จอมทรราชที่คิดว่าตัวเองแน่กว่าใครนั่น วันนั้นยังไม่ใช่ถูกอาวุโสใหญ่ทุบตีจนแทบปางตายเลยหรอกหรือ แถมยังลอยอยู่บนฟ้าตั้งสามวันสามคืน กว่าจะร่วงตกลงมาเหมือนนกปีกหัก

“ไว้หนวดไว้เครา แต่งตัวเทอะทะกันเสียขนาดนี้ ยังมีหน้ามาอวดอ้างทำตัวมีมารยาท? ” หากพูดกันเรื่องการตีฝีปาก ฉินจิ่วเกอมั่นใจว่ามันคือผู้ไร้เทียมทาน อีกอย่าง มันก็ไม่มีความรู้สึกดีๆ กับพรรคทรราชนี่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงสามารถก่นด่าอย่างไรก็ได้

เถี่ยซานพยายามสะกดโทสะเอาไว้ “พูดมาครึ่งค่อนวัน จะบอกได้หรือยังว่าเจ้าเป็นใคร ไอ้หนู? ”

หากเป็นพวกไม่มีปูมหลังละก็ รอเสร็จงานเมื่อไหร่ ค่อยส่งคนไปจัดการไอ้เด็กนี่ เอาให้ร่ำไห้หาบิดาไปเลย

ฉินจิ่วเกอแม้ประคองมือขึ้นมา แต่ท่าทางกลับเย่อหยิ่งสุดสูง “ถามได้ดี เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนคนปัจจุบัน ก็คือท่านลุงข้า ประมุขจวงจากตระกูลจวง ก็คือพี่น้องร่วมสาบานของข้า พูดกันอย่างนี้ดีกว่า ข้าก็คือบุคคลลำดับสองแห่งเมืองเทียนเอินนี้”

พรู่ด!

ไกลออกไป สองหน่อที่กำลังนั่งจิบชารับชมความสนุกอยู่นั้น เป็นต้องพ่นชาออกมาเหมือนปากน้ำพุ ชารสเลิศสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ แทบเปิดศึกกับพรรคทรราชและค่ายพรรคเดชมารที่เนื้อตัวเปียกชุ่มมันตรงนั้น

คนอื่นอาจกลัวพรรคทรราช แต่เขาพิรุณเซียนและตระกูลจวงนั้นไม่กลัว แต่ไม่กลัวก็ส่วนไม่กลัว เป็นเจ้าก่อเรื่องขึ้นเองแท้ๆ ไยต้องลากพวกเราไปร่วมทุกข์ร่วมโศกกับเจ้าด้วย?

“ที่แท้ก็เป็นพวกเกาะคนอื่นเจริญ ถึงได้มีฝีปากเป็นเลิศขนาดนี้ เพียงแต่ไอ้หนูพิสุทธิ์ไพศาลอย่างเจ้า ปู่น้อยคนนี้ลำบากเพียงดีดนิ้วเบาๆ เจ้าก็แหลกเละคานิ้วข้าไปแล้ว” เถี่ยซานผู้มีใบหน้าหยาบกร้านเอ่ยออกมา

“สัตว์อสูรสมองด้อยพัฒนาสี่ตัว จะเสแสร้งทำเป็นผู้เป็นคนอยู่ทำไม หรือพวกเจ้าก็นับเป็นสุภาพชนกับเขาด้วย? ” ฉินจิ่วเกอเต้นผาง ตอนที่มันล้างบางกลั่นดวงธาตุ เจ้าสี่ตัวนี่คงกำลังนอนอุตุแทะเปลือกไม้เล่นอยู่เลยกระมัง

“พัฒนากว่าเจ้าก็แล้วกัน! ”

คนทั้งสี่ชี้นิ้วด่าฉินจิ่วเกอราวกับนัดกันไว้ รัศมีพลังแผ่พุ่ง

เจ้าเป้าผู้ไม่ยอมน้อยหน้า จึงงัดนิ้วสวนกลับไปทีหนึ่ง จวงฟานพอได้เห็น ก็เจริญรอยตามพร้อมหลงเฟิง สี่ต่อสี่ ยุติธรรมดี

