกติแล้ว” หลี่หรูซีผลักประตูห้องคนไข้เข้ามาพร้อมนำเอาข่าวดีมาด้วย แต่พอซูสุ่ยเลี่ยนได้ฟังก็อดปวดใจไม่ได้ ไปจากที่นี่ กลับไปบ้านตระกูลซู ก็หมายความว่านางจะกลับไปที่นั่นไม่ได้อีกแล้ว…

“สุ่ยเลี่ยน? ลูกเป็นอะไรไปหรือ มีอะไรก็บอกแม่ได้ ดูเหมือนลูกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มีอะไรในใจใช่ไหม” หลี่หรูซีขมวดคิ้ว นั่งลงข้างเตียง รับเอาโจ๊กบำรุงที่สาวใช้ส่งมาไว้ในมือ เตรียมจะป้อนให้ซูสุ่ยเลี่ยน “ใช่แล้ว จินอี้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว หากลูกกำลังเป็นห่วงเขา…สุ่ยเลี่ยน…เรื่องแต่งงานของลูกกับจินอี้น่าจะไม่เกินครึ่งปีก็จะจัดได้แล้ว”

“พี่จินอี้? เขาเป็นอะไรไปหรือ” อะไรคือบอกว่าเขาออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนยังฟังที่หลี่หรูซีพูดมาไม่เข้าใจ ก็ถามอย่างแปลกใจ

“เอ๋? แม่ไม่ได้บอกลูกหรือข้า อ๋อ น่าจะเป็นวันที่เขาเกิดเรื่องวันนั้นเป็นวันที่ลูกฟื้นพอดี น่าจะลืมเล่า จินอี้เกิดอุบัติเหตุรถชน สลบไปครึ่งเดือน แต่ทว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อวานแม่กับพี่ใหญ่ลูกเพิ่งไปเยี่ยมมา พูดไปแล้วก็วาสนา เขาอยู่ตึกนี้เหมือนกัน เพียงแต่ลูกลงไปหาเขาไม่ได้ รอให้เขากลับบ้าน มีเวลาค่อยไปเยี่ยมแล้วกัน” หลี่หรูซีป้อนโจ๊กลูกสาวไปก็พูดไม่หยุด เล่าถึงเรื่องที่เกิดกับบ้านตระกูลหวังระยะนี้

“จะว่าไป จินอี้ก็นับว่ามีน้ำใจ ตอนลูกสลบไป เขามาทุกเดือน ยังปลอบใจแม่ว่าลูกต้องไม่เป็นไร ต้องฟื้นแน่ กลัวว่าจะทำให้ตระกูลหวังเสียเวลา นายท่านหวังต้องการเลิกงานแต่งของลูกกับจินอี้หลายครั้ง แต่จินอี้อย่างไรก็ไม่ยอม บอกว่ารอให้ลูกฟื้นแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้…”

“คุณแม่…” ซูสุ่ยเลี่ยนพยายามดิ้นรนลุกขึ้นบอกว่าเรื่องนางกับพี่จินอี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แต่ถูกหลี่หรูซีกดลงให้นอนต่อ

“ไม่ได้ยินหมอบอกหรือ สุขภาพยังอ่อนแอ อย่าลุกขึ้นมา มีอะไรนอนพูดก็ได้”

“ลูก…ลูกกับพี่จินอี้…ไม่มีทาง…”

“ก่อนหน้านี้แม่ก็รู้สึกว่าความหวังไม่มาก แต่ทว่าตอนนี้ลูกฟื้นแล้ว จินอี้ก็พ้นจากอุบัติเหตุรอดตายมาได้ ต้องมีโชคแน่ ลูกยังกังวลอะไร ตระกูลซู…เกี่ยวดองกับตระกูลหวังเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ คุณปู่ลูกไม่ยอมปล่อยเงื่อนไขดีๆ เช่นนี้ไปแน่ เลี่ยนเอ๋อร์ ลูกไม่เหมือนกัน จินอี้จะดีกับลูก แม่ดูออก เขาไม่ใช่เหมือนพ่อของลูก เขาไม่เหมือน…”

ซูสุ่ยเลี่ยนกุมมือหลี่หรูซีสีหน้าขมขื่น แม้หวังจินอี้กับบิดานางจะไม่เหมือนกันแล้วอย่างไร ใจนางไปอยู่อีกมิติที่บอกไม่ได้แน่ชัด ไปอยู่กับชายที่ชื่อว่าหลินซือเย่า เป็นภรรยาเขามายี่สิบกว่าปี นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีก ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาจากกับอาเย่าทั้งที่ยังไม่ตายเช่นนี้

