ฉินจิ่วเกอตาโต นานเท่าไหร่แล้วที่มันไม่ได้พบกวางโง่แบบนี้ อย่างไรเสียชั่วชีวิตของผู้ฝึกตน จะพบกับพวกมือเติบไร้สมองแบบนี้ช่างหาได้ยาก

“จริงรึ? ” ฉินจิ่วเกอชูสองนิ้วแตะอากาศ

เจ้าเป้ายืดอก ค้นแหวนมิติ “แน่นอน”

ฉินจิ่วเกอแบมือ กระดิกนิ้ว “แน่นะ? ”

“แน่สิ! ”

“มันติดเงินข้าอยู่สิบล้านศิลาวิญญาณระดับกลาง”

ฟิ้วว!

เจ้าเป้าเผ่นหนีไม่เหลียวหลัง

สี่ประมุขปาดเหงื่อ แม่เจ้า อ้าปากคราเดียว จากสิบล้านศิลาวิญญาณระดับต่ำก็กลายเป็นสิบล้านศิลาวิญญาณระดับกลางไปโดยปริยาย

ต่อให้ขายเขาพิรุณเซียนออกไป ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีปัญญาจ่าย

ฉินจิ่วเกอคาบไม้จิ้มฟันไว้ในปาก พิโธ่ แล้วก็มาแสร้งทำเป็นผู้มีอันจะกิน

ครั้งกระโน้นมันออกท่องยุทธภพด้วยจิตใจอันฮึกเหิม นำพาศิษย์น้องชายหญิงสง่าอาจหาญลงจากเขา พอถึงเมืองซวนอู่ ก็มีศิษย์ประตูหายนะมาทำอวดรวยต่อหน้ามันเหมือนกัน

จากนั้น อย่าว่าแต่แหวนมิติของมันเลย แม้แต่ตราสำนักยังถูกฉินจิ่วเกอยกให้แม่ตัวดีติงหลันไปเลยด้วยซ้ำ

ในทางทฤษฎี เมืองเทียนเอิน ไม่อนุญาตให้มีการบินเหินเดินอากาศ

แน่นอน นั่นก็แค่ในทางทฤษฎี

หากเป็นพิสุทธิ์ไพศาล ย่อมต้องไม่กล้า

แต่ถ้าเป็นกลั่นดวงธาตุ นับว่ามีคุณสมบัติพอ

โดยเฉพาะกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ด นั่นเป็นตัวตนระดับอาวุโสผู้กุมอำนาจ อย่าว่าแต่บินเหินบนฟ้า ต่อให้ลงมาคลานอยู่กลางถนนผู้คนก็ยังต้องหลีกทางให้

ทางตะวันออกของเมืองเทียนเอิน สมาพันธ์อู่ซิ่งตกแต่งอาคารรอเอาไว้แล้ว ปูลาดด้วยพื้นไม้แดงมงคลทั้งนอกทั้งใน

เกล็ดหิมะลอยเอื่อย ยิ่งชวนให้ผู้คนรู้สึกอยากเข้ามาหาความอบอุ่นภายในอาคารสีแดงหลังนี้

สีแดงเหมือนเลือดที่ยังหยาดหยดไม่แห้งดี แลดูน่าตกตะลึง

อาคารหลังนี้สูงเก้าชั้น ชั้นที่สูงที่สุดถูกสมาพันธ์อู่ซิ่งปิดผนึกไว้

คาดกันว่านายหญิงน้อยที่ไม่เคยมีใครเห็นตัวน่าจะอยู่ที่ชั้นบนสุด ส่วนบริเวณชั้นแปด เหล่าอาวุโสและสมาชิกของสมาพันธ์กำลังนั่งอยู่ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

ในเมื่อเป็นสมาพันธ์ ก็ต้องเป็นขุมกำลังที่ผนึกรวมกัน โดยมีห้าตระกูลเป็นเสาหลัก การเลือกคู่ครองที่เจ้าสมาพันธ์เป็นคนดำเนินการ ไม่ได้ผ่านการประชุมจากเหล่าอาวุโส เพียงแต่ ภายในห้าตระกูล มีอยู่สามที่ประกาศเห็นพ้อง