ความขัดแย้งตรงหน้า ทุกคนล้วนประจักษ์แก่สายตา แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องใส่ตัว ผู้ฝึกยุทธ์อิสระและพวกตระกูลเล็กๆ ในละแวกใกล้เคียงต่างก็ไม่ขอเรียกเลือดกันในเวลานี้ พากันถอยกรูดห่างจากที่เกิดเหตุ

เจี๋ยชางจากค่ายพรรคเดชมารผู้ได้รับความนิยม พอได้เห็นความขัดแย้งระหว่างเขาพิรุณเซียนและพรรคทรราชเข้า มันก็ดีดนิ้วคราหนึ่ง แล้วเดินเข้ามาอยู่ข้างหลังจวงฟาน “พวกเราเผ่ามนุษย์ ย่อมมีประเพณีวัฒนธรรมของพวกเรา สัตว์อสูรอย่างพวกเจ้าย่อมไม่อาจทำความเข้าใจได้”

“ใช่เลย รู้แล้วก็รีบไสหัวกลับไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เผ่าอสูรอย่างพวกเจ้าจะเข้าร่วมได้” เจ้าเป้าเห็นด้วยอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

คนเกิดจากบุพการีที่เป็นมนุษย์ อสูรก็เกิดจากบุพการีที่เป็นอสูร ต่างเผ่าพันธุ์ก็ต่างชาติกำเนิด เพราะงั้นทางใครทางมันย่อมดีกว่า

ประโยคนี้ เรียกเสียงเห็นพ้องจากฝูงชนรอบด้านเสียเป็นส่วนใหญ่ เมืองเทียนเอิน เดิมก็เป็นผลงานของเผ่ามนุษย์อยู่แล้ว ที่เผ่าอสูรสอดมือเข้ามามีส่วนร่วมนับว่ามีอยู่เพียงน้อยนิด นี่เองก็เป็นสาเหตุที่พรรคทรราชทำตัวโอหังขนาดนี้ เพราะเผ่าอสูรของพวกมันล้วนค่อนไปทางถูกขับไล่ไสส่งเสียมากกว่า

มนุษย์ สังขารของมนุษย์ คือตัวตนที่ใกล้ชิดกับมรรคาฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว

ดั่งที่ว่าสามพรสวรรค์ฟ้าดินมนุษย์ สามประกายเดือนดาวตะวัน

ตอนที่บรรพชนวิญญาณจุติลงสู่มหาทวีปฉงหลิงเมื่อล้านปีก่อน ท่านได้ชี้นำเหล่าชนพื้นเมืองผู้โง่เขลาให้รู้จักการฝึกปรือไอวิญญาณ ไขว่คว้าธรรมชาติ ทวีปฉงหลิงจึงเริ่มมีผู้ฝึกตนและประเพณีวัฒนธรรมตั้งแต่เมื่อล้านปีก่อน

ตามคำบอกเล่าของบรรพชนวิญญาณ เพราะความสมดุลในห้วงโกลาหลแตกแยก จึงมีผานกู่เบิกนภาฟ้าดิน หนี่ฮวาให้กำเนิดสรรพชีวิต หนึ่งในนั้น มนุษย์ ก็คือเผ่าพันธุ์ที่หนี่หวาเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นกับมือ คือเผ่าพันธ์ุหนึ่งเดียวหลังยุคเซียนเทียน (ก่อนฟ้า) ที่มีคุณสมบัติมองหามรรคาฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้

ห้าอวัยวะภายในของมนุษย์อันได้แก่ หัวใจ ตับ ม้าม ปอดและไตล้วนสอดคล้องกับทองไม้น้ำไฟดินอันเป็นธาตุทั้งห้า การแบ่งแยกหญิงชาย ล้วนถ่ายทอดมาจากไอพลังหยินหยางในจักรภพ แขนขาทั้งสี่ สอดคล้องกับทิศสี่ทิศในโลก กึ่งกลางร่างท่อนบนสถิตด้วยตันเถียน ตอบสนองส่งรับกับความจริงแท้แห่งเซียนเทียน (ก่อนฟ้า) จงเทียน (กลางฟ้า) และโฮ่วเทียน (หลังฟ้า)

