บทที่ 123 มาตกลงกัน

บทที่ 123 มาตกลงกัน

“ตกลง ข้าไปแล้ว! เฉาซินเหลียน ท่านอย่ามาหลอกข้าแล้วกัน!”

“อย่าได้กังวลไป หากเจ้าไม่ทำร้ายข้า ข้าก็จะไม่ทำร้ายเจ้า!” เฉาซื่อเอ่ย “นอกจากนี้ ข้าจะแนะนำเจ้าหนึ่งประการ เรื่องที่ข้าให้เงินเจ้าปีละห้าสิบตำลึงเงิน อย่าได้ปริปากบอกพี่เขยเจ้าเด็ดขาด พี่เขยเจ้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว…”

นัยน์ตาของเฉาซื่อหม่นลงราวกับสำนึกผิด แววตาฉายหลากอารมณ์ซับซ้อน เฉาฮุยผู้นี้สนใจเพียงเรื่องกิน ดื่ม โสเภณี การพนัน พวกอันธพาลจะเข้าใจได้อย่างไร เขาไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เมื่อคิดว่าอีกไม่นานจะได้เงิน เขาเอามือไพล่หลังและเดินจากไปอย่างมีความสุข แม้แต่หลานสาวของเขาอย่างกู้ถิงถิงก็ไม่ถามถึงสักคำ

เมื่อเห็นว่าน้องชายที่ไม่น่าพอใจของนางจากไปแล้ว ความรู้สึกต่าง ๆ ก็ท่วมท้นอยู่ในอก มีทั้งเสียใจ รำคาญ ไม่เข้าใจ และบางความคิดที่พูดไม่ออก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าหัวใจถูกปิดกั้น กลืนไม่เข้า คายไม่ออก คับข้องใจยิ่งนัก

เงินห้าตำลึงเงินที่ควรจะเป็นของเฉาฮุยในปีนี้ เขาได้รับไปแล้วสามสิบตำลึงในช่วงเทศกาลตวนอู่[1]และเทศกาลไหว้พระจันทร์ และตอนนี้เหลือเพียงยี่สิบตำลึงเท่านั้น แม้ว่าจำนวนจะลดลงครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับเฉาซื่อผู้ที่ไม่มีเงินแม้แต่เหรียญเดียวแล้ว ยี่สิบตำลึงนี่นับว่าไม่น้อยเลย

ในอดีต ครอบครัวนี้มีที่ดินมากกว่าสิบหมู่ให้กับเกษตรกรรายอื่นได้เช่า พวกเขาจะได้รับค่าเช่าจำนวนมากต่อปี ซึ่งห้าสิบตำลึงคือจำนวนที่มากเกินพอ แต่ปัจจุบันกลับเป็นแบบคำโบราณที่ว่าไร้ฟางข้าวแล้วก็ไม่อาจสร้างอิฐ หากไม่มีเงินแล้วจะให้เฉาฮุยทำอย่างไรได้

ต้องมีเงินเท่านั้นที่จะอุดปากของเฉาฮุยได้ หากเขาปริปากออกไป…

เฉาซื่อไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องนี้ หญิงสาวถอนหายใจ ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง ร่างกายเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกรถม้าเหยียบ นางจะไปหาเงินยี่สิบตำลึงมาจากไหน!

ทันใดนั้น ครั้นนางนึกถึงกู้ถิงถิงที่นอนอยู่ข้าง ๆ เฉาซื่อก็เตือนว่า “ถิงถิง เรื่องที่ข้าคุยกับน้าของเจ้าวันนี้ ห้ามนำไปพูดกับใครเข้าใจหรือไม่?”

กู้ถิงถิงไม่เคยเห็นท่าทางดุร้ายของเฉาซื่อมาก่อน เด็กหญิงทั้งน้อยใจและหวาดกลัว หัวเข่ากระแทกพื้นเมื่อครู่ยังเจ็บปวด แต่ไม่กล้าส่งเสียง มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นที่บ้านในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ร่างกายของเฉาซื่อได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของผู้เป็นบิดา อีกทั้งเขายังต้องการหย่ากับมารดาอีก

กู้ถิงถิงไม่รู้ว่าการหย่าร้างหมายถึงอะไร แต่แล้วเหลียงต้าเป่าก็เข้ามาหานางและบอกว่าถ้าท่านพ่อหย่ากับท่านแม่ นางก็จะมีแม่เลี้ยงเป็นแม่ผู้โหดร้าย ไม่ให้นางกินข้าว ไม่มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ นางจะทำเสื้อผ้าใหม่ให้ตัวเองเหมือนแม่แท้ ๆ และถักหวีผมเปียงดงามของตนได้อย่างไร เมื่อคิดว่าต้องมีแม่เลี้ยงแสนโหดร้าย นางก็พลันรู้สึกหวาดหวั่น

นางไม่มีทางให้ท่านแม่จากไป หากท่านแม่จากไปจะทำอย่างไร! สองสามวันนี้กู้ถิงถิงหวาดกลัวอย่างมาก เมื่อเห็นจมูกเขียวช้ำและใบหน้าบวมฉึ่งของเฉาซื่อจากการถูกกู้ฉวนโซ่วทุบตี กู้ถิงถิงก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก

เดิมทีนางซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ร่างกายสั่นระริก น้ำตาไหลนอง แต่เมื่อได้ยินคำเตือนของเฉาซื่อ กู้ถิงถิงก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว รีบมุดหัวเล็กออกจากผ้าห่มมองสายตาที่เต็มไปด้วยคำเตือนของเฉาซื่อ และรีบพูดอย่างลนลาน “ท่านแม่ ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่บอกใครเด็ดขาด!”