ส่วนสองตระกูลที่เหลือ สวีหม่า ต่างก็แสดงความเห็นต่าง แต่แล้วไม่นานมานี้กลับมีอาวุโสบางท่านที่ต้องตายไปอย่างเร้นลับ หาที่มาไม่ได้

เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ตลอดทั้งเมืองเทียนเอิน ตอนนี้ต่างก็มารวมกันอยู่ที่ล่างอาคารกันหมดแล้ว ทุกคนห้อมล้อมกันมาจากทุกทิศทาง ส่งเสียงชุลมุนครึกครื้น พวกที่มีพลังและอำนาจสูงสุดย่อมได้ยืนอยู่หน้าสุด แทบจะติดกับตัวอาคาร

ฉินจิ่วเกอมาพร้อมเจ้าเป้า คนทั้งสองกำลังกินขนมที่หลงเฟิงไปซื้อมาฆ่าเวลากันอยู่

มาพร้อมกับเจ้าเป้าที่จริงก็มีข้อดีอยู่ ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นคนหน้าตาจืดชืดไม่มีอะไรสุดตา จึงเป็นเหมือนไม้ประดับชั้นยอดให้กับฉินจิ่วเกอ หากว่ากันตามพัฒนาการของเรื่อง ฉากต่อไปจะต้องเป็นการโยนด้ายแดง* (เหมือนโยนช่อดอกไม้) และที่นี่ก็จะกลายเป็นชุลมุนวุ่นวายกันทันที

ดังนั้น การพาหลงเฟิงมาด้วยจึงเป็นเรื่องจำเป็น

ส่วนเหล่าผู้สูงวัยฝีมือจัดจ้านของฉินจิ่วเกอ ชายหนุ่มให้พวกมันไปคุ้มกันอยู่ห่างๆ ไม่ต้องมาเข้าร่วมเพื่อรักษาหน้าตา ต้องให้พวกมันมีที่ทางยืนอยู่บนม้าบ้าง แล้วอีกอย่าง งานครั้งนี้ก็เป็นเรื่องของคนหนุ่มคนสาว

สามขุมกำลังที่เหลือ ยามนี้กำลังจับตามองสิ่งปลูกสร้างสีแดงจากอาคารสูงไกลออกไป

ทดลองใช้พลังจิตหยั่งเชิงดู พบว่าถูกระลอกพลังไร้ลักษณ์ขวางกั้นไว้ ทำให้ไม่อาจมองดูเหตุการณ์ด้านใน

“พี่ทรราช ท่านเห็นว่าอย่างไร? ” เจ้าสำนักจิบยกชาขึ้นมาถือ ตาทอดมองบุปผาหิมะตรงหน้าพลางเอ่ยถาม

ในบรรดาหัวหอกทั้งสาม จอมทรราชมีหน้าตาโดดเด่นกว่ามนุษย์เทพทั่วไปอยู่บ้าง

ที่จริงจอมทรราชก็ไม่ได้เป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์ แต่จากศึกแย่งชิงผลอู๋เลี่ยงในคราวก่อน มันถูกอาวุโสใหญ่ทุบตีจนบาดเจ็บร้ายแรงระดับแปด แรงกระแทกจากรองเท้าข้างนั้นส่งตัวมันกระเด็ดขึ้นฟ้าผ่านไปสามวันก็ยังไม่ตกลงมา

ตอนที่ตกลงมา บังเอิญเอาหน้าลง เพราะงั้นจนถึงวันนี้ ใบหน้าของมันก็ยังดูบุบๆ บวมๆ ไม่ค่อยจะสมมาตรสักเท่าใด

