ตอนที่ 119 เจ้าเล่ห์เพทุบาย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 119 เจ้าเล่ห์เพทุบาย
ฮ่องเต้งอนิ้วเคาะลงไปบนโต๊ะอย่างแรง แผ่รังสีอำมหิตออกมาจากร่างกาย

“กระหม่อมคิดว่าจงหย่งโหวคงเพียงเห็นแก่เงินตามที่ที่ปรึกษาของจวนจงหย่งโหวสารภาพเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ฉินเต๋อเจาเพิ่งเคยทำเรื่องพวกนี้เป็นครั้งแรกจึงนึกไม่ถึงว่าจะโดนจับได้แล้วถูกข่มขู่เช่นนี้ ลูกน้องใต้บัญชาพวกนั้นเห็นว่ามีคนยศสูงอย่างจงหย่งโหวคอยคุ้มครองอยู่จึงทำตัวเหิมเกริมมากขึ้นทุกที! จงหย่งโหวจึงทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา ลงมือฆ่าปิดปากคนพวกนั้นเพื่อเอาตัวรอด” ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ที่สำคัญ จวนจงหย่งโหวกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นดองกัน เห็นแก่บุตรชายของตัวเอง ฉินเต๋อเจาไม่มีทางวางแผนทำร้ายตระกูลที่เป็นดองของตัวเองหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้รู้สึกว่าถ้อยคำที่ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่กล่าวมามีเหตุผล สายพระเนตรทอดไปยังเสาทรงกลมสีแดงเคลือบน้ำมันกลางท้องพระโรง แววตาเคร่งขรึม “ที่เจ้ากล่าวมามีเหตุผล”

“ก่อนที่กระหม่อมจะมาทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ คุณชายใหญ่ฉินคุกเข่าขอร้องให้กระหม่อมทูลฝ่าบาทว่าเขาต้องการยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจวนจงหย่งโหวให้ท้องพระคลังเพื่อไถ่โทษแทนบิดาของเขาพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมนึกถึงถ้อยคำที่ฝ่าบาททรงตรัสชมคุณชายใหญ่ฉินว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ คุณชายใหญ่ฉินเห็นแก่ความชอบธรรมมากกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัว ยอมอกตัญญูเพื่อแสดงความจงรักภักดี เขาเป็นคนซื่อตรงและจงรักภักดีมากพ่ะย่ะค่ะ หากแคว้นต้าจิ้นของเราเต็มไปด้วยบุรุษเช่นนี้ ต้องรุ่งเรืองสืบไปแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“หลู่อ้ายชิง[1] เจ้ากำลังขอร้องแทนฉินหล่างเช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้เข้าใจความหมายในถ้อยคำของผู้พิพากษาหลู่จิ้นแห่งศาลต้าหลี่ดี ทว่า ไม่ได้เก็บมาใส่พระทัย “มิรู้ว่าทำไปเพราะความชอบธรรมหรือต้องการรักษาชีวิตกันแน่!”

“ฝ่าบาท กระหม่อมเชื่อในสายพระเนตรของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฉินหล่างเป็นบุรุษที่ฝ่าบาทเคยตรัสชม! กระหม่อมทำงานที่ศาลต้าหลี่มานานแล้ว พบปะผู้คนมาแล้วทุกรูปแบบ ทว่า แทบไม่เคยพบบุรุษที่มีแววตาใสซื่อดังเช่นฉินหล่างมาก่อน! กระหม่อมเชื่อว่าฉินหล่างเป็นบุรุษที่จงรักภักดีอย่างหาได้ยากในยุคนี้ มิใช่คนเจ้าเล่ห์เพทุบายพ่ะย่ะค่ะ!”

ผู้พิพากษาหลู่จิ้นแห่งศาลต้าหลี่กล่าวถ้อยคำนี้ออกมาจากใจ แววตาของฉินหล่างใสซื่อชัดเจน ไม่ค่อยเหมือนกับคุณชายเจ้าสำราญคนอื่นๆ ในเมืองหลวง

ฮ่องเต้ได้ยินคำกล่าวของผู้พิพากษาศาลต้าหลี่จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปสั่งเกาเต๋อเม่า “ให้เซี่ยอวี่จ่างไปตามฉินเต๋อเจามาเข้าเฝ้าเรา เราจะไต่สวนเขาด้วยตัวเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ!” เกาเต๋อเม่ารีบเดินออกไปจากท้องพระโรง สั่งให้เซี่ยอวี่จ่าง หัวหน้าทหารองครักษ์รักษาพระองค์ไปกุมตัวฉินเต๋อเจามา

ไม่นาน เซี่ยอวี่จ่างกลับมาตัวคนเดียว รายงานฮ่องเต้ว่าฉินเต๋อเจาฆ่าตัวตายในคุกแล้ว