นางรู้สึกเจ็บหัวใจ ทำเอาหลี่หรูซีต้องรีบออกไปตามพยาบาลเข้ามา

นางอยากจะสลบไปเช่นนี้ กลับไปหาอาเย่า นางคงต้องทำให้ตระกูลซูผิดหวังแล้ว นางไม่ใช่หลานสาวคนโตของตระกูลที่จะปกป้องใส่ใจตระกูลอีก นางคิดแค่เรื่องเห็นแก่ตัว จะกลับไปมิติที่มีอาเย่า…

……

แต่ทุกอย่างไม่อาจเป็นดังที่นางคิด

นางกลับมาตระกูลซูแล้ว กลับมายังเรือนโดดเดี่ยวก่อนที่จะเกิดเรื่องของนาง

วันเวลาราวกับนางยังติดอยู่ในฝันร้ายที่ไม่รู้จะทำเช่นไร พริบตาก็ผ่านไปครึ่งปี

นอกจากสุขภาพที่ไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนอยู่มิติก่อนแล้ว ที่เหลือพื้นฐานก็กลับไปเป็นดังเดิมแล้ว

“พี่ใหญ่!” ซูสุ่ยเลี่ยนตกใจจ้องมองซูถิงอี้ “เช่นนี้…ไม่ได้” นางมีสามีแล้ว ไม่อาจแต่งกับเขาอีก?!

แม้ว่าอีกฝ่ายเป็นพี่จินอี้ที่นางเคยชื่นชอบก็ตาม แต่ตอนนี้ล้วนไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้อีกแล้ว

นางขอเพียงอาเย่า…ขอเพียงอาเย่า

หากให้สลบไปอีกแล้วกลับไปได้ นางถึงกับอยากเอาหัวชนกำแพง แต่หลังจากนางออกจากโรงพยาบาลก็มีสาวใช้คอยตามไม่ห่าง แม้แต่ตอนพักผ่อน ก็ยังมีสาวใช้มาคอยดูว่านางมีอะไรผิดปกติหรือไม่

ครึ่งปีมานี้ นางได้รับความใส่ใจอย่างมาก เป็นที่สนใจของบรรดาคนในตระกูลซูทุกคน

ไม่ว่าคุณปู่ คุณพ่อ หรือว่าคุณแม่ที่มาเยี่ยมนางวันละครั้ง หรือพี่ใหญ่ที่ว่างก็จะมานั่งเป็นเพื่อนที่เรือนของนาง พวกเขาเป็นห่วงนางจริง หรือว่าเพื่อให้นางแต่งเข้าตระกูลหวังไปอย่างราบรื่นกัน แม้ว่าไม่รู้เรื่องการเมืองพวกนี้ แต่นางรู้ว่าการได้เกี่ยวดองกับตระกูลหวังที่ยิ่งใหญ่ กลายเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของตระกูลซูในตอนนี้

ในใจนางเย็นเยียบไปนานแล้ว ไม่ควรคิดถึงครอบครัวที่รักนางในแง่ไม่ดีเช่นนี้เลย แต่นางไม่อาจระงับใจ โดยเฉพาะยามพี่ใหญ่นำข่าวน่าตกใจนี่มาแจ้งแก่นาง

“สุ่ยเลี่ยน?” ซูถิงอี้เห็นดังนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าน้องชอบเขามากหรือ” แม้ว่าน้องปิดบังมิดชิด แต่ใช่ว่าเขาดูไม่ออกว่านางรู้สึกพิเศษกับจินอี้ นับประสาอันใดกับตอนนี้ยังเป็นจินอี้เสนอด้วยตนเอง “ใช่แล้ว เขานัดขอเจอน้องพรุ่งนี้ น้อง…”

“ไม่ น้องไม่อาจ…พี่ใหญ่ น้อง…”

“รอไว้น้องพบจินอี้แล้วค่อยว่ากันเถอะ” ซูถิงอี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ “บางทีน้องได้พบเขาแล้วก็อาจจะรู้ใจตนเองกระจ่าง” สุดท้ายเขายังสำทับอีกประโยคว่า “สุ่ยเลี่ยน ไม่ว่าน้องแต่งกับจินอี้หรือไม่ พี่ใหญ่ก็จะเห็นด้วยกับน้อง อย่าได้เอาพี่ใหญ่ไปรวมกับคุณพ่อ เช่นนั้นพี่ใหญ่จะเสียใจมาก”

