บทที่ 122 มันไม่มีปัญหาเลย

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 122 มันไม่มีปัญหาเลย

ก่อนหน้านี้ได้ยินพยากรณ์อากาศมาก็กังวลว่าปีนี้พืชผลคงไม่ดีเท่าปีที่แล้ว

ที่กังวลโดยเฉพาะคือ พืชผลที่จะเอาเข้าปากใกล้จะไม่มีแล้ว

ซูฉางจิ่วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ใช่ครับ ผู้ดูแล!”

เรื่องนี้พูดได้ แต่อย่าพูดเรื่องที่ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเลย ไม่งั้นถ้าธัญพืชของชุมชนอื่นขาดไปอาจจะต้องเอาของเราไปช่วยเสริมแทน

ซูฉางจิ่วเป็นคนรอบคอบ และมีท่าทางซื่อตรงซื่อสัตย์เลยทำให้คนเชื่อง่าย ทว่าเขายังเป็นคนขี้งกอีกด้วย

“แล้วสาเหตุที่คุณไม่ช่วยชุมชนพี่น้องรอบข้างล่ะ?” ผู้ดูแลเฉียนถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

แม้ว่าการเก็บเกี่ยวพืชผลก่อนกำหนดเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเชยชม แต่ถ้าเห็นคนอื่นประสบความสูญเสียแล้วไม่ช่วยก็ไม่ควรชื่นชม

“เหล่าพี่น้องที่ยากลำบากก็เป็นครอบครัวเหมือนกัน คุณจะเห็นแก่ตัวไม่ได้นะหัวหน้าซู!” น้ำเสียงของผู้ดูแลเฉียนเคร่งขรึม

แต่ซูฉางจิ่วก็เป็นแมงดาแก่ ๆ เหมือนกัน และไม่พอใจกับประเด็นนี้ของผู้ดูแลเฉียน จึงไม่สนใจแต่ทีแรก

“ผู้ดูแล เราไม่ได้มองดูความลำบากของคนอื่นเสียหน่อย”

“แล้วทำไมถึงไม่ทำล่ะ?”

“เพราะละอายต่อฟ้าดินไงครับ พวกเราช่วยแล้วจริง ๆ นะผู้ดูแลเฉียน ชุมชนเราทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ล้วนไปช่วยกองชุมชนอื่นเก็บเกี่ยวพืชผลเลย” ซูฉางจิ่วท่าทางเหมือนจะจริงจังเลยทำให้อีกฝ่ายชักสงสัย

“พวกคุณไปช่วยจริง ๆ หรือ?” ผู้ดูแลเฉียนถามอย่างสงสัย

“ช่วยสิครับ ผู้ดูแลเฉียน ก่อนที่ฝนจะตกลงมาผมจัดสมาชิกทั้งหกสิบคนไปช่วยชุมชนการผลิตเจี่ยฟ่าง ฉางชิง แล้วก็เซี่ยงเฉียนด้วย พวกเราทั้งหมดมีกี่คนกันครับ? ทิ้งคนบางส่วนไว้ที่หงซินเพื่อคอยทำงานของเราให้เสร็จด้วย”

ผู้ดูแลเฉียนคำนวณ ชุมชนละหกสิบคน รวมเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบคน หากรวมชายหญิง คนแก่ คนเด็กของหงซินเข้าไปก็จะเป็นสี่ร้อยกว่าคน ถือเป็นการอุทิศตนมากแล้ว

“เราจะช่วยคนที่เราไปช่วยได้ครับ ที่ไกลหน่อยก็เป็นเซี่ยงหยาง ตงฟางหง แล้วก็ตงเฟิงครับ พวกเขามาขอให้พวกเราไปช่วย แต่พวกเราช่วยไม่ได้จริง ๆ เลยปฏิเสธไป”

ตอนพูด ซูชางจิ่วยังลอบสังเกตการแสดงออกของผู้ดูแลเฉียนอย่างระมัดระวังด้วย

พอได้ยินเขาพูด ‘ตงเฟิง’ สองคำนี้ สีหน้าอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และซูฉางจิ่วก็รู้ว่าเป็นชุมชนการผลิตตงเฟิงร้องเรียนนั่นเอง

ต้องเป็นผู้ดูแลอู๋ที่ร้องเรียนมาแน่ ๆ

ชายคนนี้เรื่องดี ๆ ไม่คิดทำ แต่ดันเชี่ยวชาญในเรื่องเล่ห์เหลี่ยม น่ารังเกียจเสียจริง!

