ตอนที่ 149 วงแล้ววงเล่า

หนทางขรุขระ เดินทางลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนำม้ามาด้วย หลังลำบากลำบนอยู่พักใหญ่ก็พบหุบเขาแห่งหนึ่งสำหรับซ่อนตัว

การที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนจากการเดินทางเป็นการหาที่ซ่อนตัวอย่างเร่งด่วน นั่นย่อมเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงอันตราย

การดักสังหารที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้หนิวโหย่วเต้ารู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อันตรายครั้งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขา ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้แม้แต่น้อย ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เขาไม่กล้าเดินหน้าต่อไปจริงๆ!

หากไม่สืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง อันตรายจะมาจากทางไหนก็ไม่อาจรู้ได้ ถูกจับตามองอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย แบบนี้เสียเปรียบเกินไป!

ขบวนม้าหยุดพัก ทุกคนเหลือบมองดูหนิวโหย่วเต้าที่คล้ายมีเรื่องหนักใจเป็นระยะ

หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่ริมลำธาร เงยหน้ามองดูจันทร์เสี้ยวที่ลอยอยู่เหนือหุบเขา

หยวนฟางเข้ามาหา เอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย พวกเราจะซ่อนตัวที่นี่หรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้านิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยออกมาว่า “นำเงินไปใช้คืนเฮยหมู่ตานห้าหมื่นเหรียญทอง”

“…..” หยวนฟางพูดไม่ออก รู้อย่างนี้ไม่เข้ามาถามเสียก็ดี

ทว่าเฮยหมู่ตานที่ได้ยินกลับเดินเข้ามา เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ!”

หนิวโหย่วเต้านิ่งเงียบ ยังคงจมอยู่ในภวังค์ความคิด

หยวนฟางหยิบตั๋วแลกทองออกมาห้าใบ ยัดใส่มือเฮยหมู่ตาน ก่อนจะถอยห่างออกไปเล็กน้อย

เฮยหมู่ตานมองตั๋วแลกทองในมือ เห็นหนิวโหย่วเต้ากำลังใช้ความคิดอยู่ จึงไม่ได้รบกวนอีก นางพอจะเข้าใจนิสัยของหนิวโหย่วเต้าแล้ว เมื่อมอบให้แล้วก็จงรับไว้

มีเสียงกระพือปีกพึบพับดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงนกร้อง ทำให้หนิวโหย่วเต้าได้สติกลับคืนมา หันกลับไปมองทางด้านหลังทันที

“ตรงนี้มีถ้ำอยู่ขอรับ”

ต้วนหู่ที่ไปสำรวจภายในหุบเขาวิ่งกลับมา เขาพบถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง จึงเดินเข้าไปสำรวจดูเล็กน้อย ผลปรากฏว่าไปรบกวนฝูงนกที่พักผ่อนอยู่ภายในถ้ำเข้า

ทั้งกลุ่มเดินไปดู พบว่าเป็นถ้ำแห่งหนึ่งจริงอย่างว่า พูดให้ถูกคือเป็นโพรงแห่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการแยกตัวของภูเขา ขนาดไม่ใหญ่นัก ปากทางเข้าเป็นทรงสามเหลี่ยมมุมเฉียง ลึกประมาณสองสามจั้ง

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปดูภายในถ้ำ จากนั้นเอ่ยว่า “เอาแผนที่มา”

ต้วนหู่ดึงแผนที่ออกมาจากห่อสัมภาระบนหลัง ที่นี่ไม่มีโต๊ะ อู๋ซานเหลี่ยงที่อยู่ด้านข้างจึงยื่นมือเข้ามา ทั้งสองดึงแผนที่ให้กางออก กางแผนที่ไว้ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า ผีเสื้อจันทราเกาะอยู่บนก้อนหินด้านบนคอยให้ความสว่าง

หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่หน้าแผนที่ สายตามองย้อนกลับไปตามเส้นทางที่เดินทางมา สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่เขาข้ามเมฆา

ใครกันที่ต้องการสังหารเขา? ศัตรูของเขาในตอนนี้ก็มีแค่คนเหล่านั้น หากทำการแบ่งจากภาพรวม ก็มีพวกตระกูลซ่ง แล้วก็มีราชสำนักแคว้นเยี่ยนที่เข้ามาเกี่ยวข้องหลังจากสังหารซ่งหลง นอกจากสองกลุ่มนี้แล้ว ตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครกันที่วิ่งมาถึงแคว้นจ้าวเพื่อกำจัดเขา