“พี่ใหญ่…” ในที่สุดนางก็อดน้ำตาคลอไม่ได้ “ขอโทษ…” นางคิดได้อย่างไรว่าพี่ใหญ่กับคุณแม่จะทำกับนางเช่นนี้ ไม่ว่าคุณปู่กับคุณพ่อจะใช้ประโยชน์นางอย่างไร นั่นก็ล้วนเพราะเห็นแก่ตระกูลซู แต่สำหรับคุณแม่กับพี่ใหญ่ก็แค่สู้ไม่ไหว และก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน

……

แสงแดดปลายเดือนสิบยังคงอบอุ่น ทำให้คนต้องหรี่ตาลงอย่างรู้สึกสบาย ซูสุ่ยเลี่ยนนั่งอยู่ในลานหน้าเรือนเงียบๆ บนหน้าตักมีบันทึกท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง ในสมองมีแต่เรื่องราวอบอุ่นที่ผ่านมาสิบกว่าปีนี้ อาเย่าพานางไปท่องเที่ยวทั่วหล้า ทั่วแผ่นดินผืนทวีป

หากวันนั้นเขาและนางไม่ได้ปีนขึ้นไปยอดเขา ไม่ได้เจอกับโจรภูเขา ไม่ได้เจอสัตว์ป่าทำให้ตกใจต้องกระโดดหลบ…ทุกอย่างก็คงไม่เป็นเช่นนี้ นางยังคงได้อยู่กับอาเย่า ได้ท่องเที่ยวต่อทั่วแดนต่อไป เป็นไปได้ไหมว่าคืนวันสิ้นปีทุกปีจะได้กลับไปยังจวนงดงามที่นางและเขาได้ทุ่มเทแรงกายสร้างขึ้น…เหอหยวน เป็นไปได้ไหมว่าจะได้ฉลองปีใหม่มีความสุขกับลูกหลาน…

น้ำตาหยดหนึ่งหยดแหมะลงบนหน้าบันทึก ทำเอาตัวหนังสือเลือนลาง

นางยังคงก้มหน้า ปล่อยให้น้ำตาไหลออกจากก้นบึ้งของหัวใจ ทำหน้ากระดาษเปียก สองตาพร่าเลือน แต่ยังไม่กล้าขยับ กลัวว่าจะทำให้สาวใช้ที่ไม่ห่างจากนางเห็นความผิดปกติ

“เฮ้อ คุณเป็นเช่นนี้ ผมจะวางใจได้อย่างไร…” เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นด้านหลังนาง ทำให้นางนั่งตัวแข็งทื่อ แต่กลับไม่กล้าหันกลับไปมอง เสียงถอนหายใจที่แสนคุ้นเคย แต่น้ำเสียงที่แปลกไม่เคยคุ้น ทำให้นางอยากหันกลับก็ไม่กล้าหัน

ในตอนที่ยังตัวแข็งทื่ออยู่นั้นเอง ก็มีผ้าเช็ดหน้าโบกมาเบื้องหน้านาง จากนั้นก็เช็ดหน้าให้นางเบาๆ

“คุณเป็นแบบนี้ ผมจะคิดว่าคุณไม่อยากแต่งเป็นภรรยาผมอีกครั้งนะ เป็นสามีคุณมาสิบกว่าปี ผมล้มเหลวอย่างนี้เลยหรือ” นางไม่พลาดได้ยินเสียงหัวเราะในน้ำเสียง ทำเอานางตกใจ ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้าขึ้นทันที “…จิน…พี่จินอี้…” เป็นหวังจินอี้ ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เขา นางคิดไปเอง…

”พูดตามตรง ชื่อนี้ผมก็ไม่ชินเท่าไร แต่ในเมื่อยืมกลับมาหาคุณได้ ก็ไม่เป็นไร” หวังจินอี้ยิ้มมองนางพลางยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทำให้นางเหม่อมองอย่างหลงใหล

“อะ…อะไรนี่?” ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งมองหน้าเขา คงไม่ใช่ว่า…เป็นดังที่นางคิดใช่ไหม… “คุณ…คุณพูดอีกที…”

“พูดกี่รอบก็ได้ เพียงแต่คุณไม่ยอมแต่งกับผมอีกจริงหรือ เปลี่ยนชื่อแล้ว คุณก็ไม่ต้องการผมแล้ว?”