ผู้พิพากษาหลู่จิ้นแห่งศาลต้าหลี่เบิกตาโพลง รีบคุกเข่าลงบนพื้นอย่างตกใจ “ฝ่าบาท! กระหม่อมคุมคนไม่ดี ฝ่าบาทได้โปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้กัดฟันกรอด เงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นตรัสถาม “เขาทิ้งคำสั่งเสียใดไว้บ้างหรือไม่”

“ไม่มีเลยพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่กระหม่อมไปพบตัวเขายังอุ่นอยู่ น่าจะเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นานพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยอวี่จ่างตอบ

ฮ่องเต้หลับตาเอนแผ่นหลังพิงบัลลังก์มังกร รู้สึกหงุดหงิดมาก

เรื่องที่จงหย่งโหวฉินเต๋อเจาฆ่าตัวตายในคุกของศาลต้าหลี่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง

ฉินหล่างนั่งอยู่ในศาลต้าหลี่ เมื่อได้ยินว่าบิดาฆ่าตัวตายก็ตกใจจนแทบทำถ้วยชาในมือหล่นแตก

เขาคิดว่าเขาลงมือรวดเร็วแล้ว เมื่อได้รับรายชื่อมาก็รีบกลับจวนจงหย่งโหวไปปรึกษากับที่ปรึกษาของบิดา เขาต้องใช้มีดจี้คอตัวเองถึงจะพาที่ปรึกษาของบิดาและองครักษ์มาสารภาพผิดที่ศาลต้าหลี่ได้ เดิมทีคิดว่าหากฮ่องเต้ทรงรับรู้เรื่องนี้ก่อนตะวันตกดิน บิดาของเขาคงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหลายวัน

ทว่า ก็ยังสายไปอยู่ดี

หากบิดาของเขาไม่ได้ถูกฆ่าปิดปากแต่ฆ่าตัวตายเอง เช่นนั้นตอนที่บิดาของเขาตัดสินใจเลือกรักษาเกียรติยศของจวนจงหย่งโหวไว้ก็คงเตรียมใจที่จะตายไว้แล้ว

ไม่นาน ผู้พิพากษาหลู่จิ้นก็กลับมาที่ศาลต้าหลี่ เขามองดูฉินหล่างที่สีหน้าซีดเผือด กล่าวแสดงความเสียใจ “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้จับตัวซุนอี้หมิง น้องภรรยาของหลิวฮ่วนจางมาดำเนินคดีแล้วขอรับ หลังจากสอบสวนซุนอี้หมิงเสร็จ หากล้างข้อหาที่ท่านพ่อของท่านร่วมมือกับหลิวฮ่วนจางได้ คนในจวนจงหย่งโหวถึงจะได้รับอิสระ ท่านกลับจวนจงหย่งโหวไปก่อนเถิด อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านที่ใดเป็นอันขาดนะขอรับ!”

ฉินหล่างโค้งกายคำนับหลู่จิ้นอย่างนอบน้อม “ข้าขอรับร่างของท่านพ่อไปทำพิธีศพได้หรือไม่ขอรับ”

หลู่จิ้นส่ายหน้า “ฝ่าบาทมีพระประสงค์สืบหาสาเหตุการตายของท่านพ่อของท่าน ท่านยังนำศพกลับไปมิได้ขอรับ”

ฉินหล่างกำมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวแน่น ทำความเคารพหลู่จิ้นอีกครั้ง

เมื่อออกมาจากศาลต้าหลี่ ฉินหล่างให้ผู้ติดตามไปส่งข่าวให้ไป๋จิ่นซิ่วรู้ว่าเขาต้องกลับจวนไปเตรียมพิธีศพของบิดา เมื่อเข้าไปในจวนจงหย่งโหวคงออกมาไม่ได้อีก กำชับให้ไป๋จิ่นซิ่วอยู่ไว้ทุกข์ให้ท่านกั๋วกงที่จวนเจิ้นกั๋วกง

เวลานี้ เจ้านายทั้งหมดของจวนเจิ้นกั๋วกงรวมตัวกันอยู่ที่เรือนฉางโซ่วขององค์หญิงใหญ่

ฮ่องเต้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจิ้นกั๋วกงเป็นเจิ้นกั๋วอ๋อง ตามธรรมเนียมแล้วต้องยกระดับพิธีศพขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

ทว่า องค์หญิงใหญ่เคยทูลฮ่องเต้ที่ท้องพระโรงในวันนั้นแล้วว่าจะจัดพิธีศพอย่างเรียบง่าย ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเจิ้นกั๋วกงเป็นเจิ้นกั๋วอ๋องก็เพราะองค์หญิงใหญ่ให้สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะสละตำแหน่งเจิ้นกั๋วกง ตระกูลไป๋ต้องรอบคอบและถ่อมตัวให้มากที่สุดจึงจะรักษาชีวิตของคนในตระกูลไว้ได้

องค์หญิงใหญ่ไม่ค่อยมีสมาธิ กายท่อนบนเอนพิงหมอนลายดอกเสาวรสสีเหลืองขมิ้นใบใหญ่ ฝืนประคองร่างกายนั่งอยู่บนเตียง คลำลูกประคำไม้กฤษณาที่อยู่ในมือ “เคลื่อนขบวนศพในวันที่สิบก็แล้วกัน!”