อีกทั้งการดักสังหารได้อย่างแม่นยำในครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาถูกคนจับตามอง จึงสามารถระบุเส้นทางการเดินทางของเขาได้อย่างแม่นยำ

ใครจับตามองเขาอยู่? จับตามองเขาได้อย่างไร? หากไม่สืบให้ชัดเจนว่าถูกจับตามองได้อย่างไร เขาอาจจะตกอยู่ในกับดักของผู้อื่นได้ทุกเมื่อ เวลานี้เขาไม่กล้าบุ่มบ่ามแม้เพียงก้าวเดียว!

ตอนนี้เท่าที่เขารู้ก็มีแค่สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสที่กำลังไล่ล่าเขาอยู่ ส่วนคนอื่นที่น่าจะทราบเส้นทางคร่าวๆ ของเขาดีที่สุดก็มีเพียงเขาข้ามเมฆา

เมื่อดูจากท่าทีและสถานการณ์ของอวิ๋นฮวนแล้ว น่าจะตัดเขาข้ามเมฆาออกไปได้เลย เขาข้ามเมฆาไม่มีทางทราบล่วงหน้าว่าเขาจะไปเยือนได้ หากได้รับแจ้งข่าวแต่แรกและคิดจะวางแผนจัดการเขาแล้วล่ะก็ ฝั่งนั้นคงไม่มีทางปล่อยเขาออกมาแน่ สามารถกักตัวเขาไว้ได้ง่ายๆ แล้วก็ยิ่งไม่มีทางตามมาดักสังหารทีหลังด้วย

ด้วยเหตุนี้ คำพูดของโหวฉิงเทียนจึงน่าเชื่อถือ เขาข้ามเมฆาเพิ่งจะได้รับแจ้งให้มาดักสังหารหลังเขาออกมาจากเขาข้ามเมฆา

คนของทั้งสามสำนักก็ตัดทิ้งไปได้เลยเช่นกัน หากทั้งสามสำนักสามารถระบุเส้นทางของเขาได้อย่างแม่นยำล่ะก็ พวกเขาก็คงจะใช้ทางลัดมาดักรอสังหารเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องยืมมือเขาข้ามเมฆาเลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ แปลว่ามีบุคคลที่สามที่ทราบถึงเส้นทางของเขาอย่างชัดเจน

และเหตุผลที่บุคคลที่สามไปจ้างวานเขาข้ามเมฆาก็มีความเป็นไปได้อยู่แค่สองกรณี ถ้ามิใช่เพราะในมือไม่มีคนที่สามารถสังหารเขาได้ ก็แสดงว่าเป็นเพราะปัญหาด้านระยะทาง คนที่สามารถสังหารเขาได้ไม่สามารถไล่ตามมาได้ทันเวลา

แล้วก็ยังมีอีกจุดหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือบุคคลที่สามไม่ได้ติดต่อกับคนของสามสำนักที่ตามไล่ล่าเขาอยู่ มิเช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปจ้างวานเขาข้ามเมฆาเลย

เช่นนั้นบุคคลที่สามล่วงรู้ถึงเส้นทางการเดินทางของเขาอย่างแม่นยำได้อย่างไร?

ก่อนอื่นคือต้องพบตัวเขาก่อน จากนั้นถึงจะจับตาดูแล้ววางแผนจัดการได้

ความเป็นไปได้ที่จะถูกจับตามองตั้งแต่ตอนอยู่ในเขตเมืองไจซิงถูกเขาตัดทิ้งไป ส่วนสาเหตุที่ตัดทิ้งไปก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่ดูจากคนของทั้งสามสำนักก็พอจะรู้แล้ว พวกเขายากจะจับทิศทางของเขาอย่างแม่นยำได้

เช่นนั้นโอกาสที่จะถูกจับตามองคือหลังออกจากเขตทะเลทรายหรือทุ่งหญ้าไปแล้ว หลังเข้าสู่เส้นทางหลวงแล้วถึงจะถูกจับตามอง

