บทที่ 124 ห่อเกี๊ยว

บทที่ 124 ห่อเกี๊ยว

คราวนี้พวกเขาถอดเสื้อผ้าชุดเก่าสกปรกมอมแมม เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยมราวกับเปลี่ยนเป็นคนใหม่ และไม่รู้ว่าช่วงนี้พวกเขาได้กินดีอยู่ดีหรือไม่ ใบหน้าของเด็กทั้งสองดูเอิบอิ่มและเปล่งปลั่งดูมีชีวิตชีวา

ดวงตาคู่นั้นที่ดำขลับราวกับน้ำหมึกสะท้อนประกายแสงอาทิตย์ ทำให้กู้ฉวนลู่ทั้งโมโหและอิจฉายามได้เห็น

การเผชิญหน้ากันของครอบครัวกู้ก็น่าสนุกเช่นกัน เมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนนั้น ลูกสามคนของครอบครัวกู้ กู้ฉวนลู่และกู้ฉวนโซ่วมีความคล้ายท่านปู่หลายส่วน แต่กู้ฉวนฟู่ค่อนข้างคล้ายท่านย่า เอ่ยง่าย ๆ คือท่านย่าตระกูลกู้เป็นสตรีรูปโฉมงดงาม และค่อนข้างมีชื่อเสียงในหลายหมู่บ้านข้างเคียง เมื่อพูดถึงกู้เหมาซื่อก็ราวกับดอกไม้ที่งอกจากกองมูลวัว

มูลวัวหมายถึงท่านปู่กู้ ท่านปู่กู้มีรูปโฉมธรรมดาอันหาได้ทั่วไปตามฝูงชน ท่านย่ากู้มีชื่อเสียงด้านความงามโด่งดัง แต่กลับแต่งงานกับคนธรรมดาอย่างท่านปู่กู้

เด็กสามคนที่เกิดมานั้นแปลกจริง ๆ มีเพียงกู้ฉวนฟู่เท่านั้นที่สืบทอดความงามของท่านย่ากู้มา กู้ฉวนฟู่มีหน้าตาประณีต ในฐานะบุรุษแล้วสามารถพูดได้ว่าหล่อเหลามาก

แต่กู้ฉวนลู่และกู้ฉวนโซ่วต่างดูเหมือนท่านปู่กู้ แม้พวกเขาจะได้ส่วนดีของท่านย่ากู้มา แต่ก็ไม่ได้มามากนัก ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบรูปลักษณ์กับกู้ฉวนฟู่แล้ว กู้ฉวนลู่และกู้ฉวนโซ่วนั้นเทียบไม่ได้เลย

ต่อมากู้ฉวนฟู่ได้พบกับเถียนซื่อ นางเป็นสตรีที่อ่อนโยนและงดงาม แม้เด็กทั้งสี่คนที่เกิดมาจะยังมีอายุน้อย แต่ก็สามารถเห็นข้อดีที่พวกเขาได้รับมาจากพ่อแม่ได้

เมื่อมองไปที่กู้จือเหวินอีกครั้ง แม้เขาจะดูดีกว่ากู้ฉวนลู่มาก และดูเหมือนซุนซื่อเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับพี่น้องสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขา เขาแทบเทียบไม่ติด

แม้เขาจะมีใบหน้างดงาม แต่…กู้ฉวนลู่สูดลมหายใจอย่างเย็นชา แต่เขาเป็นเพียงคนชนบทที่ไม่มีหมึกในท้อง แม้แต่นิ้วเท้าของกู้จือเหวินในครอบครัวนี้ก็ไม่มีใครเทียบได้ หากต้องการมอบรองเท้าให้กู้จือเหวินของเขาก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ

กู้จือเหวินที่อยู่ข้าง ๆ เชิดคางจนแทบจะเชิดขึ้นฟ้า เขาเชิดหน้าขึ้นสูง ไม่แม้แต่จะมองไปที่พี่น้องกู้หนิงอันและกู้หนิงผิง และไม่สนกระทั่งคำทักทายของพวกเขา

กู้ฉวนลู่ไม่อยากสนใจเด็กสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขา เขาเพิ่งกลับมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน และพูดคุยเรื่องใหญ่หลายเรื่อง และต้องรีบกลับไปปรึกษาเรื่องนี้กับซุนซื่อ

โดยไม่สนใจพี่น้องสองคนนี้ เขาลากกู้จือเหวินออกไปโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยตอบ

กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงที่กำลังโค้งตัว มือของพวกเขาประสานเข้าหากัน พวกเขาแสดงความเคารพ หากแต่ไม่ได้รับการตอบรับ เมื่อเห็นกู้ฉวนลู่และกู้จือเหวินเดินออกไป กู้หนิงผิงก็ยืดตัวขึ้นและมองไปที่กู้ฉวนลู่อย่างโกรธแค้น “ท่านพี่ มันจะมากเกินไปแล้ว พวกเราทักทาย แต่พวกเขาทั้งคู่กลับเมินเฉย มันจะมากเกินไปแล้ว!”

กู้หนิงอันไม่คิดอย่างนั้น เขายืดตัวขึ้นและพูดอย่างนิ่งสงบ “หนิงผิง อย่าไปสนใจว่าพวกเขาทำอะไร มันเป็นเรื่องของเราที่จะแสดงความเคารพกับพวกเขา เรื่องที่พวกเขาไม่ตอบรับก็เพราะพวกเขาอาจจะไม่เข้าใจมารยาท เป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้อาวุโสและเราเด็กกว่า แต่เราต้องไม่เสียมารยาท”

คำพูดของกู้หนิงอันเหมือนเป็นการตบหน้ากู้ฉวนลู่และกู้จือเหวิน

ทันใดนั้น กู้หนิงผิงก็นึกขึ้นได้ จึงคลี่ยิ้มอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ ท่านหมายความว่าพวกเราไม่ต้องสนใจพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจมารยาทหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราใช่หรือไม่?”