เผ่าอสูรมีสายเลือดของบรรพตชนอยู่ในกาย การฝึกมือไม่ล่าช้า จอมทรราชฉีกยิ้มกล่าว “พอใช้ได้ ศิษย์หัวกะทิของพรรคทรราช ก่อนที่จะถึงวันคัดเลือกคู่ครอง ได้บรรลุกลั่นดวงธาตุขั้นสามแล้ว ศิษย์ของพวกเจ้าทั้งสองคงถูกมันสยบไว้แทบเท้า”

ประมุขเดชมารสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ปลอบใจตัวเองว่าต่างกันเพียงหนึ่งดวงธาตุ เพียงใช้ศาสตราวุธ เคล็ดลมปราณหรือทักษะยุทธ์ก็เพียงพอ อีกอย่าง กฎระเบียบการคัดเลือกคู่ครองของสมาพันธ์อู่ซิ่งเป็นเช่นไร ก็ยังไม่แน่ชัด

“มันก็ไม่แน่เสมอไป บางทีการมีระดับวรยุทธสูง ไม่ได้แปลว่าพลังยุทธ์จะเลิศล้ำตามไปด้วย” เจ้าสำนักเองก็ไม่ได้โต้กลับอย่างออกนอกหน้า ในใจไว้อาลัยให้จอมทรราชอยู่สามส่วน

“อ้อ แล้วต้องทำยังไงล่ะ? ” จอมทรราชไม่คล้อยตาม มันเป็นพวกมั่นใจในตัวเอง อีกอย่างเท่าที่ดูจากเด็กรุ่นนี้ จอมทรราชยิ่งมั่นใจว่ามันเหนือกว่า

“ตัวอย่างก็คือผู้เยาว์ที่สามารถชิงผลอู๋เลี่ยงสดมาได้คนนั้น เรื่องที่คนมากมายอยากจะทำ แต่ไม่มีปัญหาทำได้ คนคนนี้กลับทำสำเร็จ” สะเก็ดหิมะปลิวตกลงในแก้ว ก่อนกลายเป็นไอน้ำระเหยไปในอากาศ

นึกถึงวันที่ตนถูกทุบตีต่อหน้าธารกำนัล สีหน้าของจอมทรราชก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูยิ่ง ในแววตาปรากฏประกายฆ่าฟันวาบผ่าน

“น่าขัน นั่นก็แค่เรื่องชั่วครั้งชั่วคราว บางครั้ง ผู้ที่มีกระดูกแข็งกว่า ก็อยู่เหนือพวกจอมปลอม”

ไอ้คนเถื่อน เจ้าสำนักและประมุขเดชมารหัวร่อเบาๆ แต่ไม่ได้พูดออกมา

มนุษย์กับมาร ที่แตกต่างคือหลักการฝึกตน แต่พวกมันต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน

ในแง่จิตใจ ยังคงตั้งแง่รังเกียจเผ่าอสูรมากกว่า ยิ่งเกลียดสีหน้าเย่อหยิ่งเปี่ยมความมั่นใจในเวลานี้ของจอมทรราชเป็นที่สุด

ส่วนที่ว่ากระดูกใครแข็งกว่า วันนั้นที่เจ้าถูกทุบตีจนหมดสารรูป ก็ไม่เห็นจะกระดูกแข็งตรงไหนเลยไม่ใช่รึ

เจ้าสำนักจิบชาไม่ได้เอ่ยอะไร วันนี้ยังมีตัวล่มงานแซ่ฉินนั่นอยู่อีก หวังว่าคงไม่เกิดเรื่องผิดพลาดเหมือนตอนนอกนาวาเรืองปัญญานั่นหรอกนะ

ประมุขจวงพาศิษย์ในตระกูลมาถึงหน้างาน และกำลังสนทนาทักทายกับฉินจิ่วเกอ

ศิษย์รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลจวงเองก็บรรลุชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่ง นามจวงฟาน หน้าตาคล้ายประมุขจวงอยู่ไม่น้อย

