ตอนที่ 166 ความอับอายจากการเปิดบั้นท้าย

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 166 ความอับอายจากการเปิดบั้นท้าย

ตอนที่ 166 ความอับอายจากการเปิดบั้นท้าย

มื้อเย็น หลินเซี่ยทำบะหมี่ผัดให้ทุกคน หลังจากเซี่ยไห่กินเสร็จแล้ว เขาก็ขอตัวจากไป

หลินเซี่ยรอจนกว่าหู่จือจะนอนหลับสนิท ถึงกลับเข้าห้องนอน

ในที่สุดพวกเขาก็มีเวลาอยู่กันตามลำพังสักที ทันทีที่เธอเข้ามา เฉินเจียเหอก็รวบตัวเธอมากอดไว้ในอ้อมแขน

หลินเซี่ยเตือน “ระวังแผลปรินะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก”

เธอมองเขาแล้วโทษตัวเอง “ฉันขอโทษนะคะ ตอนแรกที่เห็นว่าคุณกลับมาแล้ว ฉันตื่นเต้นเกินไปหน่อย ทำไมคุณไม่บอกฉันตั้งแต่ตอนนั้นว่าคุณได้รับบาดเจ็บ? ตอนคุณโดนฉันกอด แผลตรงไหล่คุณเจ็บกว่าเดิมหรือเปล่า?”

เฉินเจียเหอลูบหัวเธอแล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลย ตอนที่ผมเห็นคุณวิ่งเข้ามาหา ความเจ็บปวดทั้งหมดก็หายไป ผมแค่อยากกอดคุณเท่านั้น”

“การเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ในครั้งนี้หนักหนาเอาการเลยสินะคะ” หลินเซี่ยมองไปยังใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเขา ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าแทบไม่ได้ข่มตานอนดี ๆ เลย

เฉินเจียเหอกดศีรษะเธอให้ซบลงบนหน้าอกตัวเอง จากนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจ “ใช่ คราวนี้ทุกอย่างทั้งยากและเป็นงานที่หนักมาก บาดแผลทางใจและความกดดันทำให้ผมแทบหายใจไม่ออก”

ถ้าเป็นเรื่องงาน หลินเซี่ยไม่รู้ว่าควรจะปลอบเขาอย่างไร สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือปล่อยให้เขาได้มีเวลาผ่อนคลายและพักผ่อนอย่างเพียงพออยู่ที่บ้าน

“ถ้าอย่างนั้นเช็ดตัวก่อน คืนนี้เราเข้านอนกันเร็วหน่อย”

“จริงสิ ฉันย้ายเครื่องทำน้ำอุ่นในบ้านไปติดตั้งไว้ที่ร้านตัดผม ตั้งใจว่าจะซื้อเครื่องใหม่มาติดที่บ้านทีหลัง” เธอพูดต่อ “สภาพแบบนี้คุณอาบน้ำตามปกติไม่ได้หรอก เช็ดตัวก็พอแล้ว”

เฉินเจียเหอชี้ไปที่ไหล่ของเขา มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน พลางพูดเหมือนอ้อนว่า “งั้นคุณเช็ดตัวให้ผมหน่อยสิ ผมยกแขนข้างนี้ไม่ได้”

“ได้”

หลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ล้มตัวนอนบนเตียงและกอดกัน

ขณะนี้เฉินเจียเหอรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองผ่อนคลายลงกว่าเดิมมาก อาจเป็นเพราะบาดแผลทางใจได้รับเยียวยา ในที่สุดความอึดอัดคับข้องที่ติดค้างอยู่ในหัวใจของเขาก็พลอยเลือนหายไปด้วย เขามองไปที่หลินเซี่ย พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เซี่ยเซี่ย เราไปจดทะเบียนสมรสกันเถอะ”

หลินเซี่ยแย้ง “รอจนกว่าแผลคุณหายก่อนก็แล้วกัน”

“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย”

เฉินเจียเหอเฝ้ารอวันที่เขาจะได้กลับบ้านมาโดยตลอด สิ่งแรกที่เขาต้องการทำคือทำให้การแต่งงานระหว่างเขากับเธอถูกต้องตามกฎหมาย