เพราะอยากใช้เส้น เลยต้องการให้ผู้ดูแลอู๋โยกย้ายไปที่อื่นสินะ?

เป็นครั้งแรกที่ซูฉางจิ่วมีความคิดเช่นนั้น

ผู้ดูแลอู๋เก่งมาก!

ฮึ่ม…

หลังจากอธิบายไปสักพัก ซูฉางจิ่วแสดงความคิดเห็นของตัวเองอีก

หลังจากการเดินทางไปชุมชนเสร็จ เขาได้รับมอบหมายให้ทำฟาร์มไก่ ซูฉางจิ่วที่มึนงงก็มีความสุขมาก ระหว่างเดินยังฮัมเพลงไปตามทำนอง ภาคภูมิใจจริง ๆ!

ครั้นกลับมาถึงก็เจอกับซูโส่วเวิน

“หัวหน้า ที่ชุมชนใหญ่ว่าอย่างไรบ้างครับ?” ซูโส่วเวินถามอย่างตื่นเต้น

“โส่วเวินเอ๋ย สำเร็จแล้ว!” ซูฉางจิ่วตื่นเต้นมาก ใบหน้าแปรเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีแดงก่ำ

“จริงหรือครับ?” เด็กหนุ่มก็ตื่นเต้นเช่นกัน

“จริงสิ มันจริงมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

ผู้ดูแลเฉียนขอร้องให้ทำฟาร์มไก่ และต้องจัดหาไข่ไก่สองพันฟองให้กับอำเภอทุกเดือน

เขาจึงคิดว่าไก่หนึ่งตัวออกไข่ได้ยี่สิบฟองต่อเดือน เพราะฉะนั้นเลี้ยงไก่แค่หนึ่งร้อยตัวก็เพียงพอแล้ว

หากไม่มีซูเสี่ยวเถียน เขาอาจจะยังพิจารณาอยู่ก็ได้ว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่สำหรับเด็กคนนั้นแล้ว มันไม่มีปัญหาเลย!

“อีกไม่กี่วันไก่จะมาถึงแล้ว ก่อนหน้านั้นเธอจัดคนมาทำเล้าไก่ให้พวกเราด้วย”

ซูโส่วเวินตอบตกลงทันที

ไม้ สถานที่ กำลังคน ทุกอย่างมีพร้อมหมดแล้ว ซูโส่วเวินพาคนมาแล้วสร้างเล้าไก่ขนาดใหญ่หนึ่งแห่งอย่างรวดเร็ว

เล้าไก่ตั้งอยู่ที่เชิงเขาถัดจากชุมชน มีแสงสว่างส่องทั่วถึง สถานที่กว้างขวาง และมีการระบายอากาศที่ดี

ทั้งหมดนี้เป็นคำขอของซูเสี่ยวเถียน เธอบอกว่าสิ่งนี้เอื้อต่อการเจริญเติบโตของไก่

อันที่จริงซูเสี่ยวเถียนรู้สึกผิดหวังที่ได้ยินว่าความต้องการของทางชุมชนใหญ่ว่า ฟาร์มไก่หนึ่งแห่งจะเลี้ยงไก่สองร้อยตัว

ไก่สองร้อยตัว ตามกฎแล้วมันค่อนข้างเล็ก

แต่พอคิดถึงสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน การจัดตั้งฟาร์มไก่ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว แม้ว่าทางชุมชนใหญ่ร้องขอมาว่าเป็นไก่สองร้อยตัว แต่ถ้ามันได้พัฒนาขึ้นแล้ว ได้เลี้ยงเพิ่มขึ้นอีก ฝั่งนั้นก็ไม่น่าจะคัดค้าน

ท้ายที่สุดการได้ไข่มากขึ้นก็เป็นความสำเร็จเช่นกัน

“เสี่ยวเถียน เราต้องการฟาร์มไก่ขนาดใหญ่แบบนี้ใช่ไหม?” ซูโส่วเวินมองดูฟาร์มตรงหน้า ต่อให้เลี้ยงเจ็ดแปดร้อยตัวก็ไม่น่ามีปัญหาหรือเปล่า

แต่ทางชุมชนให้ไก่มาแค่สองร้อยห้าสิบตัวเท่านั้น เสียเปล่านัก

“พื้นที่ด้านหลังตรงนั้นตีวงล้อมไว้ก็ได้ค่ะ จะได้มีพื้นที่ไว้เคลื่อนไหว” ซูเสี่ยวเถียนชี้ไปที่ป่ากว้างด้านหลังเล้าไก่

