ตอนที่ 148 ดักสังหาร

เมื่อถึงช่วงพลบค่ำ พวกหนิวโหย่วเต้าปรากฏตัวขึ้นบนทางลาดแห่งหนึ่ง ม้าวิ่งห้อลงไปเบื้องล่าง พ้นออกมาจากเขตเทือกเขาสูงชันแล้ว ภูมิประเทศด้านหน้าค่อนข้างราบเรียบ แม่น้ำสายหนึ่งทอดตัวคล้ายแถบผ้าแพร

เฮยหมู่ตานชี้ไปยังสะพานเส้นหนึ่งที่อยู่เหนือแม่น้ำ “เต้าเหยี่ยเจ้าคะ พวกเราจะตรงไปหรือจะข้ามสะพานเจ้าคะ?”

“ข้ามสะพาน!” หนิวโหย่วเต้าตอบ

ทั้งคณะมาถึงเชิงสะพาน ก่อนจะปรับเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ควบม้าวิ่งพุ่งขึ้นไป ห้อตะบึงข้ามสะพานหิน

ภายในป่าบนเขาที่ทอดมองลงมาเห็นปากทางแยกแห่งนี้ได้ คนชุดดำผู้หนึ่งกระโจนออกมาจากในยอดไม้ ไถลตัวลงมาตามกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ไม่นานปีกทองตัวหนึ่งก็โฉบออกมาจากในป่า โบยบินมุ่งหน้าไกลออกไป

…..

อีกฟากหนึ่งของเขาข้ามเมฆา โหวฉิงเทียนพาลูกน้องกว่ายี่สิบคนตัดออกมาจากเทือกเขาของเขาข้ามเมฆา ใช้ทางลัดเดินตัดเป็นเส้นตรง มาถึงบริเวณที่คนกลางระบุเอาไว้

ภายในป่า โหวฉิงเทียนยกมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมา ทั้งกลุ่มนั่งรออย่างเบื่อหน่ายอยู่บนพื้น

ผ่านไปพักใหญ่ มีคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา “ท่านเจ้าถ้ำ นี่มันหมายความว่าอย่างไรเหรอขอรับ พวกเราต้องรอกันไปถึงเมื่อไรล่ะขอรับ?”

โหวฉิงเทียนเอ่ยว่า “รอหน่อย หากไม่ส่งข่าวมาก็โทษพวกเราไม่ได้ ถึงอย่างไรพวกเราก็ได้เงินมัดจำมาแล้ว”

สิ้นเสียงของเขา ปีกทองตัวหนึ่งก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้า ใครคนหนึ่งยื่นมือไปคว้าเอาไว้ ดึงจดหมายลับออกมา ยื่นส่งให้โหวฉิงเทียน

หลังจากโหวฉิงเทียนอ่านเนื้อความด้านในจดหมายเสร็จเรียบร้อยก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “เป้าหมายจะผ่านทางสามโค้ง หากพวกเราเร่งเดินทางไปถึงที่นั่นก่อนยามไฮ่ก็จะสามารถสกัดพวกเขาได้ ไป!”

ทั้งคณะออกจากป่าไปอย่างรวดเร็ว ตัดผ่านพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่เขตภูเขาและแม่น้ำแห่งหนึ่ง แต่ละคนเหินทะยานไปอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทาง

หลังผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม ทั้งกลุ่มเหินลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง ทอดสายตามองออกไป ทางหลวงที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ลดเลี้ยวไปตามแนวเขา นั่นคือทางสามโค้ง

โหวฉิงเทียนโบกมือส่งสัญญาณให้คนไปจับตามองบนภูเขาที่อยู่เบื้องหน้า คนที่เหลือให้รออยู่ที่จุดเดิม

รออยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม คนที่ส่งออกไปก็ทะยานกลับมาอย่างเร่งร้อน รายงานว่า “ท่านเจ้าถ้ำ มีคนมาแล้วขอรับ อาจจะเป้าหมายขอรับ”

“เตรียมตัว” โหวฉิงเทียนสั่งการ

ปีศาจกลุ่มหนึ่งพุ่งลงจากเขาอย่างรวดเร็ว ดักซุ่มรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่ริมสองฝั่งของเส้นทางบนภูเขา

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ดังขึ้น คืบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

บนเนินเขา ด้านหลังไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง โหวฉิงเทียนเบี่ยงกายซ่อนตัว กำลังแอบมองดูอยู่

