บทที่ 159 สั่งสอนจี้หมิงซู!

พ่อบ้านจูที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางดุดัน แต่เมื่อเห็นจี้จือฮวนก็ราวกับดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วงที่บานสะพรั่งเต็มที่!

“ท่านหมอเทวดา เป็นเพราะพวกเราเสียงดังจึงรบกวนท่านใช่หรือไม่ แต่ท่านวางใจได้ ข้าจะไล่พวกคนสกปรกเหล่านี้ไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”

ดวงตาที่เย็นชาของจี้จือฮวนกวาดมองไปทางประตู ลู่อวิ๋นเซียงถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะพึมพำออกมา “เป็นจี้จือฮวน!”

ต่อให้นางมองเห็นไม่ชัด แต่ดูจากท่าทางของพ่อบ้านจูก็รู้ว่าต้องเป็นจี้จือฮวนอย่างแน่นอน!

จี้หมิงซูคิดว่าตัวเองฟังผิดไป จึงหันไปถามอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าบอกว่าใครนะ?”

จี้จือฮวน?! ผู้หญิงที่มีท่าทางสูงส่งผู้นี้คือจี้จือฮวน! คิดว่าหลอกผีหรืออย่างไรกัน

จี้หมิงซูไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า คนผู้นี้ไม่มีทางเป็นจี้จือฮวนอย่างเด็ดขาด รอยพิษบนใบหน้าของนางเล่า? รอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางเล่า? อีกอย่างนางควรผมเผ้ายุ่งเหยิง ตัวเหม็น เอาแต่ก้มหน้าหลังโก่งไม่กล้ามองสบตาผู้คนไม่ใช่หรือ?

ใบหน้างดงามและเย็นชา รวมถึงท่าทางมั่นใจแต่ไม่แข็งกร้าว และไม่ถ่อมตนจนเกินไปเช่นนี้ พวกเขากลับบอกว่านางคือจี้จือฮวนอย่างนั้นหรือ?

เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เหลวไหล ช่างเหลวไหลสิ้นดี!

ลู่อวิ๋นเซียงมองจี้หมิงซูที่กำลังบีบข้อมือตนเอง จึงดึงแขนออกอย่างหมดความอดทน “เจ้าอย่าบีบข้า ข้าเจ็บ!”

จี้หมิงซูปล่อยมือด้วยความงุนงง ทันใดนั้นนางก็เชื่อในสิ่งที่สาวใช้ผู้นั้นบอกแล้ว จี้จือฮวนที่เป็นเช่นนี้ต่างหากที่เป็นฆาตรกรตัวจริงที่ฆ่าแม่นมฟาง

จี้จือฮวนมองไปยังพ่อบ้านจูที่จู่ ๆ ก็โผล่มา ก่อนจะพยักหน้าให้แล้วเอ่ยขึ้น “ลำบากท่านแล้ว”

พูดถึงการถกเถียงนางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ เช่นนั้นเหตุใดนางต้องลงไปแปดเปื้อนโคลนด้วยเล่า

นางกำลังเตรียมที่จะกลับขึ้นไปชั้นบน ความไม่พอใจและความตื่นตกใจกลับทำให้จี้หมิงซูอดไม่ได้ที่จะเรียกจี้จือฮวนเอาไว้

“พี่หญิง ใช่ท่านหรือไม่?”

คำว่าพี่หญิงทำให้ทุกคนต่างก็นิ่งงัน เรียกใครว่าพี่หญิงกัน?

จี้จือฮวนชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะหันไปมองจี้หมิงซู คราวนี้ในที่สุดจี้จือฮวนก็จำนางได้แล้ว

อ้อ สวมผ้าปิดหน้า มิน่าเล่าเมื่อครู่ก็รู้สึกว่าดวงตาของผู้หญิงคนนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

จี้หมิงซูใจหายวาบ เป็นจี้จือฮวนจริงหรือนี่ ผู้หญิงคนนี้ถูกจับยัดใส่เกี้ยวแต่งกับคนใกล้ตายอย่างเผยยวนไปแล้วไม่ใช่หรือ?

นางควรจะตายอยู่ในป่าที่ทุรกันดารไปแล้วนี่นา และได้ยินมาว่าเผยยวนก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้วไม่ใช่หรือ?

นางไปเรียนวิชาแพทย์ที่ใดมา? มิหนำซ้ำยังกล้าแอบอ้างเป็นหมอเทวดาอีก

นอกจากจี้หมิงซูที่ประหลาดใจอย่างมากแล้ว แม้แต่คนรับใช้ของจวนจี้กั๋วกงที่นางพามาต่างก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

ผู้หญิงที่งดงามเช่นนี้คือคุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรือ?

คุณหนูใหญ่แต่งออกไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? และทั้ง ๆ ที่ทุกคนต่างก็รังแกนาง เหตุใดนางถึงไม่กลัวพวกเขาอีกแล้ว?