ด้วยเหตุนี้สังขารมนุษย์จึงสอดประสานกับธาตุทั้งห้า ผนึกหยินหยาง เปิดสร้างเปลี่ยนแปลง สะกดจักรวาล ผ่านสี่ทิศ หมุนวัฏฏะ ขับขานธรรมชาติ มหามรรคาวิญญาณ

สังขารของมนุษย์จึงเป็นร่างในอุดมคติของการฝึกตน เป็นภาชนะที่หยั่งรู้ต่อมหาวิถีธรรมชาติได้ง่ายที่สุด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเผ่าใด ทันทีที่สามารถจำแลงกายได้ ย่อมเปลี่ยนมาอยู่ในรูปลักษณ์ของเผ่ามนุษย์สิ้น ซึ่งง่ายต่อการหยั่งรู้ในมรรคาการฝึกตน

พลังฝีมือของมนุษย์อาจไม่ได้แกร่งกร้าวที่สุด ดวงจิตของมนุษย์อาจไม่ได้สะอาดที่สุด แต่หลังจากยุคเซียนเทียน พวกที่มีพรสวรรค์และศักยภาพมากที่สุดก็คือมนุษย์ และนี่เองก็อาจเป็นเจตนารมณ์ที่แท้จริงของการเสด็จลงสู่มหาทวีปของบรรพชนวิญญาณ

สมาพันธ์อู่ซิ่งยังไม่ทันเริ่มพิธี ใต้อาคาร กลิ่นดินปืนก็คละคลุ้งเต็มพื้นที่ ทั้งยังทำท่าจะระเบิดปะทุออกมาได้ทุกขณะ มนุษย์และอสูรไม่ลงรอยกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบขี้หน้ากันและกัน คล้ายกำลังจะเกิดศึกขึ้นได้ทุกเมื่อ

ในอาคาร หลังม่านแดงที่เรียงร้อยกันประดุจม่านน้ำตก มีนัยน์ตาคู่งามกำลังทอดมองภาพเหตุการณ์ด้านล่างอย่างให้ความสนใจ “น่าสนุกไม่เลว ข้ายังไม่ทันเริ่มอุบายเล็กๆ พวกมันก็ขัดแข้งขัดขากันเองเสียแล้ว แต่สามตระกูลก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง คงต้องเรียกให้ศิษย์ของมันหยุดวุ่นวายแล้ว”

จริงดั่งคาด ขณะที่สองฝ่ายกำลังจะปะทะกันนั้น สามหัวหอกก็ส่งสัญญาณเสียงมาหาศิษย์ของตน กำชับให้พวกมันสะกดโทสะเอาไว้ก่อน เป้าหมายของพวกมันคราวนี้คือการฮุบกลืนสมาพันธ์อู่ซิ่ง แต่นี่ยังไม่ทันเริ่มแผน อาจได้บาดเจ็บล้มตายกันเองเสียก่อน

จอมทรราชมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์ที่สวมหน้ากากเงินปิดหน้าปิดตาคนนั้น “ทำไมไอ้เด็กนี่ถึงได้ดูคุ้นตาชอบกล”

เจ้าสำนักลองคาดเดา “บางทีเจ้ากับมันอาจมีชะตาต้องกัน”

“ไร้สาระ พิสุทธิ์ไพศาลกระจ้อยร่อยอย่างมันหรือจะคู่ควร” จอมทรราชรู้สึกไม่สบอารมณ์ คำพูดจึงเจ็บแสบไม่น้อย

เจ้าสำนักเพิกเฉยอีกฝ่าย ในใจขบคิด เด็กนี่เจ้าย่อมต้องรู้จักอยู่แล้ว อีกอย่างอาวุโสของมัน ต่อให้ใช้เวลาทั้งชาติเจ้าก็คงไม่มีวันลืม