ผู้มาเยือนใกล้เข้ามาทุกขณะ ภายใต้แสงจันทร์แม้นจะมองเห็นตัวคนไม่ชัด แต่กลับค่อยๆ สังเกตเห็นจำนวนคนแล้ว ม้าสิบสองตัว คนหกคน ตรงกับข้อมูลที่ได้รับมา บอกว่าเป้าหมายคือคนที่อ่อนเยาว์ที่สุดในกลุ่ม

โหวฉิงเทียนทะยานลงจากเขา พาลูกน้องสองคนลงไปยืนบนถนนตรงช่วงหัวโค้ง มือถือกระบี่ยืนคอย สกัดเส้นทางของเป้าหมายไว้

กลุ่มผู้มาเยือนย่อมเป็นพวกหนิวโหย่วเต้า พวกเขาไม่ได้ทราบเลยแม้แต่นิดเดียวว่าบนถนนเบื้องหน้ามีการดักซุ่มโจมตีอยู่

ขณะที่เพิ่งพ้นหัวโค้งก็มองเห็นว่าภายใต้แสงจันทร์มีคนถือกระบี่สะท้อนแสงแวววับยืนขวางทางไว้ ทั้งคณะกระชากบังเหียนหยุดม้าอย่างรวดเร็ว

มีเงาคนปรากฏออกมาจากทั้งสี่ทิศ ปิดล้อมพวกเขาเอาไว้ทันที

“ส่งเงินมา หากยอมจำนนแต่โดยดีอาจจะรอดตาย!” โหวฉิงเทียนเอ่ยอย่างเฉยชา นี่คือการพูดหลอกลวงอีกฝ่าย

พวกเฮยหมู่ตานตกใจเป็นอย่างยิ่ง ชักกระบี่ขึ้นมาป้องกันตัวอย่างรวดเร็ว

หยวนฟางหยิบดาบขึ้นมาถือ สีหน้าดุร้าย เมื่อก่อนเขาเป็นฝ่ายดักปล้นคนอื่น ไม่เคยนึกเลยว่าวันนี้จะถูกปล้นเสียเอง

ภายใต้แสงจันทร์ หนิวโหย่วเต้ายังคงสุขุมเยือกเย็น มองสำรวจรอบข้างด้วยแววตาเยียบเย็น เดิมทีก็รู้สึกอยู่แล้วว่าใบหน้าที่มองเห็นไม่ชัดเจนของคนที่อยู่เบื้องหน้าค่อนข้างคุ้นตา กระทั่งอีกฝ่ายเปล่งเสียงออกมา ม่านตาเขาพลันหดเล็กลงทันที เอ่ยเสียงเข้มว่า “โหวฉิงเทียน เจ้าคิดจะทำอะไร?”

มือเขาค่อยๆ เคลื่อนไปกุมบนด้ามกระบี่ ดวงตาปรากฏเจตนาสังหาร

เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา พวกหยวนฟางมึนงง ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่

ทว่าเฮยหมู่ตานกลับจ้องมองคนที่ขวางทางอยู่ด้านหน้า

เหล่าปีศาจบำเพ็ญเพียรที่อยู่รอบข้างต่างงงงวย มาถึงก็เอ่ยนามท่านเจ้าถ้ำได้ทันที หรือว่าเป้าหมายการลอบสังหารจะรู้จักท่านเจ้าถ้ำ?

โหวฉิงเทียนเองก็ตะลึงงันเช่นกัน ปล่อยผีเสื้อจันทราออกไปอย่างรวดเร็ว บินไปตรวจสอบทางหนิวโหย่วเต้า

ทันทีที่ผีเสื้อจันทราเข้าใกล้ก็ส่องสว่างจนเห็นใบหน้าของหนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนหลังม้าได้อย่างชัดเจน โหวฉิงเทียนตกตะลึงจนพูดไม่ออก

จากนั้นสั่งให้ผีเสื้อจันทราบินวนรอบคนกลุ่มนี้ต่อ ไม่ผิดแน่ ม้าสิบสองตัว คนหกคน อีกทั้งเซวียนหยวนเต้าก็เป็นคนเดียวที่อ่อนวัยที่สุดในหกคนนี้ด้วย

เป้าหมายในการลอบสังหารคือคนผู้นี้หรือ? นี่มัน…โหวฉิงเทียนค่อยๆ กระอักกระอ่วนขึ้นมา อีกฝ่ายมอบของขวัญพบหน้าให้ทีเดียวสองแสนเหรียญทอง จะให้สังหารคนผู้นี้เพราะเงินไม่กี่หมื่นเหรียญทองออกจะขาดทุนเกินไปหน่อย อีกอย่าง หากไม่มีคำสั่งจากท่านผู้ดูแล เขาก็ไม่กล้าแตะต้องคนผู้นี้เช่นกัน เขารีบโบกมือตะโกนบอกพวกลูกน้องที่พามาด้วย “วางอาวุธลง วางอาวุธลง เข้าใจผิดแล้ว นี่พวกเดียวกัน!”