“พี่หญิง ท่านคือหมอเทวดาของหย่งอันถังหรือ? ท่านไม่ยอมพบพวกเราเพราะไม่อยากเจอพวกเราอย่างนั้นหรือ?” จี้หมิงซูก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยราวกับจะร้องไห้ออกมา “พี่หญิง ข้าคิดถึงท่านมากนะเจ้าคะ เหตุใดท่านถึงเปลี่ยนไป แม้แต่ข้าก็จำไม่ได้เล่าเจ้าคะ”

จี้จือฮวนมองผ่านจี้หมิงซูด้วยท่าทางไม่แยแส จากนั้นมุมปากก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ที่จี้หมิงซูมองไม่ออก ก่อนจะค่อย ๆ หมุนกายกลับมา

ในเมื่อหมอเทวดาก็คือจี้จือฮวน คนของจวนจี้กั๋วกงก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ยังมีคนไปยืมเก้าอี้จากร้านข้าง ๆ มาให้จี้หมิงซูนั่งอีกด้วย

หลังจากที่จี้หมิงซูนั่งลงอย่างสง่างาม สายตาของนางก็มองไปที่ป้ายไม้นั่นอีกครั้ง แล้วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “พี่หญิง พวกเราทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ในเมื่อท่านเรียนวิชาแพทย์มา ทั้งยังมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง เหตุใดถึงได้ลืมท่านพ่อและท่านย่าที่บ้านเล่าเจ้าคะ? พวกเขาต่างก็คิดถึงท่านมากเช่นกันนะเจ้าคะ”

พ่อบ้านจูเห็นสตรีผู้นี้ก็รู้สึกขยะแขยง คำพูดนี้แม้จะพูดตรง ๆ แต่กลับแฝงความนัยเอาไว้ว่าหมอเทวดาของพวกเขาเนรคุณอย่างนั้นหรือ?

ทว่าในที่สุดพ่อบ้านจูก็นึกออกแล้ว ว่าเหตุใดชื่อจี้จือฮวนถึงได้คุ้นหูนัก ที่แท้ก็เป็นคุณหนูใหญ่ของจวนจี้กั๋วกงผู้นั้น ตั้งแต่เด็กก็หายไปจากสายตาของทุกคน ได้ยินว่านางอัปลักษณ์ไร้ที่เปรียบ

ตรงไหนกันที่เหมือนท่านหมอเทวดา?! จี้กั๋วกงมีบุตรสาวที่ดีเพียงนี้เชียวหรือ? เหตุใดเขาถึงโชคดีเพียงนี้กัน

จี้จือฮวนรู้สึกนึกอยากชมการแสดงของจี้หมิงซูขึ้นมา ดูสิว่านางจะสามารถผายลมอะไรได้อีก

แต่เห็นได้ชัดว่าท่าทางของจี้จือฮวนไปกระตุ้นต่อมโมโหของเหล่าคนรับใช้จวนจี้กั๋วกงที่รังแกนางมาตลอด

“นี่ คุณหนูหมิงซูพูดกับเจ้าอยู่ เจ้าหูหนวกหรืออย่างไร?”

“มีมารยาทหรือไม่? กลับมาเมืองหลวงแต่กลับไม่ไปคารวะที่จวน”

พ่อบ้านจูและคนอื่น ๆ ในร้านยาได้ฟังก็อยากออกไปสั่งสอนพวกเขาทันที

ทว่าจี้จือฮวนกลับหัวเราะเสียงเย็นออกมา แววตามีแต่ความเฉยเมย ราวกับมองดูพวกตัวตลกกลุ่มหนึ่ง

นางค่อย ๆ เดินไปตรงหน้าของจี้หมิงซู ลู่อวิ๋นเซียงไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ตกใจจนถอยไปสองสามก้าว ก่อนจะหลบอยู่ด้านหลังของถังหมิง

จี้หมิงซูเห็นท่าทางเช่นนี้ของจี้จือฮวนในใจก็คาดเดาไม่ถูกขึ้นมา แต่ก็ยังรักษารอยยิ้มเอาไว้ นางไม่เชื่อหรอกว่าหญิงสาวผู้นี้จะดิ้นหลุดจากกำมือของนางไปได้

“มารยาท? กฎระเบียบ? ในเมื่อพวกเจ้าถามข้าเช่นนี้ ข้าก็จะสอนพวกเจ้าเองว่าอะไรคือมารยาท อะไรคือกฎระเบียบ ตามแบบฉบับของพวกเจ้า!”