ราวกับว่าได้รับคำสัญญา เฉาซื่อก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ไม่มีหนทางอื่น ช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เฉาซื่อไม่กล้าเชื่อใครได้เลย

ด้านซุนซื่อกำลังเงี่ยหูฟังในเรือนทางทิศตะวันตก ได้ยินเฉาฮุยตะโกนลั่นบ้านเกี่ยวกับเรื่องของเฉาซื่อ เดิมทีนางต้องการแอบฟัง แต่เฉาซื่อกลับไล่เฉาฮุยออกไปเสียก่อน

ซุนซื่อฉงนสงสัย เฉาซื่อกระทำสิ่งใดแล้วโดนเฉาฮุยจับได้อย่างนั้นหรือ มิฉะนั้นเขาจะพูดเช่นนั้นได้เยี่ยงไร

น่าเสียดายที่ฟังอย่างไรก็ไม่ได้ศัพท์ ดูเหมือนทั้งสองคนจะลดเสียงลง และพูดคุยกันอย่างลับ ๆ

หลังจากรออยู่เนิ่นนาน ในที่สุดประตูเรือนหลักก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ซุนซื่อมองลอดช่องว่างของประตู และเห็นเฉาฮุยเดินเอามือไพล่หลังครวญเพลงออกมาจากห้องหลักอย่างสบายอุรา คงไม่ต้องบอกว่าท่าทางของเขามีความสุขมากเพียงใด

ต่างจากคนที่ยืนตะโกนเกรี้ยวกราดอยู่ด้านนอกเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง! หัวใจของซุนซื่อยังสงสัย แต่นางไม่สามารถพูดได้และก็ไม่กล้าพูด ในเวลานี้กู้ฉวนลู่ได้พากู้จือเหวินออกไปแล้ว จึงไม่สามารถปรึกษาใครได้ในเรื่องนี้

ความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยนั้นเหมือนกับรอยขีดข่วนชวนระคายหัวใจของซุนซื่อ

กล่าวถึงกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงที่ตักน้ำกลับมา กู้หนิงอันยังมีท่าทางไม่สบายใจ กู้เสี่ยวหวานกำลังสาละวนอยู่ในครัวจึงไม่ได้สังเกตท่าทางของกู้หนิงอัน

ถังน้ำในห้องครัวแทบไม่มีน้ำเหลือสักหยด การตักน้ำสองถังจึงไม่เพียงพอ สองพี่น้องกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงจึงไปตักน้ำอีกครั้ง หากแต่เดินไปได้ครึ่งทางก็ได้เจอเข้ากับคนรู้จัก

ครานี้เป็นลุงใหญ่กู้ฉวนลู่และญาติผู้พี่อย่างกู้จือเหวิน

ภายใต้คำสอนของกู้เสี่ยวหวาน กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงจึงรู้ว่าควรเคารพผู้อาวุโส ไม่ว่าผู้อาวุโสนั้นจะเกี่ยวข้องกับเขาทางสายเลือดหรือไม่ แต่ก็ไม่สนใจเกี่ยวกับชีวิตหรือความตายของพวกเขา แม้พวกเขาจะไม่มีความรู้สึกในใจ หากแต่ก็ต้องแสดงความเคารพ เพราะการที่เด็กไม่เคารพผู้สูงวัยในสังคมยุคนี้ถือเป็นอาชญากรรมใหญ่หลวง

แม้กู้เสี่ยวหวานจะเกลียดชังครอบครัวกู้ฉวนลู่มาก แต่ก็ยังคงท่าทางไว้ไมตรีอยู่

กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงเห็นว่ากู้ฉวนลู่เดินนำหน้ากู้จือเหวิน แม้จะไม่อยากทักทายมากเท่าไร แต่หลังจากคิดถึงสิ่งที่พี่สาวพูด พวกเขาก็วางถังลงในมือตะโกนออกไป แสดงความนับถือ “ลุงใหญ่ ท่านพี่…”

กู้ฉวนลู่เห็นเด็กสองคนนี้จากระยะไกล ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นบริเวณหลุมศพบนภูเขา เขาก็ไม่เคยได้เห็นหน้าของสมาชิกครอบครัวกู้ฉวนฟู่เลย แม้แต่ครอบครัวกู้ฉวนโซ่วที่จะหย่ากับเฉาซื่อก็ไม่มีหน้ามาเจอ

ไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอกันในวันนี้

วันนี้อากาศดีมาก แสงแดดอบอุ่น เนื่องจากพวกเขาเพิ่งแบกถังน้ำ ร่างกายของเขาจึงร้อนผ่าว ใบหน้าแดงก่ำ

กู้ฉวนลู่มองเด็กสองคน สายตาของเขาเย็นชาลงเรื่อย ๆ

เด็กสองคนที่อยู่ข้างหน้ามีร่างกายค่อนข้างสูง และพวกเขาดูเหมือนกันทุกประการ

……………………………………………………………………………………………………………………….

[1] เทศกาลตวนอู่ = เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลแข่งเรือมังกร

สารจากผู้แปล

เฉาซื่อจะหาเงินยี่สิบตำลึงมาจากไหนดี

บางทีก็ด้วยมารยาททางสังคมน่ะนะที่ทำให้ต้องทำตัวดี ๆ อยู่แม้ในใจจะไม่อยากทำเลยก็ตาม

ไหหม่า(海馬)