“แน่นอน ปากที่อยู่บนหน้าคนอื่น จะไปสนใจที่เขาพูดทำไม?”

กู้หนิงผิงยิ้มเยาะ “ท่านพี่ ข้าพบว่าตอนนี้ท่านเหมือนพี่หญิงมาก ถ้านางอยู่ที่นี่นางจะพูดแบบเดียวกันอย่างแน่นอน!”

เหมือนท่านพี่อย่างนั้นหรือ กู้หนิงอันยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของน้องชายของเขา “วัน ๆ อยู่แต่กับพี่หญิงจะเหมือนกันก็คงไม่แปลก อะไรที่ไม่เคยพูดก็ได้พูด”

“ท่านพี่ ยอดเยี่ยมมาก!” กู้หนิงผิงกล่าวอย่างไร้เดียงสา

“พี่หญิงเคยบอกเรานานแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไร เราก็เด็กกว่า และไม่ควรให้พวกเขาจับได้ว่าเราไม่เคารพผู้อาวุโส”

“เคารพผู้อาวุโสเช่นนั้นหรือ? ฮึ่ม…” กู้หนิงผิงกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไม่เคยเห็นพวกเขาทำหน้าที่ผู้อาวุโส เราจะเคารพพวกเขาได้อย่างไร! แต่ท่านพี่ ท่านพูดถูก พวกเขาคือพวกเขา พวกเราก็คือพวกเรา”

หลังจากพี่น้องทั้งสองพูดจบพวกเขาก็ไปตักน้ำ

กู้เสี่ยวหวานได้หั่นและล้างผักทั้งหมดแล้วในขณะนี้

คืนนี้กู้เสี่ยวหวานวางแผนที่จะทำหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดง ปลาตุ๋นหัวไชเท้า หน่อไม้ฤดูหนาวผัดผักดอง หมูสามชั้นผัด ปอดหมูผัด อาหารสี่อย่างและน้ำแกงหนึ่งถ้วย ซึ่งเพียงพอสำหรับคืนนี้ กู้เสี่ยวหวานคิดเสมอว่ามีบางอย่างขาดหายไป ในช่วงวันส่งท้ายปีเก่าต้องอยู่ทั้งคืนจนข้ามไปวันปีใหม่ และพวกเขาต้องมีอะไรกินในตอนเย็น

ใช่แล้ว กินเกี๊ยวในตอนเย็นของวันส่งท้ายปีเก่า กู้เสี่ยวหวานทำในสิ่งที่นางคิดทันที นางหยิบแป้งขาวออกมาเล็กน้อย นวดให้เข้ากัน จากนั้นเอาเนื้อสับและหัวไชเท้ามาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่เกลือเล็กน้อย หลังจากชิมเสร็จไส้เนื้อก็เกือบจะพร้อมแล้ว

นางนำแป้งกับเนื้อสับเข้าห้องใหญ่ นอกจากโต๊ะในบ้านใหญ่ที่นวดบะหมี่และทำเกี๊ยวได้แล้ว ในครัวเล็ก ๆ ก็ไม่มีโต๊ะที่สามารถทำได้ เมื่อนางเข้าไปในห้องใหญ่ โต๊ะเล็ก ๆ ก็เต็มไปด้วยพู่กันและกระดาษสำหรับฝึกเขียนของกู้หนิงอัน กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่มีที่สำหรับวางจริง ๆ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมดหนทาง คิดในใจว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ จะต้องไปหาโต๊ะที่ใหญ่ขึ้นและจัดไว้สำหรับกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงสำหรับเรียนและฝึกเขียนอักษร

กู้เสี่ยวหวานแค่อยากจะวางของในมือลงบนเตียง ในเวลานี้กู้หนิงอันและคนอื่น ๆ กลับมาและเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังถือแป้งอยู่ในมือข้างหนึ่งและมืออีกข้างถือชามอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีเนื้ออยู่ในชามนั้น เมื่อเห็นสีหน้าที่ลำบากใจของกูเสี่ยวหวาน ก็เลยเอ่ยถาม “ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”

“วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ข้าจะทำเกี๊ยวและพวกเราจะกินมันในคืนส่งท้ายปีเก่า พวกเจ้ารีบไปเก็บของบนโต๊ะหน่อย”

ทันทีที่เขาได้ยินว่าต้องกินเกี๊ยวในตอนกลางคืน กู้หนิงอันก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข “โอ้ กินเกี๊ยว!”

หลังจากทำความสะอาดโต๊ะ กู้เสี่ยวหวานวางสิ่งของในมือของนางลง แล้วเดินเข้าไปในครัวอีกครั้งพร้อมกับลำไม้ไผ่เกลี้ยงเกลา นี่เป็นไม้ไผ่ที่ฉือโถวได้ตัดเป็นท่อนเล็ก ๆ มาจากการขึ้นภูเขาครั้งก่อน ซึ่งเหมาะกับการคลึงแป้งในวันนี้มาก

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เด็ก ๆ บ้านนี้ถูกสอนมาดีจังเลยค่ะ เราทำส่วนของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่ต้องสนใจ

มีเมนูชวนหิวอีกแล้ว

ไหหม่า(海馬)