ทันทีที่สิ้นเสียง นางก็คว้าคอเสื้อของจี้หมิงซูขึ้นมา และตบหน้าของจี้หมิงซูอย่างแรงท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของทุกคน

แผลที่จี้หมิงซูถูกข้าหลวงของวังหลวงตบยังไม่หายดี รอยฝ่ามือบนใบหน้ายังบวมอยู่ ดังนั้นนางจึงสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ เมื่อจี้จือฮวนตบลงไป ก็ทำให้ผ้าปิดหน้านั้นร่วงลงพื้น เผยให้เห็นใบหน้าที่บวมแดงของจี้หมิงซู

ทำให้ทุกคนโดยรอบตกใจจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อย่างแรง

ไหนบอกว่าจี้หมิงซูเป็นสตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เป็นรักแรกพบขององค์ชายรองอย่างไรเล่า? เหตุใดถึงได้อัปลักษณ์เพียงนี้กัน!

จี้หมิงซูถูกตบจนงุนงง ผู้หญิงที่ไม่กล้าตบนางมากที่สุดในใต้หล้า กลับยืนอยู่ตรงหน้านางและตบนางอย่างแรง

“เจ้า!”

“เจ้าอะไร จะสอนกฎระเบียบและมารยาทไม่ใช่หรือ? ข้าเป็นบุตรีภรรยาเอกคือผู้สูงศักดิ์ เจ้าเป็นบุตรีภรรยารองคือผู้ต่ำต้อย ข้ายืนอยู่แต่เจ้ากลับกล้านั่งลงอย่างนั้นหรือ?” จี้จือฮวนเอ่ยถึงตรงนี้ก็ตบไปอีกครั้ง จนทำให้จี้หมิงซูล้มคว่ำลงไป พริบตาต่อมานางก็ย่อตัวลงและลากจี้หมิงซูกลับมาอีกครั้งอย่างแรง

“พูดกับพี่ใหญ่แต่ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ไม่รู้จักกาลเทศะ”

เพียะ!

จี้หมิงซูยังไม่ทันได้สติก็โดนตบอย่างแรงอีกครั้ง

“ก่อเรื่องบนถนน กำเริบเสิบสาน”

เพียะ!

“พยายามชักจูงชาวบ้าน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่สกปรกของตัวเอง น่ารังเกียจสิ้นดี”

เพียะ!

จี้จือฮวนตบจี้หมิงซูติดต่อกันสิบกว่าครั้ง จึงได้เหวี่ยงนางกลับไปที่ม้านั่ง

“เจ้าชอบนั่งไม่ใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้นั่งสมใจ ฟ้าไม่มืด ร้านไม่ปิด เจ้าก็นั่งอยู่ตรงนี้ไป” จี้จือฮวนเอ่ยจบ เหล่าคนรับใช้ของจวนจี้กั๋วกงที่ตกใจจนนิ่งงันไปนานแล้วก็ได้สติกลับมา

“จี้จือฮวน เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับคุณหนูหมิงซูอย่างนั้นหรือ?”

จี้จือฮวนก้าวลงจากบันได ก่อนจะเอื้อมมือไปหาคนขับรถม้าที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา “ขอยืมแส้หน่อย ข้าจะสั่งสอนคนรับใช้ชั่ว”

“เจ้า! เจ้ากล้าหรือ?”

จี้จือฮวนรับแส้มา ก่อนจะหมุนตัวและฟาดไปอย่างแรงหนึ่งครั้ง “ขายตัวมาเป็นทาส มีฐานะต่ำต้อย กล้าล่วงเกินนาย วันนี้ต่อให้ตีพวกเจ้าจนตายก็สมเหตุสมผลแล้ว”

กล้าพูดเรื่องกฎระเบียบและมารยาทกับคนสมัยใหม่อย่างนาง เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางเป็นนักเลงหัวไม้ก็แล้วกัน

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือฐานะ ล้วนเป็นการหาเรื่องให้ตัวเองชัด ๆ

“กินข้าวของจวนจี้กั๋วกง ใช้ของของจวนจี้กั๋วกง แต่กลับกล้าชี้หน้าต่อว่าคุณหนูที่เป็นบุตรภรรยาเอก พวกคนหน้าไม่อาย” ในที่สุดคนรับใช้ร้านยาก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง

พ่อบ้านจูเองก็รู้สึกเหมือนได้ระบายความโมโหเช่นกัน “ฟาดอีก สมควรฟาดแรง ๆ พวกคนรับใช้ชั่วช้า นี่มันอะไรกัน! จวนจี้กั๋วกงไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ไปดื่มสารหนูตายกันเสียให้หมด บุตรีภรรยารองปล่อยให้คนรับใช้รังแกบุตรีภรรยาเอกกลางถนน ตระกูลที่ไร้กฎระเบียบเลี้ยงลูกสาวออกมาไร้มารยาทเช่นนี้ ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นสตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอีกอย่างนั้นหรือ ข้าว่านอกจากท่านหมอเทวดาของเราแล้วทั้งตระกูลคงมีแต่พวกเศษสวะกระมัง”