……

นางสวมชุดแต่งงานอีกรอบ รอบนี้นางออกเรือนพิธียิ่งใหญ่อลังการ ร้านตระกูลผ้าปักซูซิ่วกับตระกูลหวังแสนยิ่งใหญ่เกี่ยวดองกัน กลายเป็นข่าวอันดับหนึ่งทั่วแผ่นดินและเมืองซูโจว โต๊ะเลี้ยงห้าร้อยตัว ทำเอาดังกระหึ่มไปทั่วแผ่นดิน

ซูสุ่ยเลี่ยนนั่งนิ่งรอเงียบๆ อยู่บนเตียงใหญ่ในห้องหอ ชุดแต่งงานยังไม่ได้เปลี่ยน เพราะว่ายังไม่ดื่มสุรามงคลคู่กับเขา

คิดไม่ถึงวิญญาณอาเย่าจะเข้าร่างพี่จินอี้ ได้ยินเขาเล่าว่าพอตกจากหน้าผาวันนั้น วิญญาณเขาก็ตามนางกลับมายังมิติแปลกประหลาด เห็นนางฟื้นขึ้น เห็นนางกับครอบครัว เห็นนางพูดคนเดียวตอนไม่มีคน ก็รู้ว่าที่นี่ก็คือโลกแท้จริงของนาง วนเวียนอยู่ที่โรงพยาบาลได้หลายวัน ไม่รู้ควรติดต่อกับนางอย่างไรดี พอดีว่ามีชายอายุใกล้เคียงกับเขาเกิดอุบัติเหตุรถชน ส่งมาช่วยชีวิตที่ห้องฉุกเฉินแต่ช่วยไม่ได้ ก่อนประกาศว่าตาย วิญญาณเขาก็เข้าครองร่างชายผู้นั้น พอดีที่ว่าร่างที่วิญญาณเขาครอบครองก็คือหวังจินอี้ที่มีสัญญาหมั้นหมายกับนาง

พอฟื้นขึ้นมาก็เริ่มเตรียมจะแต่งงานกับนาง ไม่ว่าอย่างไรต้องผูกมัดนางมาไว้ข้างกายให้ได้จึงจะวางใจ แต่กลับได้ยินว่านางไม่ยอมแต่งกับเขา

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น ทำไมนางจะไม่ยอมแต่งกับเขา หากได้รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วเขาก็คืออาเย่า นางจะไม่แต่งหรือ นางคงรีบติดปีกบินมาหาเขาแน่ พอคิดเช่นนี้ สีหน้าก็แดงระเรื่อ

“คิดอะไรอีก” พอเข้ามาในห้องหอ ชายรูปงามก็ยิ้มพิงประตู จ้องมองนางอย่างร้อนแรง

“เปล่า…ไม่มีอะไร…แขกไปกันหมดแล้วหรือ” นางแอบเก็บท่าทีเขินอาย ลุกขึ้นเดินไปหาเขา ประคองเขาไว้ “ไหวไหม”

“คุณว่าอย่างไรล่ะ แม้ว่าไม่มีวิทยายุทธ์ แต่คอทองแดงก็ยังคงอยู่นะ” เขายิ้มแซว ทาบทับกดตัวนางไว้ “แต่ตอนนี้เมาแล้วจริงนะ” ถูกความงามนางมอมเมาแล้ว

“ปากไม่ดี ฉันว่าคุณตอนนี้นับวันยิ่งเป็นเรื่องพวกนี้…” นางแอบเหลือบมองเขาอย่างเขินอาย ให้เขาประคองไปนั่งที่เตียง บิดผ้าเช็ดหน้าอุ่นให้เขา พร้อมกับยกเหล้ามาสองจอก

“ก็แค่กับคุณ” เขาแย้มยิ้มมุมปาก “สวรรค์ให้ผมข้ามมิติมาเป็นสามีภรรยากับคุณต่อ ผมไม่มีเหตุผลอะไรไม่พึงพอใจ” เขาพึงพอใจแล้วจริงๆ

สองคนคล้องแขนดื่มสุรามงคลเสร็จก็พิงหัวเตียงอิงแอบกันและกัน ซึมซับความสุขที่ได้ใกล้ชิดกันเป็นครั้งแรกในสองเดือนมานี้ แม้ว่าก่อนแต่งจะได้พบกันบ่อยๆ แต่สาวใช้ที่ตามติดนางก่อนออกเรือนก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยละสายตาไปไหน ทำเอานางกับอาเย่าไม่กล้าแนบชิดกันเช่นนี้ ทำมากที่สุดก็แค่หอมแก้ม หอมหน้าผาก เพื่อช่วยบรรเทาความคิดถึง

“ในที่สุดก็กลับมาข้างกายผมอีกครั้ง” เขาถอนหายใจ จากนั้นพลิกตัวขึ้นทาบทับร่างนุ่มละมุนของนาง “สุ่ยเลี่ยน ภรรยาผม…”

นางอดส่งเสียงครางออกมาไม่ได้ เงยหน้าขึ้นสบตาดำลึกซึ้งของเขา เผยรอยยิ้มกว้าง รวมเป็นหนึ่งกับเขา ร่วมบรรเลงเพลงรัก…