บทที่ 153 เยือนจักรวรรดิ 3 (1)

แม้ความหนาวเย็นจะยังคงแล่นไปทั่วคอของคาร์ลแต่สิ่งต่างๆกลับดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

~ มนุษย์!..การอยู่เฉยๆแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน!~

คาร์ลพยักหน้าเล็กน้อยตามความเห็นของราอน

‘แน่นอนว่าการอยู่นิ่งๆในสถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด’

ภูเขาก็ยังคงเป็นภูเขาแม่น้ำก็ยังคงเป็นแม่น้ำอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เขาจะสนิทกับอัลเบิร์กในระดับหนึ่งเขาก็ไม่คิดที่จะไปทำตัวใกล้ชิดในตอนนี้ คาร์ลเลือกที่จะติดตามข้ารับใช้ระดับกลางไปรอบๆโดยปล่อยให้อัลเบิร์กอยู่เหนือภูเขาและแม่น้ำอย่างที่ควรจะเป็น

แน่นอนว่ากลุ่มคนที่รับหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำตัวของเขาก็ต้องติดตามเขาไปเช่นกัน ในขณะที่คาร์ลยืนนิ่งเพื่อคิดว่าจะทำอะไรต่อดี ข้ารับใช้ระดับล่างก็เดินมาหาพวกเขา

“นายน้อยคาร์ลขอรับ..เราจะเคลื่อนย้ายขบวนไปยังอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารในอีกไม่ช้านี้แล้ว”

‘หืม?..ทำไมเขาถึงมาบอกฉันเรื่องนี้ด้วยล่ะ’

คาร์ลพบว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่ข้ารับใช้ผู้นี้เดินมาบอกเขาเรื่องนี้แต่ก็รู้สึกขอบใจน้ำใจของเขาเช่นกัน

“ขอบใจเจ้ามากที่บอกให้ข้ารู้”

“ขอรับ…นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าน้อยมาเชิญท่านให้ไปอยู่หน้าขบวนขอรับ”

“….อะไรนะ?”

“….อะไรนะ?”

คาร์ลถามกลับทันทีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ข้ารับใช้ระดับกลางคนหนึ่งเอ่ยถามออกไปเช่นกัน ข้ารับใช้ที่เดินมาบอกคาร์ลหันมามองคาร์ลเล็กน้อยก่อนจะหันไปคุยกับข้ารับใช้ระดับกลาง

“อืมมม…ท่านไม่รู้เกี่ยวกับตำแหน่งของเขารึ?”

“..เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

ดูเหมือนข้ารับใช้ระดับกลางผู้นี้จะหัวไวเล็กน้อยเมื่อหันไปมองข้างหน้าและเลือกมองตามสายตาคาร์ลไป มีกลุ่มอัศวินระดับสูงกลุ่มหนึ่งที่คอยอารักขาสมาชิกทูตโดยมีองค์ชายรัชทายาทประทับอยู่ด้านหลังของพวกเขา

อัลเบิร์กสบตาเข้ากับคาร์ลก่อนที่อัลเบิร์กจะยกยิ้มสดใสในขณะที่คาร์ลสะดุ้งโหยง

“นายน้อยคาร์ล..รีบมาได้แล้ว!”

อัลเบิร์กตะโกนเรียกคาร์ลให้รีบไปหาโดยเร็วในขณะที่ข้ารับใช้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกว่าตนไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไป

“มานี่ก่อน!”

คาร์ลและองครักษ์ของเขาสาวเท้าเข้าหาอัลเบิร์กช้าๆ

อัลเบิร์กยิ้มเมื่อมองคาร์ลที่กำลังเดินมาหาเขาด้วยท่าทางไม่สำรวมนักแม้ว่าจะมีขุนนางระดับสูงอยู่รายรอบก็ตาม

“องค์ชายเรียกหาหม่อมฉันหรือพะย่ะค่ะ?”

“ใช่..เจ้าต้องไปที่อุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารพร้อมกับข้า”

คาร์ลพยายามกลั้นความกังวลของตนไว้อย่างเต็มที่เมื่อพยักหน้าตอบรับเบาๆก่อนเอ่ยถามออกมาอย่างนึกสงสัย

“เราจะไปยังอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารประจำพระราชวังหรือพะย่ะค่ะ”

“ไม่..คราวนี้เราจะเลือกใช้อุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารที่ตั้งอยู่ตามกำแพงปราสาท..ข้าวางแผนที่จะให้ประชาชนเห็นขบวนการเดินทางของเรา”

‘ห๋า!..เอาจริงหรือนี่?’