ตัวเขาเองก็สอดกระบี่กลับเข้าฝักเช่นกัน รีบเดินเข้าไปหาหนิวโหย่วเต้า ประสานมือคำนับ “เต้าเหยี่ย!”

พวกเดียวกันหรือ? นี่มันอะไรกัน? เหล่าปีศาจค่อยๆ วางอาวุธลง แต่ละตนมองหน้ากันเหลอหลา ล้วนไม่เคยพบหนิวโหย่วเต้ามาก่อน ไม่รู้ว่าเต้าเหยี่ยอะไรนี่มาจากไหน

ปีศาจตนหนึ่งเก็บอาวุธ แสร้งทำเป็นฉลาดกระซิบกระซาบกับปีศาจที่อยู่ข้างๆ ว่า “เห็นไหมล่ะ ข้าก็ว่าแล้วว่าการค้าครั้งนี้มันแปลกพิกลอยู่บ้าง คงมีคนอยากปั่นหัวให้เราฆ่าพวกเดียวกันเอง”

ทางฝั่งหนิวโหย่วเต้านอกจากเฮยหมู่ตานแล้ว พวกหยวนฟางเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ต่างมองหน้ากันไปมา

มือหนิวโหย่วเต้ากุมด้ามกระบี่ไว้ไม่ยอมปล่อย จ้องมองโหวฉิงเทียนอย่างเยียบเย็น “หรือว่าท่านพี่ของข้าผู้นั้นส่งเจ้ามาสังหารข้า?”

โหวฉิงเทียนรีบโบกมือปฏิเสธ “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรขอรับ ท่านและท่านผู้ดูแลสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ท่านผู้ดูแลไม่มีทางคิดสังหารท่านแน่นอนขอรับ!”

นี่มันเรื่องอะไรกัน? ครั้งนี้พวกปีศาจตกใจเป็นอย่างมาก คนผู้นี้คือพี่น้องร่วมสาบานของท่านผู้ดูแลอย่างนั้นหรือ?

พวกหยวนฟางค่อนข้างมึนงง ฟังไม่เข้าใจ ผู้ดูแลแห่งเขาข้ามเมฆาน่าจะเป็นอวิ๋นฮวนกระมัง? เต้าเหยี่ยสาบานเป็นพี่น้องกับอวิ๋นฮวนอย่างนั้นหรือ?

หนิวโหย่วเต้าถาม “เช่นนั้นพวกเจ้ามาดักปล้นข้าระหว่างทางทำไม?”

โหวฉิงเทียนยิ้มแห้งๆ ตอบไปว่า “เต้าเหยี่ย เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันขอรับ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริงๆ ข้าก็แค่พาเหล่าพี่น้องออกมาหาเงินเล็กน้อยเท่านั้น ซุ่มรอดักปล้นที่นี่ ผู้ใดจะทราบว่าบังเอิญพบกับท่านเข้า ล่วงเกินเสียแล้ว ล่วงเกินแล้วจริงๆ ขอรับ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้านี่เดินทางเร็วจริงๆ เนอะ ข้าออกเดินทางก่อนเจ้า แต่พวกเรายังมาเจอกันที่นี่ได้ เกรงว่าคงใช้เส้นทางลัดตัดตรงจากเขาข้ามเมฆามาที่นี่เลยกระมัง แล้วก็มาขวางทางข้าไว้พอดี ช่างบังเอิญเสียจริง เพื่อที่จะดักปล้นแล้ว ถึงกับเร่งร้อนมาดักรออยู่ที่นี่ ช่างพยายามจริงเลยนะ!”