ฉินจิ่วเกอชมชอบบุคคลหน้าตาพิมพ์นี้เป็นที่สุด จึงรีบเข้าไปคบหาเป็นสหาย

ส่วนจวงฟานเองก็ถูกประมุขจวงกำชับมาหลายครั้ง จึงปฏิบัติต่อฉินจิ่วเกอด้วยความสุภาพ คนทั้งสี่จับกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ

“พวกที่อยู่ตรงนั้นเป็นใคร? ” ฉินจิ่วเกอชี้ไปด้านหนึ่ง ตรงนั้นมีคนอยู่กันหนาตา ห้อมล้อมผู้เยาว์ชุดดำหน้าตาคมคายเหมือนดาวล้อมเดือน

จวงฟานกล่าวตอบ “ศิษย์เอกพรรคเดชมารรุ่นนี้ นามเจี๋ยชาง ระดับเท่าเทียมกับพี่ใหญ่เจ้า กลั่นดวงธาตุขั้นสอง”

เจ้าเป้าน้อยครั้งจะแสดงท่าทีนบนอบ แต่ยามมองไปที่หลงเฟิงผู้มีสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งกลับแฝงแววนับถืออยู่บ้าง

ภายใต้สภาพอากาศอันหนาวเหน็บ หิมะปลิวว่อน ยิ่งช่วยขับเน้นบุคลิกลักษณะอันเย็นชาของหลงเฟิงให้ดูเคร่งขรึมน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก

“ข้าไม่อาจนับเป็นอะไรได้ คนที่เก่งกว่าข้าก็มีอยู่ไม่น้อย ได้ยินว่าสี่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์ มีศิษย์ที่เก่งกาจอยู่มากมาย หากมีเวลาได้ไปเยี่ยมชมเผ่ามนุษย์ร่วมกับพี่หลงก็คงจะดีไม่น้อย”

กลั่นดวงธาตุ ถือว่ามีทุนรอนพอที่จะเดินทางท่องทวีปได้โดยไม่ถูกฉุดคร่าไปเสียก่อน เจ้าเป้าจึงเชื้อชวนหลงเฟิงให้ไปด้วยกัน

พรรคดาวตก หนึ่งในสี่พรรคใหญ่ มีอัจฉริยะฝีมือฉกาจหลายคนที่สืบสายเลือดจากทั้งเผ่ามนุษย์และอสูร

ฉินจิ่วเกอปัดหิมะตามตัวออก กล่าวอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าใดนัก “มันเป็นของข้า หากต้องการไถ่ตัว จ่ายมาสิบล้านศิลาวิญญาณระดับกลาง”

หลงเฟิงหน้าดำ ริมฝีปากแสยะออก คล้ายตั้งใจจะก่ออาชญากรรมมันตรงนี้

แต่จวงฟานนั้นมองต่างออกไป ไม่ได้ออกมาชมโลกภายนอกเสียนาน อย่าบอกนะว่าแม้แต่ชนชั้นกลั่นดวงธาตุก็ไม่มีมูลค่าแล้ว?

เจ้าเป้ากำหมัด เอ่ยเสียงขื่น “พี่ฉินผู้ใจกว้าง วาจาเป็นเลิศ หากสามารถร่วมเดินทางไปกับท่าน การไปท่องชมเผ่ามนุษย์ย่อมเป็นเรื่องประเสริฐสุด”

“อะไรอีก? ” ฉินจิ่วเกอเกลียดพวกที่ล้มเลิกกลางคันที่สุด “เช่นว่า เก่งกล้าสุดเปรียบ ใครเห็นใครก็รัก เจ้าข้ามจุดสำคัญเหล่านี้ไป ใจกว้างที่ว่าก็แค่สะดวกให้ผู้อื่นลงมือข่มเหง วาจาเป็นเลิศก็ง่ายต่อการอดตาย หาอะไรลงท้องไม่ได้ ต้องมีหน้าตาดุจฟ้าประทานสิจึงจะสำคัญ! ”

“พี่ฉินสูงส่งหาใดเปรียบ” จวงฟานรู้สึกเลื่อมใสจริงๆ ได้ยินคำบอกเล่าจากท่านพ่อมานาน ว่าคนผู้นี้อยากทำอะไรมันก็ทำ คำพูดคำจาสะเปะสะปะหาสาระอะไรไม่ได้