ความคิดของอัลเบิร์กฉายชัดอยู่ในหัวของคาร์ล

อัลเบิร์กในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในฐานะองค์ชายรัชทายาทผู้ไม่มีทางยอมให้เหตุการณ์ก่อการร้ายในจัตุรัสกลางเมืองผ่านไปได้ง่ายๆโดยไม่มีการจับคนผิดมารับโทษ นอกจากนี้ทุกราชกิจที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ดีเสมอ บุคคลที่มีความสามารถรอบด้านเช่นนี้ยังให้ความสำคัญกับความยุติธรรมจนยากจะหาใครเทียบได้

องค์ชายรัชทายาทผู้นี้กำลังมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิตามคำเชิญและเขากำลังจะออกไปค้นหาเบาะแสที่เกิดขึ้นในจัตุรัสกลางเมือง

ถัดจากองค์ชายรัชทายาทก็คือ ‘คาร์ล เฮนิตัส’ วีรบุรุษแห่งเหตุการณ์ก่อการร้าย ไม่มีทางที่พวกเขาจะเดินทางไปอย่างลับๆโดยไม่มีใครรู้

คาร์ลเริ่มหงุดหงิด อย่างไรก็ตามอัลเบิร์กกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าคาร์ลคิดอะไรอยู่เมื่อเขาเริ่มพูดอีกครั้ง

“ข้าจะได้เห็นสายตาของทุกคนมองหานายน้อยแสงสีเงินอีกครั้ง!..ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆ”

‘นายน้อยแสงสีเงิน’ ‘นายน้อยโล่เงิน’ คาร์ลเกลียดฉายาเหล่านี้แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่าการเคลื่อนขบวนไปด้วยวิธีนี้ของอัลเบิร์กเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาจึงเริ่มตอบสนองต่อประโยคที่อัลเบิร์กเอ่ย

“หม่อมฉันไม่สามารถเอาตัวไปเปรียบเทียบกับดวงดาราแห่งอาณาจักรเราได้หรอกพะย่ะค่ะ”

คาร์ลเอ่ยออกมาด้วยความนอบน้อมและเหลือบสายตาไปมองขุนนางคนอื่นๆที่พยักหน้าเห็นด้วย

“แน่นอน..องค์ชายรัชทายาทของเราเปรียบได้กับดวงดาราแห่งอาณาจักรดังที่ท่านว่าไว้จริงๆนายน้อยคาร์ล!”

“ดวงดารา!..ข้าชอบชื่อนี้!”

ครึ่งหนึ่งของคณะเดินทางประกอบไปด้วยขุนนางที่เลือกติดตามอัลเบิร์กมาตั้งแต่ต้นและอีกครึ่งหนึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างขุนนางระดับล่างที่เคยขึ้นตรงกับองค์ชายพระองค์อื่นมาก่อนและข้าราชบริพารตำแหน่งต่างๆที่มีพื้นเพจากครอบครัวขุนนางระดับกลาง

ขุนนางที่อยู่ในระดับล่างและระดับกลางไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก พวกเขาทำได้เพียงแค่ต้องระวังองค์ชายอัลเบิร์กให้ได้มากที่สุดในขณะที่พวกเขากำลังเสริมพลังให้ตระกูลของตนแข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่องดังนั้นพวกเขาจึงต้องเพิ่มคำเยินยอต่อตัวอัลเบิร์กให้มากเข้าไว้

คาร์ลแต้มรอยยิ้มพึงพอใจเต็มใบหน้าเมื่อมองไปยังรอยยิ้มที่สั่นน้อยๆของอัลเบิร์ก ตอนนั้นเองที่เสียงของขุนนางคนหนึ่งลอดเข้ามาในหู

“นายน้อยคาร์ล..ดูเหมือนท่านจะเป็นคนสำคัญขององค์ชายรัชทายาทยิ่งนัก”

สายตาหลายคู่พุ่งมาที่เขาแทบทันทีที่ประโยคดังกล่าวจบไป ‘คาร์ล เฮนิตัส’คือชายผู้ที่ทำให้องค์ชายรัชทายาทเอ่ยปากเชิญเป็นการส่วนตัว เขาคือขุนนางที่ประชาชนอยากรู้จักเพิ่มมากขึ้น

สายตาของขุนนางและข้าราชบริพารแต่ละคนมีความหมายที่แตกต่างกันออกไปเมื่อเขาจ้องไปยังบุตรชายของท่านเคานต์ผู้นี้ พวกเขาไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าคาร์ลจะเข้ามามีบทบาทอย่างไรต่อพวกเขาบ้าง?