โหวฉิงเทียนยิ้มเจื่อน ที่เขาพูดมามันก็ถูก เถียงอะไรไม่ได้เลย จึงประสานมือเอ่ยไปว่า “ขอเรียนเต้าเหยี่ยตามตรง ทางข้าเพิ่งได้รับการว่าจ้างมา มีคนจ่ายเงินให้พวกข้ารีบมาดักรออยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเป้าหมายจะเป็นเต้าเหยี่ยไปได้ หากรู้ตั้งแต่แรก พวกข้าจะกล้ามาสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้เต้าเหยี่ยได้อย่างไรขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าเชื่อคำพูดนี้ มิเช่นนั้นอีกฝ่ายคงลงมือไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรยืดเยื้อเช่นนี้

ถูกจับตาดูแล้ว! ความคิดนี้พลันผุดขึ้นมาในสมองของหนิวโหย่วเต้า เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ให้คนของเจ้าไปตรวจสอบป่าในละแวกนี้หน่อย ดูว่ามีคนน่าสงสัยหรือไม่”

“…..” โหวฉิงเทียนตะลึงงัน นึกในใจ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นพี่น้องร่วมสาบานของท่านผู้ดูแลจริงๆ หรือนี่? แต่ถึงกระนั้นก็ยังหันซ้ายหันขวาตะโกนสั่งการลูกน้อง “หูหนวกกันหมดหรือไง? ไม่ได้ยินที่เต้าเหยี่ยพูดเรอะ? ไป รีบไปตรวจสอบดู!”

“ขอรับ!” กลุ่มปีศาจรับคำสั่ง แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แยกกันไปตรวจสอบดูในป่า

หนิวโหย่วเต้ากระโดดลงจากหลังม้า ค่อยๆ เดินมาหยุดตรงหน้าโหวฉิงเทียน เอ่ยถาม “ผู้ได้สั่งให้พวกเจ้ามาสังหารข้า?”

โหวฉิงเทียนตอบ “เต้าเหยี่ย เรื่องนี้ข้าไม่ทราบจริงๆ ขอรับ ตอนนี้สถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการสังหารท่าน คาดว่าท่านผู้ดูแลเองก็คงอยากรู้เช่นกัน แต่คนกลางไม่มีทางยอมบอกพวกเราแน่นอนขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “คนกลางคือใคร?”

โหวฉิงเทียนถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ท่านได้โปรดอย่าถามเรื่องนี้เลยขอรับ ประการแรกคือคนกลางที่ทำงานเช่นนี้ได้ย่อมมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ไปหาเรื่องไม่ได้ ประการที่สอง นี่เป็นธุรกิจที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้ อีกฝ่ายไม่มีทางเปิดเผยตัวตนง่ายๆ แน่ขอรับ ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ นอกจากนี้ แต่ละกลุ่มล้วนมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง ต่อให้ข้าทราบ ข้าก็ไม่สามารถบอกท่านได้เช่นกัน หากทำผิดกฎจะชักนำความเดือดร้อนมาให้เขาข้ามเมฆาได้ ยิ่งไปกว่านั้นทางผู้จ้างวานก็น่าจะไม่เปิดเผยฐานะของตนต่อคนกลางเช่นกัน ต่อให้ท่านหาตัวคนกลางพบ มันก็ไม่แน่ว่าจะสืบได้ว่าผู้จ้างวานคือใครขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าครุ่นคิดก็พบว่าจริงดั่งว่า จึงไม่เซ้าซี้เรื่องนี้ต่อไป ถามต่อว่า “แล้วชีวิตข้ามีราคาเท่าไร?”

“แหะๆ!” โหวฉิงเทียนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เอ่ยว่า “สามหมื่นเหรียญทองขอรับ หากทราบแต่แรกว่าเป็นเต้าเหยี่ย ต่อให้จะลงมือจริงๆ พวกเราก็ไม่มีทางรับราคานี้หรอกขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “เจ้าไม่สังหารข้า แล้วพวกเจ้าจะไปอธิบายกับอีกฝ่ายอย่างไร?”

โหวฉิงเทียนถอนใจ “รับเงินมัดจำจากเขามาแล้วหนึ่งหมื่นเหรียญทอง ตามกฎแล้ว หากทำพลาดย่อมไม่ได้รับเงินส่วนที่เหลือ แล้วก็ต้องคืนเงินมัดจำเป็นสองเท่า แต่แน่นอน ท่านผู้ดูแลเองก็คงไม่มีทางทำร้ายน้องชายของตนเพื่อเงินเล็กน้อยแค่นี้เช่นนี้ขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าหันไปเรียก “เฮยหมู่ตาน!”

เฮยหมู่ตานกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้ามาหา “เต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้าถาม “บนตัวเจ้ามีเงินอยู่เท่าไร?”