ต่งซื่อพยักหน้า โลงศพมากมายตั้งอยู่กลางลานหญ้า เมื่อเห็นก็จะพลอยนึกได้ว่าในโลงศพไม่มีร่างของบุตรชายและสามีอยู่ในนั้น นางเจ็บปวดแทบขาดใจ มิสู้ฝังร่างพวกเขาโดยเร็วเสียดีกว่า เมื่อตามองไม่เห็นอาจไม่เจ็บปวดมากนัก

สิ้นเสียงขององค์หญิงใหญ่ เจี่ยงหมัวมัวเดินเข้ามาด้านในอย่างร้อนรน ทำความเคารพแล้วเอ่ยขึ้น “องค์หญิงใหญ่ มีรายงานมาว่าจงหย่งโหวฆ่าตัวตายในคุกแล้วเพคะ ท่านเขยรองกลับจวนจงหย่งโหวไปเตรียมพิธีศพแล้ว เมื่อครู่ท่านเขยรองให้คนมาส่งข่าวบอกให้คุณหนูรองอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกง ไม่ต้องกลับไปจวนจงหย่งโหวเพคะ”

หลิวซื่อควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ผุดลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น กังวลใจเป็นที่สุด “แล้ว…จะเดือดร้อนมาถึงลูกเขยรองหรือไม่”

ไป๋จิ่นซิ่วมองไปทางไป๋ชิงเหยียนที่นั่งก้มหน้าอยู่ท่ามกลางแสงไฟในทันที

ไป๋ชิงเหยียนถือถ้วยน้ำชาที่เย็นเฉียบอยู่ในมือ รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเหลียงอ๋องเป็นคนฆ่าปิดปาก

“ท่านอาสะใภ้รองอย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ หากฉินหล่างเดือดร้อนไปด้วย เขาคงออกมาจากศาล

ต้าหลี่มิได้หรอกเจ้าค่ะ” หญิงสาววางถ้วยน้ำชาในมือลง “ฉินหล่างเป็นคนที่ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงตรัสชมว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ ฮ่องเต้ไม่ทรงทำเรื่องที่ตบหน้าตัวเองหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่าง

ฉินหล่างเห็นแก่ความชอบธรรม ยอมละทิ้งความสัมพันธ์ในครอบครัว ยอมอกตัญญูเพื่อแสดงความจงรักภักดี ข้าเดาว่าเมื่อเรื่องนี้จบลง เขาต้องได้รางวัลแน่นอนเจ้าค่ะ”

องค์หญิงใหญ่พยักหน้า นางรู้จักหลานชายคนนี้ของตัวเองค่อนข้างดี “อาเป่ากล่าวถูกต้องแล้ว เจ้าวางใจเถิด ข้ายังอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมให้สามีของจิ่นซิ่วเป็นอันใดไปหรอก”

หลิวซื่อจึงพยักหน้า กล่าวขอบคุณองค์หญิงใหญ่ทั้งน้ำตา

เดินออกมาจากเรือนฉางโซ่ว ไป๋ชิงเหยียนเดินคล้องแขนต่งซื่อไปยังด้านนอกพลางกล่าวกับนางเสียงเบา “ท่านแม่วางใจให้ข้าดูแลเรื่องภายในจวนทั้งหมดเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลจวนเป็นอย่างดีไม่ให้เกิดความวุ่นวายเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่ไปเตรียมการเรื่องของวันที่สิบดีกว่านะเจ้าคะ”

ต่งซื่อจับมือไป๋ชิงเหยียนพลางลูบอย่างแผ่วเบา “เจ้าเป็นคนรอบคอบ แม่วางใจอยู่แล้ว แม่แค่กลัวว่าเจ้าจะเหนื่อยเกินไปเท่านั้น”

เมื่อแยกจากต่งซื่อ ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถามถงหมัวมัวระหว่างทางที่เดินไปยังโถงทำพิธี “คนที่สั่งให้จับตาดูชุนเหยียนรายงานว่าทางนั้นมีความเคลื่อนไหวใดบ้างหรือไม่”

[1] อ้ายชิง คำที่จักรพรรดิใช้เรียกขุนนางใหญ่