เขาระบุเวลาอย่างชัดเจน “พรุ่งนี้เช้าผมต้องเข้าไปที่โรงงานเพื่อประชุม แล้วจะไปหาผู้นำเพื่อขอเอกสารรับรอง ทุกอย่างน่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในวันมะรืนนี้”

หลินเซี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กลัวว่าค่ำคืนยาวนานอาจทำให้ฝันร้าย ดังนั้นจึงพยักหน้าโดยดี “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นรอพวกเราไปจดทะเบียนกันในวันมะรืน แล้วค่อยเปิดร้านตัดผมอย่างเป็นทางการ”

“ไม่กำหนดฤกษ์งามยามดีหน่อยเหรอ?” เฉินเจียเหอถามด้วยรอยยิ้ม

“อย่าจู้จี้ไปหน่อยเลย สำหรับฉัน ทุกวันถือเป็นวันดีหมดนั่นแหละ”

แค่ได้รับโอกาสให้ได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง ทุกวันล้วนถือเป็นของขวัญจากพระเจ้า

เฉินเจียเหอฟังคำพูดของเธอก็คิดไปว่าอาจเป็นเพราะหลินเซี่ยไม่เคยมีความสุขเลยขณะอยู่ในตระกูลเสิ่น จึงใช้มือซ้ายกอดเธอกระชับแน่นพลางพูดว่า “ได้ เอาอย่างที่คุณว่าแล้วกัน”

เฉินเจียเหอได้รับบาดเจ็บ เขาจึงคุยกับเธอแค่ครู่เดียว ไม่นานก็กอดเธอไว้ก่อนจะผล็อยหลับไป

เขาเหนื่อยมากจริง ๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินเจียเหอต้องออกไปประชุมที่โรงงานเพื่อรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับงานของเขา สมาชิกครอบครัวทั้งสามออกจากบ้านพร้อมกัน หลินเซี่ยกำชับกับเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าวิ่งวุ่นไปรอบ ๆ หลังกลับจากประชุมก็ให้กลับบ้านมานอนพักผ่อนให้เต็มที่ ฝากเซี่ยไห่ซื้ออาหารเข้ามาให้ในตอนเที่ยงก็ได้

เฉินเจียเหอมองไปที่หญิงสาวซึ่งพูดไม่หยุด จากนั้นหัวเราะเบา ๆ “เข้าใจแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นฉันไปแล้วนะคะ ถ้าคุณไม่เชื่อฟังและออกไปไหนมาไหนอีก พรุ่งนี้เราไม่ต้องไปจดทะเบียนกัน”

หู่จือก็สนองคำพูดของเธอเช่นกัน “ใช่แล้ว ไม่ต้องจดทะเบียน”

หลังจากขู่เขาเสร็จ หลินเซี่ยก็พาหู่จือไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล

เฉินเจียเหอยืนนิ่งอยู่ตรงสี่แยก มองตามแผ่นหลังของผู้ใหญ่และเด็กทั้งสองคน ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วเดินไปที่โรงงานอย่างอารมณ์ดี

หลังหลินเซี่ยขู่ว่าถ้าเขามัวเถลไถลจะไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสด้วย เฉินเจียเหอก็กลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายขึ้นมาทันที หลังจากเลิกประชุมก็เป็นเวลาสิบโมงเท่านั้น เขากลับไม่กล้าไปหาเธอที่ร้านตัดผม ทำได้แค่กลับไปนอนที่บ้าน

ทันทีที่เขานั่งลง เซี่ยไห่กับถังจวิ้นเฟิงก็มาหา

ถังจวิ้นเฟิงเอาแต่ทำงานจนไม่สนใจสิ่งอื่น ตอนนี้กลับถือถุงตาข่ายที่มีส้มและแอปเปิลสองสามลูกบรรจุอยู่ไว้ในมือ ดูผิดแปลกไปจากปกติ

เฉินเจียเหอมองเขาแล้วถามเสียงเบา ๆ “ไง เดี๋ยวนี้หัดซื้อของฝากมาเยี่ยมคนอื่นแล้วเหรอ?”

เซี่ยไห่ที่เดินตามมาข้างหลังตอบแทน “ฉันเป็นคนซื้อต่างหาก คิดว่าเขามีเงินจ่ายหรือไง?”

