“เซี่ยงหย่งซิน!!!” หมอกยามค่ำคืนยังไม่ทันจางหาย เสียงคำรามดังสะท้อนก้องทั่วค่ายชิงเฟิง
“…ฟู่…หัวหน้าใหญ่ฟู่ เอ่อ…คือหัวหน้าเซี่ยง หัวหน้าเซี่ยงนาง…” สาวใช้ตัวสั่น ไม่กล้าเล่าความจริงออกมา
“ข้าน่ากลัวอย่างนี้หรือ ตอบมา จะสั่นอีกนานไหม? ควรตายแท้! หัวหน้าเซี่ยงลงเขาไปทำอะไร”
“หัวหน้าเซี่ยง…นาง…นางว่า…”
“นางว่าอะไร?! อย่ามัวทดสอบความอดทนข้า!”
“นางว่า…ไปลักพาสามีมาแต่ง…” สาวใช้ยืดอกหลับตาปี๋ ท่าทางเหมือนจะเอาอย่างไรก็เอา แต่น่าเสียดายน้ำเสียงเบาราวกับยุง สองคำสุดท้ายแทบจะอ่านริมฝีปากนางแทนเสียง
เสียงคำรามดังก้องไปทั่วค่ายชิงเฟิงที่เงียบสงบ ทำเอาบรรดาห่านป่าต่างพากันกระพือปีกขึ้นบินไปหลบอยู่บนขอบฟ้า
แต่คนที่ถูกคำรามใส่นั้นคาดว่าคงไปไกลจากค่ายชิงเฟิง เมืองชิงเฮ่อแล้ว นางกำลังขี่ม้าสีพุทราแดงมุ่งไปยังถนนสายหลักเมืองฮ่วนซาอย่างสบายใจ
“ท่านลุงท่านนี้ ขอถามหน่อย ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองฮ่วนซาคือร้านไหน” พอถอดหมวกลงก็เห็นใบหน้ากระจ่างใส แววตาดำขลับเฉลียวฉลาด ยามนี้กำลังกะพริบขนตายาวมองชายชาวนาสูงวัยที่เปิดแผงขายผักข้างทาง
ชายชาวนาสูงวัยได้ยินก็เกาหัว เขาเป็นเพียงแค่ชาวนาเมืองใกล้ๆ นี้ แม้ว่าทุกวันจะมาเปิดแผงขายผักแต่เช้า แต่ไม่เคยเข้าเมืองไปกินอาหารในร้าน นับประสาอันใดกับการที่บอกว่าร้านอาหารที่ดีที่สุด
“คือว่า…คุณชาย ข้าเคยได้ยินว่าในเมืองฮ่วนซามีร้านชื่อจุ้ยสี่โหลว แขกเหรื่อเต็มทุกวัน คิดว่าคงต้องเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดแน่แล้ว คุณชายไม่เชื่อก็ไปลองดู น่ะ น่าจะหัวถนนสายนั้น ที่ตั้งแน่นอนข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชายชาวนาสูงวัยลุกขึ้นยืนยิ้มซื่อๆ จูงเชือกม้าสีพุทราแดงให้คุณชายหน้าตาหล่อเหลาพลางบอกทาง
“ขอบคุณท่านลุงที่บอกทาง” เซี่ยงหย่งซินหันไปยิ้มให้ชายชาวนาสูงวัย ล้วงมือเข้าไปในห่อผ้าคว้าลูกอู๋ฮวากั่ว[1] ขึ้นมากำหนึ่งยัดใส่มือชายชาวนาสูงวัย “ให้ท่าน นี่คือของฝากจากบ้านเกิดข้า หวานมาก สดชื่นมาก ท่านลุงลองชิมดู”
“ขอบคุณมากคุณชาย”
ฮา! คุณชาย! อืม น่าฟัง! น่าฟัง!