เงื่อนไขสำคัญข้อแรกในการจับตามองเขาคือต้องรู้จักเขา เขาค่อนข้างแปลกใจ หรือว่าที่นี่จะมีคนที่รู้จักเขาอยู่เช่นกัน? ในแคว้นจ้าว ไม่ว่าจะเป็นคนที่เขารู้จักหรือคนที่รู้จักเขาล้วนมีไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นคือความเป็นไปได้ที่จะมาพบกันในพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกลเช่นนี้นั้นต่ำเป็นอย่างมาก คงจะไม่บังเอิญเกิดเหตุการณ์เหมือนอย่างที่เจอเฉินกุยซั่วในมณฑลจินโจวอีกกระมัง? ที่สำนักเซียนสถิตพบตัวเขาได้เป็นเพราะมีภาพเหมือนของเขาอยู่ในมือ หรือว่าระหว่างที่เดินทางมานี้จะมีคนอื่นที่มีภาพเหมือนของเขาอยู่เช่นกัน?

“ระหว่างที่เดินทางมานี้ พวกเจ้าสังเกตเห็นอะไรที่ผิดปกติหรือไม่? ลองนึกดูให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติอะไรก็ห้ามปล่อยผ่าน”

หนิวโหย่วเต้าลากนิ้วกลับไปกลับมาตามเส้นทางที่เดินทางมาที่นี่พลางเอ่ยถาม อันที่จริงความคิดของเขาพุ่งเป้าไปที่จุดพักม้าระหว่างทางแล้ว ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้มีคนสัญจรไปมาไม่มากนัก กลับเป็นจุดพักม้าที่เป็นสถานที่ที่ได้พบเจอผู้คนบ่อยที่สุด

ทั้งห้าคนใคร่ครวญอยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา นึกถึงจุดผิดปกติอันใดไม่ออกเลย

เฮยหมู่ตานเอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย เรื่องที่ท่านไปเขาข้ามเมฆาเพื่อคารวะอวิ๋นฮวน แล้วก็เรื่องที่ถูกดักสังหารก่อนหน้านี้นับไหมเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบ “ไม่นับ!”

เฮยหมู่ตานจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นตลอดการเดินทางนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลยเจ้าค่ะ หลังออกจากเมืองไจซิงและเข้าสู่ถนนหลวงแล้ว นอกจากสองเรื่องนี้ พวกเราก็แทบจะไม่ได้หยุดพักเลย มีแค่แวะเปลี่ยนม้าที่จุดพักม้าระหว่างทางเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“จุดพักม้าที่แวะเปลี่ยนม้าอยู่ตรงไหน ทำเครื่องหมายบนแผนที่ให้ข้าหน่อย แล้วก็ตำแหน่งของวังนภากาศของอวิ๋นฮวนกับทางสามโค้งที่พวกเราถูกดักสังหารด้วย พยายามชี้จุดทั้งหมดให้แม่นยำที่สุด” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสั่ง จากนั้นหันไปเอ่ยกับหยวนฟางว่า “หยิบแท่งถ่านออกมา”

แท่งถ่านที่ขีดๆ เขียนๆ ก็สามารถหาเงินได้ หยวนฟางพกติดตัวเอาไว้ตลอดทาง เขาล้วงแท่งถ่านออกมายื่นให้เฮยหมู่ตาน

เฮยหมู่ตานและพวกต้วนหู่ปรึกษากัน ทำการยืนยันตำแหน่งของจุดพักม้าที่อยู่ริมถนนหลวง อันที่จริงมันก็จำได้ไม่ยาก จุดพักม้าแห่งนั้นค่อนข้างใหญ่ เป็นจุดพักม้าที่มีลักษณะเป็นจุดศูนย์กลาง ตั้งอยู่ใกล้ทางแยกแห่งหนึ่ง ทำเลดีเป็นอย่างยิ่ง ส่วนตำแหน่งรังของอวิ๋นฮวนนั้นอยู่บนยอดเขาหลักแห่งหนึ่งในเขาข้ามเมฆา นางหาตำแหน่งยอดเขาหลักยอดนั้นแล้ววงทำสัญลักษณ์เอาไว้ ส่วนตำแหน่งทางสามโค้งที่ถูกดักสังหารอยู่ตรงปากทางโค้งแห่งหนึ่ง หาพบได้ไม่ยากเช่นกัน

“เต้าเหยี่ย เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เฮยหมู่ตานหันไปบอก