“น่าขัน มนุษย์อย่างพวกเจ้ามีดีอะไร นอกจากจะขัดแย้งกันเอง ละโมบไม่รู้จักพอ แถมยังกล้าอวดอ้างทำตัวเป็นผู้ดีอีกต่างหาก” ในเมื่อไม่อาจลงมือ ศิษย์พี่น้องตระกูลเถี่ยจึงหันมาปะทะคารมแทน

ทุกคนเฝ้ารอปฏิกิริยาจากฉินจิ่วเกอ เรื่องนี้มันเป็นคนต้นเรื่อง ดังนั้นทิศทางลมจะพัดไปในทางใด ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันจะตอบสนองอย่างไร

เพราะไม่อาจรบราต่อยตี ผู้คนจึงกล้ามามุงดูกันมากขึ้น คนมากหน้าหลายตาหลั่งไหลกันเข้ามา แต่ละคนมีบรรยากาศแตกต่างกันไป ทำตัวเป็นผู้รับชมที่ดี

เจ้าเป้าเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาแล้ว จึงเข้ามาดึงชายเสื้อฉินจิ่วเกอแล้วกระซิบว่า “พี่ฉิน ท่านช่วยพูดอะไรหน่อยเถอะ”

ฉินจิ่วเกอที่ไม่รู้สติหลุดลอยไปถึงไหนพลันได้สติกลับมา แล้วก็ต้องสะดุ้งกับจำนวนฝูงชนที่มามุงดู มันรีบวางท่ายกมือเท้าสะเอว “บอกต่อเจ้า ข้าคนนี้เป็นพวกหัวรุนแรง คราวก่อนมีกลั่นดวงธาตุสิบคนมายั่วยุข้า ข้าก็เลยร่ายคาถาใส่พวกมันไปสองบท ขู่ขวัญจนพวกมันสลายกลายเป็นควันไปเลย”

“คุยโวโอ้อวด หน้าไม่อายแท้” เถี่ยฉือเบะปากหนาเตอะเป็นไส้กรอกของมัน ที่แท้พวกมนุษย์ก็มีสวะหน้าไม่อายเช่นนี้อยู่ด้วย หนังหน้าหนาทนดีจริงๆ

ทุกคนเองก็รู้สึกขายหน้าตามไปด้วย ไอ้เด็กนี่ ถ้าอยากจะอวด ก็อวดให้มันมีชั้นเชิงหน่อยซีวะ

“ไร้ยางอาย นี่จึงจะเรียกไร้ยางอายโดยแท้” มีคนกระซิบกระซาบในหมู่ชน

จวงฟานและเจ้าเป้าค่อยๆ ปลีกตัวออกห่างฉินจิ่วเกออย่างเงียบเชียบ เจ้าเด็กนี่แม้วรยุทธ์ไม่สูงส่ง แต่ความไร้ยางอายกลับสูงส่งล้นฟ้า ถึงกับอวดอ้างว่ากลั่นดวงธาตุนับสิบถูกตนเองขู่ขวัญจนตาย เจ้าคิดว่ากลั่นดวงธาตุเป็นเหมือนหัวผักกาดตามรายทางหรือยังไง

แค่ในใจกลางทวีป กลั่นดวงธาตุก็มีอยู่ไม่มากแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่ทุรกันดารห่างไกลพวกนั้น ภายในละแวกหมื่นๆ ลี้ ยังมีแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น

บนอาคาร เงาร่างสวยสง่าสายหนึ่งกำลังยืนรับชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นอยู่หลังม่านแดง “ไม่ผิดจากที่คาด หากสถานการณ์ไม่รุนแรงพอ พวกกอดสมบัติตระกูลลงโลงไปด้วยพวกนี้ ก็ไม่มีทางสู้กันจนตัวตายเด็ดขาด”