“ต้องล้อมอีกหรือ?” ซูโส่วเวินถามอย่างไม่เชื่อ

“ไก่ก็ต้องออกกำลังกายด้วยค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างแน่วแน่ “พอถึงตอนนั้นพื้นที่สิบกว่าไร่จะปลูกต้นไม้ ผลไม้ด้านบนไว้หารายได้ ไก่ข้างล่างก็หารายได้เหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่ดีค่ะ”

“เรื่องดีอะไรล่ะ ไก่จะไม่ทำลายต้นไม้เอาหรือ?” ซูโส่วเวินรู้สึกว่าคำพูดของซูเสี่ยวเถียนไม่ถูกต้อง

“มันจะได้ผลแน่นอนค่ะ หนอนบนต้นไม้ก็เป็นอาหารของไก่ มูลไก่ใช้เป็นปุ๋ย และต้นไม้ก็จะเติบโตได้ดีมาก”

ช่วงนี้ซูเสี่ยวเถียนอ่านหนังสือ บังเอิญเห็นเรื่องนี้พอดี จึงตัดสินใจนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ทำการเกษตรและทำฟาร์ม

ซูเสี่ยวเถียนยุ่งอยู่ทุกวัน ใบหน้าเลยดำคล้ำ พวกคนโตในบ้านเห็นแล้วก็รู้สึกลำบากใจไปต่าง ๆ นานา

เด็กตัวขาวอยู่ดี ๆ ทำไมถึงเปลี่ยนไปเป็นก้อนถ่านแล้วเล่า?

คุณย่าซูวางแผนจะเลี้ยงหลานสาวไว้ที่บ้าน

ยังต้องเลี้ยงสาวน้อยคนนี้ให้ดีอยู่นะ

แต่ซูเสี่ยวเถียนจะอยู่อย่างสงบได้ที่ไหนเล่า นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับภารกิจของเธอว่าจะทำสำเร็จหรือเปล่า และต้องไปดูด้วยตัวเองถึงจะสบายใจ

“คุณย่า ไม่เป็นไรนะคะ พอถึงหน้าหนาวหนูก็ไม่ออกจากบ้านแล้วค่ะ จะกลับมาให้เลี้ยงเลย” ซูเสี่ยวเถียนว่า

เธอเกิดมาพร้อมกับผิวพรรณขาวผ่อง ชาติก่อนพอถึงวัยกลางคนผิวก็กลับมาดังเดิม ไม่จำเป็นต้องเอาใจใส่เลย

“ถ้าอย่างนั้นไปโรงเรียนดีกว่าไหม นี่มันอะไรเนี่ย? ดำกว่าพวกพี่ ๆ อีก ย่าเห็นแล้วปวดใจ” คุณย่าซูบ่นกระปอดกระแปด

“ไม่เป็นไรนะคะคุณย่า ถึงจะดำแต่ก็เป็นเด็กที่สวยที่สุดในหงซินนะ!”

ประโยคเดียวทำคุณย่าซูพูดไม่ออก ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กที่สวยที่สุดหรอกหรือ? ถ้าคนอื่นพูดนับว่าเป็นคำชม แต่ถ้าตัวเองพูดมันดูเหมือนจะไม่ถูกต้องเท่าไรนะ?

“เป็นกุหลาบในทุ่งถั่วเหลืองสินะ คนอื่นไม่ชม เลยชมเองก็ได้ รีบไปวิ่งเล่นไป ไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว” คุณย่าซูพูดด้วยรอยยิ้ม

ซูเสี่ยวเถียนที่ยุ่ง ๆ ไปที่เล้าไก่อีกครั้ง

ทุกคนร่วมแรงร่วมใจสามัคคี ภายในเวลาอันรวดเร็ว เล้าไก่และรั่วล้อมก็เสร็จเรียบร้อย

ชุมชนการผลิตหงซินเริ่มแจกธัญพืช

ครั้งนี้เป็นธัญพืชฤดูร้อนเป็นหลัก

ส่วนที่แบ่งไว้สำหรับประเทศชาติ ซูฉางจิ่วรวบรวมเรียบร้อยแล้ว และส่วนที่เหลือไว้ก็ตัดสินใจแบ่งออกเป็นหกสิบเปอร์เซ็นต์

มีบางคนที่ใกล้จะไม่มีข้าวกินแล้วก็แบ่งให้พวกเขาก่อน เพราะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมาก

ขณะที่กำลังแจกจ่ายอาหาร คุณย่าซูกลับได้รับข่าวคราวของซูหม่านซิ่ว