หนิวโหย่วเต้าดึงแท่งถ่านไปจากมือนาง สำรวจดูแผนที่อย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าว่ากันในแง่ความได้มาตรฐานแล้ว แผนที่ฉบับนี้ไม่ได้มาตรฐานเลยจริงๆ แต่หากเทียบกับแผนที่ยุคสมัยโบราณที่เกิดจากการคาดเดาทั้งหมดที่เขารู้จักมาในชาติก่อนแล้ว แผนที่นี้ก็นับว่าได้มาตรฐานกว่ามาก คาดว่าน่าจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้บำเพ็ญเพียรในที่ต่างๆ ในการสำรวจและจัดทำแผนที่ขึ้นมา

เขาหยิบปลอกกระบี่ทาบลงบนแผนที่ เทียบระยะห่างจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเล็กน้อย จากนั้นใช้แท่งถ่านทำเครื่องหมายมาตราส่วนลงบนปลอกกระบี่ ก่อนจะใช้มาตราส่วนนี้วัดระยะทางของตำแหน่งเขาข้ามเมฆากับทางสามโค้งที่ทำเครื่องหมายไว้เล็กน้อยเพื่อทดสอบว่ามาตราส่วนนี้มีความแม่นยำเพียงใด

การกระทำที่แปลกประหลาดเหล่านี้ทำให้คนอื่นๆ มองหน้ากันเหลอหลา ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

หนิวโหย่วเต้าที่วางปลอกกระบี่ลงยืนอยู่หน้าแผนที่ จ้องมองแผนที่แล้วเอ่ยถาม “พวกเจ้าคิดว่าคนที่จะฆ่าข้าไปติดต่อกับคนกลางของเขาข้ามเมฆาที่ไหน?”

เฮยหมู่ตานยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “จะรู้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ?”

ทว่าสายตาของหนิวโหย่วเต้ากลับจดจ้องอยู่ที่มหานครชื่อโจว เอ่ยเนิบๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนใช้พลังดึงแผนที่ให้ตึง”

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงทำตามคำสั่ง

หนิวโหย่วเต้าทาบกระบี่ไว้ระหว่างมหานครชื่อโจวและวังนภากาศ นำเอาระยะทางที่ปรากฏอยู่บนมาตราส่วนมาหารด้วยความเร็วในการบินอย่างคร่าวๆ ของปีกทองที่ทราบอยู่แล้ว ก็จะได้ระยะเวลาโดยประมาณออกมา เขาใช้แทงถ่านเขียนตัวเลขตัวเลขหนึ่งลงไปบนแผนที่ เป็นตัวเลขที่คนทั้งห้าอ่านไม่เข้าใจ

นิ้วนิ้วหนึ่งของหนิวโหย่วเต้าจิ้มไปที่มหานครชื่อโจว แท่งถ่านที่คีบอยู่ตรงปลายนิ้วถูกเขาใช้พลังควบคุมให้ค่อยๆ ลอยออกไป แตะลงบนตำแหน่งของวังนภากาศ พลังที่ส่งออกไปได้ควบคุมแท่งถ่านให้วาดวงกลมวงหนึ่งลงบนแผนที่โดยมีมหานครชื่อโจวเป็นจุดศูนย์กลาง

จากนั้นดูดแท่งถ่านกลับมาที่มือ คำนวณระยะเวลาจากตอนที่ออกจากจุดพักม้าถึงตอนที่ออกจากเขาข้ามเมฆาอย่างเงียบๆ เล็กน้อย ลบด้วยเวลาที่เพิ่งคำนวณออกมาได้เมื่อครู่นี้ จากนั้นคูณด้วยความเร็วในการบินอย่างคร่าวๆ ของปีกทอง ก็จะได้ระยะทางอย่างคร่าวๆ ออกมา จากนั้นเอาปลอกกระบี่พาดไปบนแผนที่โดยใช้มหานครชื่อโจวเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้ง ทำเครื่องหมายไปบนแผนที่ตามระยะทางที่คำนวณออกมาได้เมื่อครู่นี้

จากนั้นเขาเอานิ้วจิ้มไปที่มหานครชื่อโจวเพื่อใช้เป็นจุดศูนย์กลางอีกครั้ง แท่งถ่านลอยไปยังจุดที่ทำเครื่องหมายเอาไว้เมื่อครู่นี้ ก่อนจะโคจรพลังควบคุมแท่งถ่านให้วาดเป็นวงกลมอีกครั้งหนึ่ง