เซี่ยงหย่งซินลอบยิ้ม จูงม้าไปทางที่ชายชาวนาสูงวัยชี้ทาง มุ่งไปยังจุ้ยสี่โหลว เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่านางปลอมตัวสำเร็จ ไม่เพียงแต่หลบการติดตามร่องรอยของพี่น้องในค่ายได้ ยังทำให้คนอื่นภายนอกเรียกขานนางเช่นนี้ได้ คิดแล้วก็รู้สึกประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
เดินมาบนถนนที่ครึกครื้นมุ่งไปทางตะวันตกราวหนึ่งเค่อ ในที่สุดเซี่ยงหย่งซินก็เห็นร้านจุ้ยสี่โหลวที่แขวนโคมหลากสีไว้เหนือประตู ในใจก็ยินดีรีบเร่งม้าวิ่งเข้าไป
แม้ว่าเมืองชิงเฮ่อก็มีร้านอาหารร้านน้ำชาชั้นสูง แต่ร้านอาหารที่ตกแต่งหรูหราเช่นนี้ นางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ดังนั้นถึงว่า ขลุกตัวอยู่แต่บนเขาปีครึ่งทำให้โลกแคบจริงๆ ความรู้ก็จำกัดด้วย
อืม ฟังจูเชวี่ยเล่าว่า ที่ร้านอาหารมีคุณชายหน้าตาหล่อเหลารวมตัวกันค่อนข้างมากที่สุด นางตั้งใจเอาไว้ว่าก่อนปลายปีนี้ นางจะจับตัวคุณชายหน้าตาหล่อเหลาสักคนขึ้นเขา จะได้ทำให้ความปรารถนาของ ท่านพ่อท่านแม่ในปรภพได้เป็นจริง…
ขณะกำลังคิดเช่นนี้ หนึ่งคน หนึ่งม้า ก็เข้าไปใกล้กับสี่จุ้ยโหลว หอบุปผาอันดับหนึ่งที่แสนหรูหราแห่งเมืองฮ่วนซา
แม่นางสองคนที่กำลังเรียกแขกอยู่หน้าประตูพอเห็นนางก็รีบยิ้มปรี่เข้ามาต้อนรับทันที “โอ๊ย คุณชายรูปหล่อ! มาจุ้ยสี่โหลวเราเป็นครั้งแรกกระมัง วางใจ วางใจ พี่สาวรับรองว่าจะทำให้เจ้ารื่นรมย์พึงใจกลับไปแน่นอน…”
“มา มา มา เชิญทางนี้ ม้านี่พี่สาวหาคนพาไปที่คอกม้าให้เจ้านะ เจ้าก็ไปสุขสันต์กับอาหารรสเลิศที่ไม่เหมือนร้านอื่นใดชั้นบนอย่างสบายใจได้เลย!”
แม้ว่าเซี่ยงหย่งซินรู้สึกว่าสองสาวที่มาต้อนรับจะดูสนิทสนมเกินไปสักหน่อย แต่ทว่านอกจากเมืองชิงเฮ่อแล้ว นางก็ไม่เคยไปไหน ไม่เคยเห็นร้านอาหารต้อนรับเช่นนี้ จึงแสร้งทำทีกระแอมไอเบาๆ ตามสองสาวนวยนาดเดินนำเข้าไป ก้าวเข้าไปยังจุ้ยสี่โหลว
ทันใดนั้นเอง บนบันไดไม้งดงามกว้างขวางก็มีเงาร่างคนตัวเล็กไม่สูงนักสองคนพุ่งลงมา จากนั้นก็มีร่างเงาชุดเข้มตามมาติดๆ
หูพลันขยับได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือแผ่วเบา คิดก็ไม่คิด ยื่นมืออกไปทันที คว้าร่างชุดเข้มเอาไว้
“ควรตาย!” ซือฟั่งเฉินด่าอย่างโมโห ชะงักถอยหลังอย่างเสียไม่ได้ เห็นเหลียงอี๋เยว่กับเจียงจิ่งอวี้สองคนหนีรอดออกจากหน้าประตูจุ้ยสี่โหลวไปต่อหน้าต่อตา
ถลึงตาจ้องมองชายหนุ่มหน้าตาใสกระจ่างที่ขวางทางเขาไว้ “เจ้าทำอะไร!!!”
“เป็นอะไรไปหรือ ฟั่งเฉิน? อี๋เยว่กับจิ่งอวี้ล่ะ” ได้ยินเสียงต่อสู้ ซือฉีหยางกับเหลียงซวี่รื่อก็โผล่มาที่ชั้นสอง มองมายังภาพเบื้องหน้าอย่างไม่เข้าใจพลางถามอย่างสงสัย
“หนีไปแล้ว” ซือฟั่งเฉินโมโหจ้องมองเซี่ยงหย่งซิน ก่อนหันกลับไปมองสองพี่น้องกลุ่มพี่น้องชาย สบถออกมาอย่างไม่พอใจสามคำ