คาร์ลยิ้มและเริ่มคิด

‘พวกเขาบอกว่ามีอะไรอร่อยๆอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิบ้างนะ?’

แม้ว่าพวกเขาวางแผนที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะทำงานหนักมากนัก

องค์ชายอัลเบิร์กหันไปสั่งราชทูตของตนหลังจากฟังสิ่งไร้สาระมาครู่หนึ่ง

“ไปกันเถอะ”

นักการทูตเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

.

.

.

กลุ่มของอัลเบิร์กและคาร์ลจะใช้อุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารเพื่อเดินทางไปยังอาณาเขตกิลล์

“ฮ่าฮ่า…อื้มฮื้มม..อะแฮ่มๆๆ”

คาร์ลพยายามไม่สนใจอัลเบิร์กที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเอาไว้ ในขณะที่เสียงของราอนก็ดังเข้ามาในหัว

~ มนุษย์!..เด็กน้อยที่มีโล่จำลองของเจ้าจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีอย่างแน่นอน!เขาจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิต!~

คาร์ลขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะแสร้งยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว

เสียงร้องเชียร์ให้กับนักการทูตและองค์ชายรัชทายาทนั้นดูน่าทึ่งยิ่งนัก อย่างไรก็ตามยังมีเสียงตะโกนดังแทรกเข้ามาเพื่อชื่นชมนายน้อยแสงสีเงินเช่นกัน

‘นี่..พวกเขาไม่คิดจะลืมมันเลยเหรอ?’

แต่ส่วนที่แย่ที่สุดคือตอนที่เด็กเล็กคนหนึ่งตะโกนออกมา

“ข้าน้อยอยากเป็นคนที่เจ๋งแบบท่าน..นายน้อยคาร์ล!!”

พ่อของเด็กคนนั้นยกร่างของเขาขึ้นบนอากาศเพื่อให้เห็นพวกเขาได้ชัดขึ้น คาร์ลและเด็กคนนั้นเผลอสบตาเข้าหากัน

“ถ้าเจ้าเหมือนข้า..เจ้าจะไม่ได้ดูเจ๋งแม้แต่น้อย”

ดวงตาของเด็กน้อยสั่นระริกเหมือนจะร้องไห้ คาร์ลเองก็ฉุกใจคิดว่าตนพูดสิ่งใดออกไปเมื่อเห็นอัลเบิร์กกลั้นหัวเราะเอาไว้ นอกจากนี้ใบหน้าที่เป็นกังวลของพ่อเด็กก็เริ่มฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ คาร์ลจ้องไปที่พ่อเด็กแล้วพูดในสิ่งที่ตนเพิ่งคิดออกไปทันที

“ดูแลพ่อของเจ้าให้ดี..มีเพียงพ่อและแม่ของเจ้าเท่านั้นที่เจ๋งมากพอจะโอบกอดและยกร่างของเจ้าได้เช่นนี้”

พ่อเด็กซาบซึ้งในสิ่งที่คาร์ลพูดในขณะที่เด็กน้อยก็รู้สึกตื่นเต้นหลังจากได้ยินว่าพ่อของตนเจ๋งเพียงใด

คาร์ลเงียบเสียงของตนหลังจากนั้นทันทีและเดินตามขบวนเดินทางเข้าสู่วงเวทย์เคลื่อนย้ายมวลสาร

‘…มันยากจริงๆ’

สิ่งที่เกิดขึ้นโดยนอกเหนือจากแผนที่คิดไว้ทำให้คาร์ลไม่ค่อยชอบใจนัก อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่เกิดขึ้นตามแผนที่วางเอาไว้แล้ว คาร์ลรีบเปลี่ยนท่าทางของตนให้เป็นขุนนางผู้มีเกียรติทันที

มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก้มศีรษะให้แก่องค์ชายรัชทายาทและคณะทูตที่ติดตามมา

“ถวายบังคมเพคะองค์ชาย..เป็นเกียรติของหม่อมฉันยิ่งนักที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์อีกครั้ง”

มีหญิงชราผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่ม คาร์ลมองเห็นเส้นผมสีขาวของเธอที่ดูเหมือนสีนมสด เส้นผมทั้งหมดถูกเกล้าสูงขึ้นโดยไม่มีเส้นผมตกลงมาให้เห็นสักเส้น มันชวนให้เขานึกถึงเคานต์เตสวิโอแลน

นี่คือ ‘โซนาต้า กิลล์’ หญิงชราวัยเกือบ80ปี เธอเป็นบุตรสาวของดยุกและดัชเชสผู้ก่อตั้งอาณาเขตนี้ขึ้นมา ปัจจุบันเธอทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองอาณาเขตกิลล์ในฐานะดัชเชสกิลล์ เธอรู้จักโดยทั่วไปว่าเป็นหญิงเหล็กและหญิงที่ประสบความโชคร้ายที่สุดในชีวิต