หนิวโหย่วเต้าหยิบแท่งถ่านแล้วมองไปยังตำแหน่งจุดพักม้า พบว่าตำแหน่งของจุดพักม้าอยู่ด้านนอกขอบของวงกลมที่วาดออกมาเมื่อครู่ คลาดเคลื่อนจากที่คาดเดาเอาไว้

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากไม่คลาดเคลื่อนสิถึงจะแปลก เพราะในระหว่างนั้นมีความคลาดเคลื่อนของช่วงเวลาในการรับและส่งข่าวสารอยู่ด้วย แล้วก็ยังมีความคลาดเคลื่อนในด้านการบันทึกเวลา ผนวกกับแผนที่ไม่มีความแม่นยำด้วย

แต่เขาแค่ต้องการตรวจสอบดูคร่าวๆ เท่านั้น ไม่ได้ต้องการความแม่นยำอะไรขนาดนั้น

จากนั้นเขาวาดวงกลมขึ้นมาวงแล้ววงเล่า ถือปลอกกระบี่มาวัดวงกลมเหล่านั้นไม่หยุด จดตัวเลขแปลกประหลาดบางอย่างที่คนทั้งห้าอ่านไม่ออกเอาไว้ด้านข้างอย่างต่อเนื่อง

หลังผ่านไปครู่หนึ่งก็ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น เขาค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้า จ้องมองแผนที่แล้วกล่าวว่า “จุดพักม้าที่พวกเราแวะเปลี่ยนม้าก่อนหน้านี้มีปัญหา เราน่าจะถูกพบตัวที่นั่น”

คนอื่นๆ มองหน้ากัน

จากนั้นหนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาอีกว่า “ข่าวน่าจะถูกส่งออกไปในระยะเวลาประมาณหนึ่งก้านธูปหลังจากที่พวกเราออกจากจุดพักม้า หลังจากข่าวส่งไปถึงมหานครชื่อโจว น่าจะทิ้งช่วงอีกประมาณครึ่งชั่วยาม จากนั้นคนกลางถึงจะติดต่อไปหาเขาข้ามเมฆา หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ คนที่ซื้อชีวิตข้าและคนกลางล้วนอยู่ในมหานครชื่อโจวทั้งคู่”

พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ คนอื่นๆ ต่างพูดไม่ออก ทำอย่างกับว่าเห็นด้วยตาตัวเองอย่างนั้นแหละ

เฮยหมู่ตานลองถามดู “เต้าเหยี่ย ข้าเห็นท่านก็เหมือนจะหมายตาไปที่มหานครชื่อโจวตั้งแต่แรกแล้วนี่เจ้าคะ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “แรกเริ่มมหานครชื่อโจวเป็นแค่สมมติฐานเท่านั้น คนที่สามารถทำงานซื้อขายเอาชีวิตคนแบบนี้ได้ หากคุมทางฝั่งผู้จ้างวานและผู้รับงานไม่อยู่ก็ไม่สามารถทำต่อไปได้ และการที่สามารถติดต่อคนเพื่อช่วยจัดการแก้ไขปัญหาให้ผู้จ้างวานได้ทุกเมื่อนั้น นี่มิใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้ด้วยกำลังของคนเพียงคนเดียว นี่จะต้องเป็นองค์กรแห่งหนึ่งแน่นอน องค์กรนี้ใหญ่โตแค่ไหนข้าไม่รู้ แต่ศูนย์กลางของเครือข่ายน่าจะไม่มีทางอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ที่อยู่ในละแวกเขาข้ามเมฆา ตำแหน่งที่ตั้งของมันน่าจะมีข้อได้เปรียบในด้านการติดต่อกับพื้นที่โดยรอบ เมื่อรวมเข้ากับระยะทางโดยประมาณที่ได้จากการคำนวณช่วงเวลาในการส่งข่าวแล้ว หากมองดูคร่าวๆ มหานครชื่อโจวจึงน่าสงสัยเป็นยิ่ง ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเอามหานครชื่อโจวมาเป็นสมมติฐานและทำการตรวจสอบ และสุดท้ายผลลัพธ์ที่คำนวณออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเวลาหรือระยะทางก็ล้วนสมเหตุสมผลทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้สมมุติฐานที่ว่าเป็นมหานครชื่อโจวจึงถูกต้อง”

……………………………………………………………