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ช่างปราดเปรื่อง แต่ผู้ฝึกตนที่ทำตัวถูกต้องเที่ยงธรรมพวกนี้ ที่จริงกลับชั่วช้าเห็นแก่ตัวยิ่ง หากต้องการยุแยงให้พวกมันแตกคอกัน ที่จริงกลับไม่ยาก” เจ้าสำนักยืนอยู่หน้าม่าน ปิดตา ทำเหมือนกับว่าผู้ฝึกตนที่มันพูดถึงนั้นไม่เกี่ยวอันใดกับตัวเอง

“จริงอยู่ แต่ข้าไม่มีเวลามากพอให้พวกมันค่อยๆ ตายตกกันไป แต่ต้องรวบหัวรวบหางในคราวเดียว ในเมื่อพวกมันไม่ได้ดั่งใจข้า เช่นนั้น ก็ให้ข้าเพิ่มอรรถรสลงไปหน่อยแล้วกัน”

สุ้มเสียงอ่อนละมุนจางหาย จากนั้นก็มีปรากฏอยู่บนยอดอาคาร ทันใดนั้น โลกหล้าอันเหน็บหนาวในบริเวณนั้นก็ตกเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว

สตรีงาม กายาผ่องแพ้ว สะคราญเหนือโลกา คิ้วสวยตางาม เร่าร้อนไร้เดียงสาผสานปนเป เป็นความงามอันล่มเมือง ทันทีที่ปรากฏ หิมะก็หยุดตก เสียงลมพลันหยุดนิ่ง ราวกับว่าแม้แต่สภาพอากาศอันโหดร้ายนี้ ยังกลัวที่จะสร้างความรบกวนให้แก่โฉมงามนางนี้

สายลมที่คมกริบดั่งใบมีดกลับกลายเป็นนิ่มนวล โลกหล้าที่เคยขาวโพลนพลันเกิดสีสันขึ้นมาเพียงเพราะความงามของนาง

เสียงเครื่องดีดผีผากังวานไกล คล้ายสามารถบั่นทอนจิตใจ ทั้งราวกับเปลวไฟคลอเคล้า เหมือนเกล็ดหิมะลอยล่อง ฝูงชนด้านล่างพลันตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครที่ไม่เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

ความงามของสตรีนางนี้ยากพานพบ ทั้งเรือนร่างทรงเสน่ห์ และระดับวรยุทธ์เก้าดวงธาตุสูงสุดของนาง ต่างก็ชวนให้ผู้พบเห็นต้องใจสั่นสะท้าน

เจ้าสำนักเป็นคนแรกที่คอหดอย่างขยาดกลัว เพราะมันนึกไปถึงแม่ยอดยาหยีที่บ้าน คิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง แล้วจิตใจก็เปลี่ยนเป็นสงบ

จากนั้น เจ้าสำนักจอมทรราชและคนอื่นๆ ต่างก็ทยอยได้สติกลับมา เพียงแต่เสียงดีดของผีผาอันเลื่อนลอยดุจเสียงสวรรค์ นุ่มนวลดั่งวารีอาบไล้ ทำให้ผู้คนต้องปล่อยตัวปล่อยใจไปตามเสียงเพลงอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกปลอดโปร่งสบายใจสุดเปรียบ

พวกที่ชมดูเหตุการณ์ไกลออกไป คือขุมกำลังรบสูงสุดในเมืองเทียนเอิน ต่างก็เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดขึ้นไป พวกมันจึงสามารถเรียกสติกลับมาได้ทันท่วงที ต่างจากอัจฉริยะรุ่นเยาว์ใต้อาคารพวกนั้นที่กำลังยืนน้ำลายหกอย่างห้ามไม่อยู่

สี่พี่น้องตระกูลเถี่ยยามพบเห็นสตรีนางนั้น นัยน์ตาถั่วเขียวของพวกมันพลันต้องขยายเท่าเม็ดลูกเกด ส่วนเจ้าเป้าและจวงฟานนั้น พวกมันต่างก็ต้องยกมือห้ามเลือดกำเดา นัยน์ตาทอประกายจ้าจับจ้องโดยไม่กะพริบ