‘สามีของเธอรวมทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ถูกลอบสังหารจนจบชีวิตลง’

อดีตดยุกดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลานาน นั่นเป็นเหตุผลที่การคัดเลือกผู้สืบทอดตระกูลไม่ได้เกิดขึ้นจนกว่าบุตรชายคนโตของเขาจะมีอายุ50ปี ดังนั้นเงื่อนไขต่างๆในการเข้ารับตำแหน่งผู้สืบทอดจึงเกิดขึ้นคล้ายๆกับที่ตระกูลของมาร์ควิสสแตนเป็น

สามีของโซนาต้า ลูกชายและลูกสะใภ้ของเธอเสียชีวิตจากการลอบสังหารซึ่งทำให้ดูคล้ายกับอุบัติเหตุรถม้า สิ่งที่เหลือรอดมีเพียงโซนาต้าและหลานชายของเธอ ‘อันโตนิโอ กิลล์’ซึ่งไม่ได้อยู่ในรถม้าในวันเกิดเหตุ

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่อันโตนิโนลืมตามาดูโลกได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เธอได้รับสมญานามว่าหญิงเหล็ก

‘สุดท้ายก็มีเพียงโซนาต้าที่ถูกทิ้งให้เป็นผู้สืบทอดตระกูลต่อจากดยุกผู้เป็นบิดาของตน’

โซนาต้า น้องคนสุดท้องของตระกูลซึ่งเป็นคนเดียวที่เหลือรอดอยู่ ในฐานะทายาทเพียงคนเดียวที่เหลือเธอจึงเดินเข้ารับตำแหน่งดัชเชสและไม่เหมือนกับที่ตระกูลสแตนทำเพราะเธอเลือกที่จะโอบอุ้มสายเลือดของเธอที่เหลืออยู่เอาไว้

จากนั้นเธอก็เลี้ยงดูฟูมฟักให้อันโตนิโอเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งดยุกคนต่อไป

“ไม่เจอกันนานเลยนะดัชเชสกิลล์”

“ถวายบังคมเพคะองค์ชาย..ก็นับตั้งแต่ที่พระองค์เสด็จเยือนจักรวรรดิเมื่อปีที่แล้ว..หม่อมฉันก็ไม่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์อีกเลย”

อัลเบิร์กพยักหน้าตามคำพูดของโซนาต้าแล้วกันไปมองอันโตนิโอที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก

เขาดูเรียบร้อยและดูเป็นคนเจ้าระเบียบ

คำเหล่านี้ดูเหมาะกับอันโตนิโอเป็นอย่างดี อันโตนิโอโค้งศีรษะให้อัลเบิร์กอย่างนอบน้อม

“เป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่งนักที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์”

“ขอบคุณเจ้ามาก..นายน้อยอันโตนิโอ”

โซนาต้าผายมือมาทางอันโตนิโอ

“หม่อมฉันขออนุญาตให้อันโตนิโอเป็นคนอำนวยความสะดวกแก่องค์ชายและคณะทูตจนกว่าพระองค์จะเสด็จเดินทางไปยังจักรวรรดิในวันพรุ่งนี้นะเพค่ะ”

อัลเบิร์กเอ่ยถามอย่างจงใจ

“ดูเหมือนนายน้อยอันโตนิโอจะต้องเข้าปกครองคฤหาสน์หลังนี้แล้วสินะ”

หญิงผมขาวแต้มยิ้มจางๆ

“มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเป็นเช่นนั้นเพค่ะ”

อาณาเขตกิลล์เลือกติดตามองค์ชายรองมานานหลายปี การที่ดยุกคนต่อไปของอาณาเขตต้องมารับผิดชอบในการดูแลองค์ชายรัชทายาทเช่นนี้ก็เป็นเพราะความตั้งใจจริงๆของเธอคือการให้อันโตนิโอได้ลองรับผิดชอบงานสำคัญและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อองค์ชายรัชทายาทด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามตระกูลกิลล์ก็ยังคงให้การสนับสนุนองค์ชายรองต่อไป

‘นั่นคือวิถีความเป็นไปของชีวิต’

คาร์ลเข้าใจในการกระทำของดัชเชสกิลล์เป็นอย่างดี เขาหันไปมองอัลเบิร์กและโซนาต้าที่กำลังพูคุยบางอย่างก่อนจะย้ายสายตามาที่อันโตนิโอ

‘หืม?’