ถังจวิ้นเฟิงวางถุงตาข่ายไว้บนโต๊ะ ไม่รู้สึกอายเมื่อถูกเพื่อนทั้งสองคนประเมินแบบนั้น “ฉันได้เงินเดือนเดือนละน้อยนิด แถมยังต้องเจียดไปเลี้ยงดูคนในครอบครัวอีก นายว่าฉันจะเอาเงินจากไหนมาซื้อของพวกนี้ล่ะ?”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ตรงเข้ามาหา และมองที่เฉินเจียเหอพลางถามด้วยความกังวล

“เหล่าเฉิน เกิดอะไรขึ้น? ทำไมนายได้รับบาดเจ็บ?”

“มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ”

ถังจวิ้นเฟิงดึงเขาให้ยืนขึ้นแล้วขอให้เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว พอเห็นว่าร่างกายอีกฝ่ายยังปกติดีก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อได้รับการยืนยันว่าอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของเขาไม่ได้รุนแรงมาก

จากนั้นเขาก็เข้าครัวไปปอกส้มสำหรับตัวเอง แล้วยกจานออกมากินขณะดูทีวีไปด้วย

เฉินเจียเหอมองดูส้มสองสามผลตรงหน้า เห็นว่าถังจวิ้นเฟิงเลือกลูกที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาพวกมัน ใบหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเข้ม คิดจะตำหนิเขา

แต่เมื่อคิดว่าเงินเดือนของถังจวิ้นเฟิงแทบไม่พอซื้อของฟุ่มเฟือยจริง ๆ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนจากขุ่นเคืองเป็นเห็นใจ

ถังจวิ้นเฟิงนั่งดูทีวี ส่วนเซี่ยไห่นั่งลงตรงข้ามกับเฉินเจียเหอ กำลังแกะส้มให้เขาอย่างระมัดระวัง

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ไอ้น้อง ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ นายกับแม่สาวน้อยคนนั้นไปเจอกันได้ยังไง?”

เฉินเจียเหอยกเปลือกตาขึ้นแล้วมองหน้าเขา “ทำไมถามแบบนั้น?”

“แค่อยากรู้” เซี่ยไห่ตอบ “จวิ้นเฟิงบอกว่าหล่อนเคยเป็นลูกสาวของเสิ่นเถี่ยจวินกับเซี่ยหลาน ตกลงภูมิหลังเดิมของหล่อนเป็นยังไงกันแน่? ฉันรอให้นายกลับมาเพื่อช่วยไขปริศนานี้ให้ฉันโดยเฉพาะเลยนะ”

เฉินเจียเหออธิบาย “เซี่ยเซี่ยเคยเป็นลูกสาวของเสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานจริง แถมยังเป็นหลานสาวของเซี่ยตงด้วย แต่ต่อมาผลกรุ๊ปเลือดบ่งบอกว่าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่เป็นเด็กที่ถูกอุ้มสลับตัวมา”

เซี่ยไห่ตกใจมากจนทิ้งส้มในมือ ผุดลุกขึ้นยืน “นายว่าไงนะ? หลินเซี่ยเคยเป็นหลานสาวของไอ้เวรเซี่ยตงนั่นจริงเหรอ?”

“ใช่”

เซี่ยไห่มองไปที่เฉินเจียเหอด้วยความหวาดระแวง “นายแต่งงานกับหลานสาวของเซี่ยตง งั้นก็เท่ากับว่าตอนนี้นายมีสถานะเป็นหลานเขยของไอ้หมอนั่นน่ะสิ?”

แต่หลังจากเซี่ยไห่พูดจบ เขาก็ตระหนักได้ถึงคำพูดครึ่งหลังของเฉินเจียเหอ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพูดกับตัวเองว่า “ในเมื่อหล่อนเป็นเด็กที่ถูกสลับตัว ก็แปลว่าตอนนี้หล่อนไม่ใช่หลานสาวของเซี่ยตงอีกต่อไป”

เซี่ยไห่กัดฟันกรอดทุกครั้งที่พูดถึงเซี่ยตง เขาไม่เคยเข้าร่วมงานใด ๆ ก็ตามที่เซี่ยตงไปร่วมเลยสักครั้ง ถังจวิ้นเฟิงเปลี่ยนช่องจนเจอเพลงเปิดละครกำลังภายในถูกฉายบนจอทีวี จากนั้นก็มองเซี่ยไห่อย่างนึกสงสัย “เหล่าเซี่ย นายมีความแค้นหรือข้อข้องใจอะไรกับเซี่ยตงกันแน่? ผ่านมาตั้งหลายปี ยังไม่คิดจะคืนดีกันอีกเหรอ?”