คนสวย เพลงก็งาม สองเท้าเปลือยเปล่าราวสวรรค์ปั้นแต่งเหยียบอยู่บนหลังคาที่มีหิมะกองสุม ความขาวไร้มลทินของหิมะบนฟากฟ้ายังไม่สง่างามเทียบเท่าฝ่าเท้าคู่นั้นของนาง ดูแล้วยังสกปรกยิ่งกว่า

ฉินจิ่วเกอละสายตาจากนางด้วยความยากลำบาก ประสบการณ์สามชาติภพบอกต่อมันว่า ของยิ่งงาม ยิ่งอันตรายถึงชีวิต เหมือนกับความงามของดอกพลับพลึงแดงอีกฟากฝั่งในตอนนั้น ยิ่งงดงามน่าทะนุถนอมเพียงไร ยิ่งต้องกลายเป็นศพนอนทอดกายอย่างน่าอนาถมากเท่านั้น

ดังนั้นฉินจิ่วเกอจึงหันเหสายตาไปทางสี่พี่น้องตระกูลเถี่ยแทน ไอหยา ความอัปลักษณ์คูณสี่ของพวกมันช่วยผู้คนตัดขาดจากความลุ่มหลงในความงามล่มโลกาได้อย่างชะงักเลยทีเดียว

ทันใดนั้น ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกเหมือนมีคนเอาน้ำเย็นๆ มาราดรดใส่กลางศีรษะ พลันได้สติคืนกลับมาทันที พอหันไปมองนางอสูรลวงวิญญาณนั้นอีกครั้ง ความเร่าร้อนในใจก็มอดดับ จิตใจกลับคืนสู่ความเป็นปกติ

ตอนแรกยังนึกว่าตัวเองได้สติก่อนใครเพื่อน แต่พอหันไปมองหลงเฟิงด้านหลัง กลับพบว่าแววตาของอีกฝ่ายสงบราบเรียบดั่งผิวกระจก ภายใต้หิมะเวียนว่อน ยิ่งขับเน้นความกระจ่างใสไร้มลทินอย่างแท้จริง

ฉินจิ่วเกอแปลกใจ แล้วอยู่ๆ ก็เกิดความคิดอยากจะสาดน้ำกรดใส่อีกฝ่ายสักที เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ทำไมเจ้าถึงไม่มีการตอบสนองอะไรเลย? ”

แววตาชั่วร้ายปราศจากเจตนาดี ฉินจิ่วเกอเหลือบมองไปยังท่อนล่างของหลงเฟิง ในใจต้องลอบเศร้าโศกเสียใจแทนมัน ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง

หลงเฟิงสะกดความคิดฆ่าไอ้เบื๊อกนี่ให้ตายลงไป กล่าวตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “สตรีนางนี้สวยนักหรือ? ”

“ไม่ใช่สวย” ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า “แต่งามต่างหาก งามชนิดที่ใจต้องเต้นไม่เป็นส่ำ หากนางไปเกิดในยุคราชวงศ์สักยุค ความงามของนางย่อมมัดใจจักรพรรดิได้อยู่หมัด นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรอะไรเทือกนั้น”

ช่างเถอะ ฉินจิ่วเกอท่องสองประโยคนี้ในใจ: “ไป๋หลี่ชิงเฉิง ไป๋หลี่ชิงเฉิง (ร้อยลี้งามล่มเมือง) ไม่ใช่แค่ร้อยลี้ แม้แต่หมื่นลี้แสนลี้ก็ยังไม่พอเลยต่างหาก”

“แต่ข้าไม่รู้สึกว่านางงามตรงไหน” หลงเฟิงผู้มีรสนิยมไม่เหมือนใครกล่าวเอาไว้

ฉินจิ่วเกอตากว้างโต แทบจะจับอีกฝ่ายกลืนลงท้องไป “เจ้าทำหน้าทำตาอะไรของเจ้า ความงามระดับนี้ แม้แต่เมฆยังลืมความสง่า แม้แต่เขายังลืมความสูง แม้แต่น้ำยังลืมความกระจ่าง เป็นโฉมงามที่แท้จริง”