บทที่ 152 เยือนจักรวรรดิ 2 (2)

นักฆ่าหญิงผู้ปลอมตัวเป็นช่างแกะสลักและงานฝีมือด้านประติมากรรมต่างๆ เธอผู้นี้เคยปั้นกระต่ายให้ออกมาเป็นปีศาจมาแล้ว เธอก้มศีรษะเพื่อเคารพคาร์ล

คาร์ลยกถ้วยน้ำชาที่รอนยื่นส่งให้ขึ้นจิบก่อนทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้

“ฟรีเซีย”

“เจ้าคะ?”

“เจ้าบอกว่ามาจากอาณาเขตทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ใช่มั้ย?”

ชาวอาณาจักรโรมันจำเป็นต้องข้ามเขตชายแดนทางภาคตะวันเฉียงใต้เพื่อเข้าสู่จักรวรรดิ

องค์ชายรัชทายาทวางแผนที่จะเคลื่อนขบวนเดินทางโดยการข้ามชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ไปพร้อมกับราชทูต

“เจ้าค่ะ..ข้าน้อยมาจากภาคตะวันตกเฉียงใต้”

อาณาเขตที่อยู่ติดชายแดนตะวันตกเฉียงใต้คือ‘อาณาเขตกิลล์’มันเป็นอาณาเขตที่ปกครองโดยดัชเชสกิลล์

คาร์ลลอบสังเกตฟรีเซียเงียบๆ

กลุ่มคนที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสายข่าวพร้อมกับฟรีเซียภายใต้การดูแลของคาร์ลนั้นล้วนแต่เป็นนักฆ่า พวกเขาเดินทางไปภาคตะวันตกเฉียงใต้เพื่อรับงานจากเหล่าขุนนาง

คาร์ลเริ่มถาม

“เหตุผลที่พวกเจ้าทุกคนหลบหนีออกจากภาคตะวันตกเฉียงใต้เป็นเพราะพวกเจ้าพยายามลอบสังหารขุนนางหลังจากที่ฆ่าหัวหน้าของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ”

สมาคมนักฆ่าที่ฟรีเซียเคยสังกัดอยู่รับงานฆ่าเหล่าขุนนางเท่านั้น อย่างไรก็ตามหัวหน้าของเธอกลับเลือกรับงานลักพาตัวเด็กๆ พรีเซียไม่เห็นด้วยจึงจัดการฆ่าหัวหน้าของเธอและพยายามลอบสังหารขุนนางผู้ว่าจ้าง

“และขุนนางผู้นั้นเป็นลูกน้องคนสนิทของขุนนางระดับสูงของอาณาเขตทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ใช้หรือไม่?”

หนึ่งในขุนนางของดัชเชสกิลล์เป็นผู้ว่าจ้างในสิ่งที่ชั่วร้าย เขาสั่งให้ไปลักพาตัวเด็กๆในอาณาจักรโรมันเพื่อมาเป็นทาสแบบผิดกฎหมาย

ฟรีเซียเริ่มพูดอย่างระมัดระวังเมื่อเห็นรอยยิ้มของคาร์ล

“นายน้อยคาร์ล..ข้าน้อยขอถามได้หรือไม่?..ทำไมท่านจึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาหรือเจ้าคะ?”

ทำไมนะเหรอ? คาร์ลเอ่ยตอบโดยไม่ลังเล

“เพื่อหาจุดอ่อนของพวกเขานะสิ”

อาณาเขตกิลล์คืออาณาเขตทางชายแดนฝั่งภาคตะวันตกเฉียงใต้ นั่นคือประตูสู่อาณาจักร

พวกเขาไม่สามารถยอมให้ประตูดังกล่าวอ่อนกำลังลงได้ เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จึงจำเป็นต้องทำให้ประตูเหล่านั้นแข็งแกร่งมากที่สุดเพื่อให้พวกมันสามารถปกป้องชาวอาณาจักรโรมันด้วยชีวิต

คาร์ลยังคงพูดกับฟรีเซียที่ดูเป็นกังวลกับเรื่องราวของอาณาเขตกิลล์

“ข้ายังมีผู้สนับสนุนซึ่งทรงพลังยิ่งนัก”

จะต้องมีปัญหาอะไรอีกเมื่อองค์ชายรัชทายาทให้การสนับสนุนเขาเต็มที่

คาร์ลนึกถึง ‘อันโตนิโอ กิลล์’ผู้สืบทอดตระกูลของดัชเชสกิลล์

‘ทุกคนต่างกล่าวถึงอันโตนิโอผู้นี้ว่าเป็นคนมีอำนาจและมักจะสนใจในความเป็นไปของคนอื่นๆ’

คาร์ลมองไปที่ฟรีเซียอีกครั้ง

“ข้าจะแวะไปที่นั่นหลังเดินทางกลับจากจักรวรรดิ..ฟรีเซีย..เจ้าเข้าใจใช่มั้ยว่าข้าต้องการจะสื่ออะไร?”

แน่นอนว่า‘ฟรีเซีย’หญิงวัยกลางคนใบหน้าอ่อนโยนผู้นี้เข้าใจในสิ่งที่คาร์ลต้องการและตอบกลับทันที

“ข้าน้อยจะตั้งใจทำงานให้หนักเพื่อเตรียมข้อมูลในการใช้แบล็กเมล์ให้กับท่าน..มันจะใช้ได้ทันทีที่ท่านต้องการ”

“แบล็กเมล์?..ทำไมเจ้าพูดแบบนั้นล่ะ?”

“อะไรนะเจ้าคะ?”