วันนี้ได้มาเห็น ช่างเป็นผู้เจนสนามในหมู่ยอดคนจริงๆ อาศัยขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลเผชิญหน้ากับกลั่นดวงธาตุ กระนั้นยังสามารถหัวร่อต่อกระซิก กวาดตามองออกไป เขาทุกลูกช่างดูเล็กจ้อยในสายตามัน

“หามิได้ๆ ข้าก็แค่เกิดมาหน้าตาดีกว่าชาวบ้านนิดหน่อย สูงกว่าชาวบ้านนิดหน่อย สง่างามกว่าชาวบ้านนิดหน่อย เทียบกับพวกเจ้าแล้วยังดีกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง” ฉินจิ่วเกอโบกมือเป็นนางงามจักรยานไปรอบด้าน

“แค่กๆๆ ” อีกสามคนที่เหลือพากันไอกระด๊อกกระแด๊ก ด้วยกลัวว่าจะถูกบุคคลที่สามมาได้ยินเข้า ชักนำความพิโรธจากปวงประชา

“หลีกทาง หลีกทางให้หมด! ” ท่ามกลางเสียงจอแจของฝูงชน พลันปรากฏระลอกพลังดุดันขุมหนึ่งแหวกผ่านฝูงชนเข้ามา

มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งหลีกทางให้ไม่ทัน เลยถูกกระแทกจนตัวปลิว ร่างกลิ้งโค่โร่ออกไปไกลร้อยเมตร ถึงกับบาดเจ็บไม่น้อย

ที่ชุมนุมอันเนืองแน่นพลันเกิดเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นมา ดูน่าเคว้งคว้าง

ฝูงชนที่กำลังครื้นเครงพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด จับจ้องมองดูระลอกพลังดุดันที่พุ่งเข้ามา กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปขวาง แม้แต่เจี๋ยชางที่เมื่อครู่ยังเสสรวลเฮฮายังต้องหน้าแข็งค้าง ไม่ได้ตวาดว่าผู้มาเช่นกัน

“นั่นใคร? ” พบเห็นสี่คนนั้น นำพาสานุศิษย์น้อยใหญ่ติดตามมา แต่ละคนร่างสูงใหญ่

ประดุจหอคอยเหล็กกล้าอันสูงตระหง่าน รูปร่างกำยำแข็งแรง หากจะบอกว่าเป็นภูเขาไท่ซานในคราบมนุษย์ก็ไม่ผิดไปนัก

รัศมีพลังของพวกมันแปลกพิสดารอยู่บ้าง ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพลวงตา ไม่คล้ายของเผ่ามนุษย์มาร

“เป็นคนของพรรคทรราชเผ่าอสูร ศิษย์หัวกะทิทั้งสี่ของพรรคทรราช พี่ใหญ่ของพวกมันเถี่ยชาน วรยุทธ์กลั่นดวงธาตุขั้นสาม พี่รองพี่สามพี่สี่ของพวกมัน เถี่ยฉุย เถี่ยมู่ และเถี่ยฉือ ล้วนมีวรยุทธ์กลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่ง”

จวงฟานพอเห็นอีกฝ่ายเสด็จมาอย่างเหี้ยมหาญ ก็กลายเป็นลิ้นจุกปากมิอาจพูดจา เจ้าเป้าเลยเป็นฝ่ายอธิบายให้กับฉินจิ่วเกอเหมือนอย่างเคย

ฉินจิ่วเกอหัวร่อเสียงหยัน “คนเถื่อนจะอย่างไรก็คือคนเถื่อน ไม่รู้จักอารยะวัฒนธรรมใดๆ เถี่ยซานเถี่ยซื่ออะไรนั่น (แซ่เถี่ยทั้งสี่) ใครไม่รู้คงนึกว่าพวกมันเกิดมาไม่มีเหล็กใช้ (เถี่ย=เหล็ก) ตระกูลพวกมันใช่เป็นคนงานทำเหมืองมาสี่รุ่นหรือไม่? ”