เขาคว้าแขนของเซี่ยไห่พลางเขย่าแรง ๆ ดวงตาของเขาเหมือนมนุษย์ป้าช่างนินทา “รีบเล่าให้พวกเราฟังเร็วเข้า”

เฉินเจียเหอก็แสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกัน

เขาเองก็อยากรู้เรื่องนี้มานานแล้ว

ในฐานะหัวหน้า เซี่ยตงแสดงเจตนาว่าอยากเจอเซี่ยไห่หลายต่อหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดเซี่ยไห่ก็ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เขาเห็นเลย

แน่นอนว่าพวกเขาอยากรู้ที่มาที่ไปของความขัดแย้งนี้

ระหว่างพวกเขามีความเกลียดชังหรือความคับข้องใจประการใดกัน?

พอหัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนมาเป็นเรื่องนี้ แถมสหายน้องชายทั้งสองก็กำลังรอคำอธิบายจากเขาอย่างใจจดใจจ่อ เซี่ยไห่ก็ไม่ได้ปิดบังและเริ่มเล่าว่า

“ยี่สิบปีที่แล้ว เซี่ยหลานน้องสาวของเซี่ยตงชอบพี่ชายคนโตของฉัน แต่พี่ใหญ่ของฉันเป็นคนซื่อบื้อ ไม่สนใจผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น ต่อมาพี่ใหญ่ก็เข้าร่วมกับกองทัพ เซี่ยหลานถึงขั้นทะเลาะกับที่บ้านเพราะอยากตามพี่ใหญ่ของฉันเข้าร่วมกับกองทัพด้วยคน

เซี่ยตงเป็นคนหวงน้องสาว เมื่อเซี่ยหลานโวยวายจะเป็นจะตาย เขาก็บุกมาที่บ้านฉัน กล่าวหาว่าพี่ใหญ่ไปสัญญาอะไรสักอย่างกับน้องสาวเขาก่อนที่จะจากไป เพื่อหลอกให้หล่อนเข้าร่วมกองทัพ ตอนนั้นฉันก็เลยทะเลาะกับเขา”

ขณะที่พูดมาถึงประโยคสุดท้าย เขาก็กัดฟันกรอดด้วยแรงอารมณ์อีกรอบ

สิ่งที่เซี่ยไห่รู้สึกกระดากอายเกินกว่าจะเล่า คือไอ้คนสารเลวเซี่ยตงคนนั้นชั่วร้ายมาก ตอนที่ทั้งสองคนทะเลาะกันรุนแรงอยู่นั้น อีกฝ่ายกลับฉุดกางเกงเขาลงดื้อ ๆ ตอนอยู่กลางถนน

ในเวลานั้นเขาโตเป็นวัยรุ่นอายุประมาณสิบห้าย่างสิบหกปีแล้ว

เขาจะไม่มีวันลืมความอัปยศอดสูจากการเปิดเผยบั้นท้ายในที่สาธารณะไปตลอดชีวิต ฉะนั้นจะให้เขาญาติดีกับผู้ชายคนนั้นได้อย่างไร?

“พี่ใหญ่ของนาย? นายหมายถึงวีรบุรุษที่เข้าร่วมกับกองทัพในสงครามและกอบกู้ประเทศชาติเอาไว้ใช่ไหม?” หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ ถังจวิ้นเฟิงก็ผันตัวกลายเป็นแฟนบอยทันที และมองเซี่ยไห่ด้วยดวงตาที่สดใส

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สงสารเถ้าแก่เซี่ยจังค่ะ พี่ก็เคยมีช่วงเวลาน่าอายแบบนี้ด้วย

ไหหม่า(海馬)