ฟรีเซียมองรอยยิ้มอ่อนโยนที่ฉายชัดบนใบหน้าคาร์ล จากนั้นเขาก็เริ่มพูดด้วยเสียงอ่อนโยราวเสียงกระซิบ

“ข้าเป็นเพียงขุนนาง”

‘…คืออะไร?’

ฟรีเซียได้แต่เอ่ยถามในใจและพยักหน้ารับในสิ่งที่คาร์ลพูดเท่านั้น

“ขอรับ…นายน้อยพูดถูก..ท่านเป็นเพียงขุนนางเท่านั้น”

ฟรีเซียมองเห็นรอยยิ้มของรอนที่เป็นแบบเดียวกับคาร์ลไม่มีผิดเพี้ยนเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง

คาร์ลเริ่มอุ่นใจเมื่อเห็นรอนและฟรีเซียอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าพวกเขาทั้งคู่มีความน่าเชื่อถือจนเขาสามารถวางใจให้จัดการเรื่องนี้ได้

.

.

.

คาร์ลเสร็จสิ้นการเตรียมการทุกอย่างและเลือกคนที่จะเดินทางไปกับตนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ไม่จำเป็นต้องพูดถึงราอนเพราะอย่างไรมันก็ตามเขาไปด้วยสภาพล่องหนอยู่แล้ว

“เอาล่ะ!…เหล่าอัศวินผู้พิทักษ์ของข้า..พวกเจ้าพร้อมกันแล้วใช่มั้ย?”

เชวฮันยิ้มให้กับท่าทางอันสดใสของคาร์ล

“ขอรับ..ท่านคาร์ล!”

“เอ่อ..ขอ..ขอรับ..นายน้อย!”

ฮิลส์แมนหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆตนเมื่อเขาตะกุกตะกักตอบออกไป อูฮาเบ็นแสร้งเป็นถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ..”

เชวฮัน ฮิลส์แมนและอูฮาเบ็น ทั้งสามคนนี้คืออัศวินประจำกายของคาร์ล พวกเขาทั้งหมดเดินเข้าไปในอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารของอาณาเขตเฮนิตัสเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

คาร์ลมองเห็นอัลเบิร์กและนักการทูตได้ทันทีเมื่อเขาเดินทางมาถึงเมืองหลวง องค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กอ้าแขนออกกว้างและกล่าวต้อนรับคาร์ล

“โอ้!..นายน้อยคาร์ล เฮนิตัส..ขอบใจเจ้ามากที่มา..ข้าคิดว่าเจ้าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการติดตามข้าไปจักรวรรดิ”

คาร์ลกอดตอบอัลเบิร์กด้วยท่าทางนอบน้อมราวกับตนได้รับเกียรติอันสูงสุดในชีวิตและเริ่มพูด

“องค์ชายพะย่ะค่ะ..ถึงแม้หม่อมฉันอาจจะขาดฝีมือไปบ้างแต่หม่อมฉันก็ดีใจที่จะได้ช่วยอาณาจักรของเราพะย่ะค่ะ”

นักการทูตวัยกลางคนที่มาพร้อมกับอัลเบิร์กเริ่มพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจเมื่อได้ยินสิ่งที่คาร์ลเอ่ยออกมา

“ไม่แปลกใจเลย..ว่าทำไมองค์ชายจึงชื่นชมท่านนัก..ความคิดของท่านต่ออาณาจักรเรานั้นช่างลึกซึ้งเสียเหลือเกิน”

“ขอบคุณสำหรับคำชมของท่าน..ในฐานะขุนนางคนหนึ่งมันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะนึกถึงอาณาจักรและประชนของเราอยู่ตลอดเวลา”

นักการทูตผู้เป็นหัวหน้าคณะทูตแต้มยิ้มพอใจในคำตอบของคาร์ลอีกครั้ง

“ที่ข้ามาวันนี้เพื่อมาดูนายน้อยคาร์ลให้เห็นกับตา..แต่ดูแล้วข้าไม่จำเป็นต้องมาเลยด้วยซ้ำ”

อัลเบิร์กได้เสนอชื่อคาร์ล เฮนิตัสให้กับทูตผู้นี้ เนื่องจากคาร์ลเป็นเพียงบุตรชายขุนนางทั่วไป นักการทูตจึงจำเป็นต้องมาตรวจสอบคุณสมบัติของคาร์ล

คาร์ลและอัลเบิร์กสบตากันในช่วงเวลานั้น ก่อนที่อัลเบิร์กจะเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ

“เขาคือนายน้อยโล่สีเงิน..ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเขามีเกียรติเพียงใดและไม่จำเป็นต้องกังวลในตัวเขาเลยสักนิด”

นายน้อยโล่สีเงิน

คาร์ลเริ่มขมวดคิ้ว

“มันเป็นความจริง!..หม่อมฉันเห็นโล่เงินนั้นกับตา!..มันยอดเยี่ยมยิ่งนักนายน้อยคาร์ล!”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า..มันเป็นเพียงพลังไร้ค่าที่ข้ามีเท่านั้นเอง”

“บ้า!..ท่านเรียกมันว่าไร้ค่าได้อย่างไร?..ข้าหวังว่าจะได้เห็นโล่เงินปรากฏขึ้นอีกในอนาคต!..ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆ”

มีความอบอุ่นผ่านสายตาของนักการทูตออกมาราวกับเขามองเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า คาร์ลยิ้มตอบและยกมือแตะที่ลำคอของตนเบาๆ

‘แปลกมาก..ทำไมจู่ๆถึงได้รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเมื่อฟังสิ่งที่ท่านทูตผู้นี้พูดกันล่ะ’

ทั้งแผ่นหลังและลำคอของคาร์ลยังคงเย็นยะเยือกแม้ว่าเขาจะไม่มีความคิดที่จะใช้โล่เงินอีกในอนาคต