“พี่ฉินท่านต้องลดเสียงลงหน่อยนะ พวกมันสี่คนระดับวรยุทธ์มิใช่ชั่ว เกิดมีเรื่องกันขึ้นมา คนที่จะเสียเปรียบก็คือพวกเรา”

เขาพิรุณเซียนและค่ายพรรคเดชมาร ใช่ว่าจะไม่มีศิษย์ที่บรรลุกลั่นดวงธาตุ

เพียงแต่ในช่วงชั้นเดียวกัน หากมนุษย์คิดจะปะทะกับเผ่าอสูร เป็นเรื่องยากที่จะชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ

หากไม่ใช้ในกรณีพิเศษบางกรณี ทั้งสองตระกูลย่อมไม่คิดไปล่วงเกินพรรคทรราชง่ายๆ

“ศิษย์หัวกะทิพรรคทรราชอันใด ข้าเห็นแต่พวกโง่เง่าเต่าตุ่นสี่ตัว ดูลูกตาพวกมันสิ เทียบกับเมล็ดถั่วยังด้อยคุณภาพกว่า” คนอื่นอาจกลัว แต่ฉินจิ่วเกอนั้นไม่กลัว ตนเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของพระเอกเชียวนะ

แม้แต่ตัวมันเองที่วันนี้อุตส่าห์ได้ออกมาเปิดตัวสู่สาธารณะ นอกจากจะแต่งตัวโก้หรูกว่าเดิมหน่อยแล้ว ยังไม่ได้ยกธงประกาศศักดาว่าเป็นบิดาลำดับหนึ่งแห่งใต้หล้าเลย

แล้วปลาซิวปลาสร้อยที่จัดอยู่ในประเภทตัวประกอบของตัวประกอบอีกทีกลับเสนอหน้าออกมาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมอยู่ตรงนี้ แล้วนี่จะต่างอะไรกับการตบหน้าพระเอกฉาดใหญ่อีกเล่า

เจ้ากล้าไม่ไว้หน้าพระเอกใช่ไหม ข้าในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของมัน ย่อมต้องยืนอยู่ข้างฝ่ายธรรมะ ชี้นิ้ววิจารณ์พวกมันในนามแห่งความยุติธรรม!

“ไอ้หนู เจ้าว่าอะไรนะ? ” กลั่นดวงธาตุประสาทรับรู้ดีเยี่ยม แถมฉินจิ่วเกอก็ไม่ได้คิดจะปกปิด จึงถูกเถี่ยฉุยได้ยินเข้า

ฉินจิ่วเกอเอ่ยย้ำเสียงดัง “ไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่น ทำไม ไม่เห็นด้วยกับข้ารึ? ”

“บัดซบ! ” เถี่ยฉุยและพรรคพวกเลือดขึ้นหน้า ในเมืองเทียนเอิน ยามได้ยินชื่อพรรคทรราชของพวกมัน มีใครบ้างไม่กลัว

เถี่ยซานผู้มีวรยุทธ์สูงสุดปรามศิษย์น้องทั้งสามของมันไว้ “อย่าเพิ่งวู่วาม วันนี้พวกเรามาด้วยเรื่องสำคัญ อย่าเพิ่งไปสนใจมันจะดีกว่า ไม่งั้นอาจได้เสื่อมเสียหน้าต่อหน้านายหญิงน้อยของสมาพันธ์อู่ซิ่ง พวกเจ้าต้องทำตัวมีมารยาทเข้าไว้”

คนอื่นอาจกลัวพรรคทรราช แต่ฉินจิ่วเกอย่อมไม่กลัว

แถมอีกฝ่ายยังเย่อหยิ่งจองหอง เป็นแค่สัตว์อสูรกล้ามาทำตัวห้าวเป้ง จึงต้องจัดการให้หลาบจำ