“หนีไปแล้ว? พวกนางก็ช่าง…อยากถูกท่านพ่อท่านแม่จัดการสักทีให้ได้หรือ?! ปลอมตัวเป็นชายมาเที่ยวหอบุปผาไม่ว่า ยังหนีออกจากบ้านอีก! มันช่าง…” เหลียงซวี่รื่อแต่ไรมาเป็นคนอ่อนโยนนุ่มนวล ยามนี้ก็โมโหไม่น้อยเช่นกัน แทบจะกัดฟันคำราม
“คือนั่น…ที่เพิ่งไปสองคนนั่นเป็นแม่นาง? เป็น…คนในครอบครัวพวกเจ้า?” เซี่ยงหย่งซินจับคำเหลียงซวี่รื่อได้จึงได้รู้ว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาด ห่างไกลจากคำว่าจิตใจดีไปแล้ว
“ใช่สิ” ซือฟั่งเฉินเหลือบตาเยียบเย็นใส่นาง “เจ้าคิดว่าเจ้าผดุงคุณธรรม เห็นเรื่องไม่ถูกต้องชักดาบปกป้องหรือ” กล่าวจบก็ก้าวออกจากประตูจุ้ยสี่โหลวไป “ยังมัวทำอะไรอีก! อยากเป็นนางคณิกาที่นี่หรือ”
“ไปเถอะ!” เหลียงซวี่รื่อส่ายหน้าอย่างเสียไม่ได้ ในใจแอบตื่นตระหนก ไม่รู้กลับไปจะบอกท่านพ่อท่านแม่อย่างไร ท่านพ่อท่านแม่ตนเองก็แล้วไป เรื่องนี้อี๋เยว่เป็นคนก่อ ลำบากก็สมน้ำหน้า ประเด็นคืออวี้เอ๋อร์น้อย น้าอวิ๋นกับอาลั่วไม่รู้จะเป็นกังวลเพียงใด
“ฉีหยาง ส่งสัญญาณบอกพวกพี่เซียว พวกเราไปกันเถอะ ไปรวมตัวกันที่ฐานที่ตั้งเรา” เหลียงซวี่รื่อคิดพลางวางแผนรับมือ หันไปสั่งการซือฉีหยาง น้องชายที่อายุน้อยที่สุด
ซือฉีหยางพยักหน้าอย่างเท่ๆ กวาดตามองเซี่ยงหย่งซินแวบหนึ่งก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ ส่งเสียงเป่าปากแหลมดัง ไม่นานก็หลินเซียวกับเจี้ยนซิงที่แยกย้ายกันค้นหาก็มาถึงห้องโถงกลางอย่างรวดเร็ว
“เป็นอย่างไรบ้าง” หลินเซียวขมวดคิ้วถาม
“ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว กลับไปค่อยว่ากัน” ซือฉีหยางบิดขี้เกียจสีหน้าเบื่อหน่าย เดินนำออกไปก่อน
“เดี๋ยว!” เซี่ยงหย่งซินรีบคว้าแขนเสื้อซือฉีหยาง “พวกเจ้า…เพิ่งบอกว่า…ที่นี่คือที่ไหนนะ ทำกิจการอะไร หรือว่า…ไม่ใช่ร้านอาหาร ไม่ใช่มีอาหารให้แขกมากินข้าวร่ำสุราหรือ” สวรรค์ นางจะใจกล้าเพียงใดก็เป็นแค่นังหนูเท่านั้น ใช้ชีวิตเรียบร้อยในค่ายบนเขามาสิบหกปี คิดมาเป็นนางคณิกาที่หอบุปผาตอนไหนกัน!
“ร้านอาหาร? กินข้าว? ร่ำสุรา?” ซือฉีหยางหรี่ตามองเซี่ยงหย่งซินราวกับมองสัตว์ประหลาด พลันหัวเราะแปลกๆ “ร่ำสุรากินข้าวก็มีนะ เจ้าคงได้เสพสุขแล้ว มองการณ์ไกลจริง!” จากนั้นก็ผลักมือเซี่ยงหย่งซินออก ล้วงแขนเสื้อโยนเงินก้อนให้นางคณิกาข้างๆ ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ “ค่าชดเชย” สำหรับชดเชยอะไร ฟ้าเท่านั้นที่รู้!
หลินเซียวกับเจี้ยนซิงสบตากันแล้วก็มองเซี่ยงหย่งซินเหมือนตัวประหลาด พากันเดินออกจากจุ้ยสี่โหลวไป
โอย! สวรรค์! เซี่ยงหย่งซินปิดหน้าอย่างนึกอาย พยายามไถลตัวไปที่ประตู
“อุ๊ย! ใครน่ะ!” ใครไม่มีตาดู ถึงกับกล้าขวางทางข้า ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังแอบหนีออกจากวงล้อม!
“เจ้ากับพวกนางร่วมมือกันหรือ” ซือฟั่งเฉินไปแล้วก็ย้อนกลับมา คิดๆ แล้วก็ขัดใจ ก็เลยย้อนกลับมาจุ้ยสี่โหลว พอดีเห็นเด็กหนุ่มที่ขวางทางเขากำลังปิดหน้าปิดตา แอบหนีออกทางประตู ก็ยิ่งมั่นใจว่าที่เขาเดานั้นถูก ต้องร่วมวางแผนหนีกับเหลียงอี๋เยว่แน่
“ข้า? ร่วมมือกับ…ผู้ใด” เซี่ยงหย่งซินถลึงตาจ้องมองนิ้วมือที่ชี้หน้าตนเอง แทบจะกัดให้ขาด ถึงกับมองเจตนาดีของข้าเช่นนี้ได้ นางก็คิดแค่จะผดุงคุณธรรม ผู้ใดจะไปรู้ว่าสองฝ่ายแสดงละครคนในครอบครัวไล่จับกันล่ะ ไม่ได้เหมือนกันที่ตนหาทางหลบการติดตามจากพี่น้องค่ายชิงเฟิงหรอกหรือ
“ยังจะมีผู้ใด” ซือฟั่งเฉินจ้องนางอย่างไม่พอใจ ไม่รู้ทำไม เด็กหนุ่มท่าทางออกสาวน้อยเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูก เพราะว่าวิทยายุทธ์เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองหรือ ออกกระบวนท่าง่ายๆ ก็หนีการจับกุมของตนเองได้
“ข้าเปล่า ข้าเพียงแต่คิดว่า…เจ้าคือศัตรูพวกนาง…” นางอธิบายพลางก้มหน้า “ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เจ้า…ไม่รีบไปไล่ตามพวกนางหรือ บางทีอาจจะตามทัน ไม่เช่นั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น…” นั่นก็ย่อมเหมือนเป็นความผิดนางด้วย
“ฮึ เจ้าก็รู้ว่าอันตราย?!” ซือฟั่งเฉินแค่นเสียงในลำคอก่อนหันหลังจากไป
“นี่ รอข้าด้วย” เซี่ยงหย่งซินเห็นดังนี้ ก็เคลื่อนไหวรวดเร็วคว้าแขนเสื้อเขาไว้ “ขอบคุณ ยืมหน่อย”
อะไร? ยืมอะไร? แอบยืมแขนเขาบังตัวหลบออกจากจุ้ยสี่โหลว? ก่อนหน้านี้ผู้ใดที่เดินผ่าเผยตามแม่นางหอบุปผาเข้ามา เดินเข้ามาอย่างไม่แม้แต่กะพริบตา หรือคิดว่าจุ้ยสี่โหลวคือร้านอาหารธรรมดาจริง
แค่กๆ นางคิดว่าเป็นแค่ร้านอาหารจริงๆ และยังคิดว่าเป็นร้านอาหารที่ใหญ่และหรูหราที่สุดในเมืองฮ่วนซาด้วย
เงยหน้ามองไปยังบรรดากลุ่มพี่น้องชายที่นั่งเรียงกันอยู่เบื้องหน้า ไม่ว่าจากซ้ายไปขวาหรือจากขวาไปซ้าย คุณชายหน้าตาหล่อเหลาทุกคน เป็นความตั้งใจในการลงเขาของนางครั้งนี้ ตอนนี้ได้แต่มอง ไม่กล้าลักพาตัว
แค่กๆ ผู้ใดให้นางกลายเป็นคนช่วยผู้กระทำผิดหนีรอด สมน้ำหน้า ประเด็นคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาบ้าง เท่บ้างกลุ่มนี้ วิทยายุทธ์ลึกล้ำไม่ด้อยไปกว่านาง
เฮ้อ ดูท่าคงหมดหวังแล้ว
“อย่างไรก็มีวาสนาได้พานพบ ในเมื่อไม่รู้ไปไหน ก็ไปพักที่บ้านอาเฉินก่อนละกัน” แววตาเจียงไหวอานส่องประกายแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับเซี่ยงหย่งซินน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“หา? ไม่…ไม่ต้อง ข้า…หาโรงเตี๊ยมพักเองได้…” ความคิดที่ไปไกลสุดขอบฟ้าของเซี่ยงหย่งซินอยู่ๆ ถูกขัดขึ้น ก็รีบๆ หน้าแดงอธิบายอึกอัก
“หากไม่ใช่เจ้าแต่งตัวเป็นชาย หน้าตาท่าทางอย่างนี้ยังคิดว่าเป็นผู้หญิง ท่าทางบิดไปบิดมา” ซือฉีหยางกวาดตามองนางแวบหนึ่ง น้ำเสียงกระด้างหากกล่าวตรงประเด็นเผง
ทำเอาเซี่ยงหย่งซินตกใจจนแทบลุกผึงขึ้นจากเก้าอี้
“ไม่กระมัง หรือว่าใช่” ซือฉีหยางเห็นนางหน้าตาตกใจ ก็หรี่ตามอง หัวเราะกล่าว
“ไม่…ไม่ใช่!” ฮือ ฮือ ฮือ คุณชายที่นี่ทำไมฉลาดอย่างนี้! นางไม่ได้ลงเขามาครึ่งปี หรือว่าโลกนี้พัฒนาไปมากแล้ว
“หากเป็นจริง ก็มอบให้พี่หลงจัดการเถอะ” หลินเซียวยกมือกล่าวสรุป
——————-
[1] ลูกฟิก