เฮยหมู่ตานตอบ “ประมาณห้าหมื่นกว่าเหรียญทองเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้ารู้ว่าบนตัวนางมีเงินอยู่เพียงเท่านี้ ที่ไม่เรียกหยวนฟางหากแต่เรียกนาง เป็นเพราะหากไม่ถึงเวลาที่สมควรก็ไม่ควรเปิดเผยทรัพย์สินในตัวออกมา เขาเอียงศีรษะส่งสัญญาณพลางเอ่ยว่า “เอาเงินให้เขาห้าหมื่นเหรียญทอง”

คนผู้นี้ใช้เงินมือเติบโดยแท้! เฮยหมู่ตานโอดครวญอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ล้วงตั๋วแลกทองบนตัวออกมา เศษที่เหลือเก็บไป ยื่นตั๋วแลกทองใบละหมื่นห้าใบให้โหวฉิงเทียน

โหวฉิงเทียนแสร้งทำเป็นบ่ายเบี่ยง “จะรับไว้ได้อย่างไรขอรับ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จะปล่อยให้พวกเจ้าต้องมาเสียเงินเพราะข้าได้อย่างไร ให้เจ้ารับก็รับไว้เถอะ”

“ในเมื่อเต้าเหยี่ยเอ่ยมาเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ขอทำหน้าหนารับไว้ด้วยความขอบคุณขอรับ” โหวฉิงเทียนประสานมือคำนับ รับเอาตั๋วแลกทองไป ภายในใจมีความสุข ไม่ขาดทุน ซ้ำยังได้กำไรอีก ครั้งนี้นับว่าไม่ได้เหนื่อยเปล่า คุ้มค่าที่มา!

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “พวกเขาติดต่อจ้างวานเจ้าตั้งแต่เมื่อไร?”

โหวฉิงเทียนเก็บตั๋วแลกทองเข้ากระเป๋า เอ่ยตอบว่า “หลังท่านจากไปได้ไม่นานขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตามีเลศนัย

ทางนี้พูดคุยกันอยู่บนถนนได้สักพัก จนกระทั่งกลุ่มปีศาจที่ไปตรวจสอบในภูเขากลับมา ไม่ได้ข้อมูลอะไรเช่นกัน ไม่พบคนน่าสงสัยใดๆ เลย

หลังจากสอบถามสถานการณ์เสร็จเรียบร้อย โหวฉิงเทียนเอ่ยถามหนิวโหย่วเต้าว่า “เต้าเหยี่ย เดี๋ยวจะเอาอย่างไรดีขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

“ได้ขอรับ แต่ว่าเต้าเหยี่ย ท่านอาจจะถูกจับตาดูอยู่นะขอรับ ระหว่างทางต้องระวังตัวด้วย พวกเราทำไม่สำเร็จ ผู้จ้างวานอาจจะไปหาคนอื่นมาทำแทนได้” โหวฉิงเทียนเอ่ยเตือนเขาอย่างจริงจัง ในใจหวังว่าอย่าได้เกิดเรื่องกับบ่อเงินบ่อทองที่ใจกว้างเช่นนี้จะดีที่สุด วันหน้าอาจจะได้ผลประโยชน์อีก

“อืม กลับไปแล้วฝากทักทายท่านพี่แทนข้าด้วย”

“ขอรับ! เช่นนั้นพวกข้าขอลาตรงนี้เลยนะขอรับ เต้าเหยี่ยรักษาตัวด้วยนะขอรับ!”

เมื่อเห็นพวกปีศาจหายลับเข้าไปในภูเขา หนิวโหย่วเต้าก็ชี้ไปที่ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยง สื่อว่าให้ทั้งสองตามไปสังเกตการณ์หน่อย

กระทั่งทั้งสองกลับมารายงาน หลังมั่นใจว่าพวกโหวฉิงเทียนจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้ากลับขึ้นม้าอีกครั้ง นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้า จ้องมองเส้นทางมืดสลัวเบื้องหน้า แววตาวูบไหวไปมาไม่นิ่ง จู่ๆ พลันบังคับม้าเลี้ยวกลับ “ไป!”

ไม่ได้เดินหน้าต่อไป แต่พาทุกคนย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม

จะบอกว่าย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิมก็ไม่ถูก เพราะระหว่างทางได้เจอปากทางที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง จึงพาทุกคนหลบเข้าไปในภูเขาลึก

…………………………………………………………