ตอนที่ 134 เกี่ยวพัน

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 134 เกี่ยวพัน
นายท่านรองเจียงสองสามีภรรยาพาเจียงเชี่ยนมาถึงเรือนฉือซิน หัวหน้าสาวรับใช้อาฝูน้อมทักทายเขาสามคน “นายท่านรอง เอ้อร์ไท่ไท่ เหล่าฮูหยินง่วงนอน ท่านได้พักหลับไปแล้วเจ้าค่ะ”

“เหล่าฮูหยินพักหลับแล้วรึ” สีหน้าของนายท่านรองเจียงเต็มไปด้วยความสงสัย

ตอนที่พวกเขาสองสามีภรรยาไปจวนฉังซิงโหวเหล่าไท่ไท่ยังกระปรี้กระเปร่าอยู่เลยนี่

เซียวซื่อชินกับลูกเล่นแบบนี้ในเรือนหลังมามากมาย นางเข้าใจความหมายของเฝิงเหล่าฮูหยินทันที นั่นหมายความว่าเหล่าฮูหยินไม่ต้องการพบเชี่ยนเอ๋อร์นี่เอง

“ในเมื่อเหล่าฮูหยินพักแล้ว งั้นไว้พวกข้าจะมาน้อมทักทายใหม่ก็แล้วกัน” เซียวซื่อดึงนายท่านรองเจียงหนึ่งที แล้วจึงกลับเรือนหยาซิน

เรือนหยาซินไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก มีเพียงบ่าวรับใช้ที่ตั้งใจย่ำเท้าให้เกิดเสียงเบาที่สุด จนสร้างความเงียบสงัดที่ชวนให้รู้สึกอึดอัด

เจียงเชี่ยนร้องห่มร้องไห้ทันทีที่เข้าห้อง “ลูกทำให้คนในจวนอับอายขายหน้า ท่านย่าต้องโกรธลูกแน่ๆ ถึงไม่ยอมพบหน้าลูก…”

สำหรับท่าทีเช่นนี้เจียงเชี่ยนเองก็มีสัมผัสที่ไวเช่นกัน

นายท่านรองเอ่ยตอบอย่างใจร้อน “มาถึงขั้นนี้แล้วร้องไห้ไปจะมีประโยชน์อันใดอีก ท่านย่าของเจ้าเพียงแค่ง่วงนอน จะไม่อยากพบเจ้าได้อย่างไรกัน”

เจียงเชี่ยนน้ำตาไหลพรากเป็นสายน้ำ แม้จะไม่ตอบโต้ แต่ภายในใจกลับเย็นวาบไปหมด

หากเป็นเมื่อสมัยที่นางยังคงความเจิดจรัส ทุกครั้งที่นางกลับมาเยี่ยมที่จวนฝั่งมารดา ท่านย่าเคยปฏิบัติตนกับนางอย่างเช่นนี้วันนี้เมื่อไหร่กัน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ท่านไม่ปลื้มนางเป็นอย่างมาก จึงได้แสดงท่าทีนั้นออกมา

แต่คำพูดเหล่านี้หากพูดออกไปให้ท่านพ่อฟัง คงมีแต่จะทำให้เขาหงุดหงิดเปล่าๆ อย่างไรเสีย บุรุษก็ไม่เหมือนสตรี

“เชี่ยนเอ๋อร์ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป” นายท่านรองเจียงเป็นคนที่ไม่ชอบใช้ความคิดไปกับเรื่องระหว่างสตรี เขาคิดถึงแต่เรื่องใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้

เจียงเชี่ยนหยุดร้องไห้พร้อมกับก้มหน้าเอ่ยออกไป “ลูกจะฟังท่านพ่อกับท่านแม่เจ้าค่ะ”

“พ่อกับแม่คิดว่าจะให้เจ้ากับฉังซิงโหวซื่อจื่อหย่าแบบบังคับ[1] เหมือนกับที่ได้พูดไว้ตอนอยู่ที่จวนโหว”

ฝ่ายชายเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ในฐานะที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงยังไงก็ต้องแสดงท่าทีออกมา แต่เพื่อไม่ให้ถูกบุตรสาวถือโทษโกรธในภายภาคหน้า คำพูดนี้อย่างไรเสียก็จำเป็นจะต้องลองถามดูก่อน

“ท่านพ่อว่าควรทำอย่างไร ลูกก็เชื่อฟังอย่างนั้นเจ้าค่ะ” เจียงเชี่ยนเอ่ยตอบอย่างเชื่อฟัง

“ได้ งั้นข้าจะไปร้องเรียนกับที่ทำการ รอข้าได้รับหนังสือหย่ามาแล้ว ค่อยให้แม่เจ้าไปนับสินเดิมและนำกลับมา หลังจากนั้นเรากับจวนโหวก็จะไม่มีอะไรติดค้างกันอีก” นายท่านรองเจียงไม่อยู่ให้เสียเวลา มือไขว้หลังเสร็จก็เดินจากไป

เจียงเชี่ยนถึงได้วิ่งเข้าไปในอ้อมอกเจียงซื่อและเริ่มร้องโฮ “ท่านแม่ ชีวิตลูกช่างอาภัพเหลือเกิน ต่อจากนี้ไปลูกจะทำอย่างไรดี”

เซียวซื่อตบที่หลังเจียงเชี่ยนพร้อมเอ่ยปลอบใจ “ไว้ข้าจะสั่งให้สาวรับใช้อายุมากที่พูดเก่งๆ นำเรื่องที่เจ้าถูกฉังซิงโหวซื่อทารุณเผยแพร่ออกไป ถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะรู้ถึงความเจ็บปวดที่เจ้าได้รับ พวกเขาจะมีแต่เห็นใจเจ้า เวลานานเข้าเรื่องก็จะซาลง แล้วแม่ค่อยหาตระกูลดีๆ อีกหนึ่งตระกูลให้เจ้าแต่งออกไปนะ”

วิถีประชาของต้าโจวค่อนข้างเปิดกว้าง กับหญิงสาวแล้วยิ่งผ่อนผัน หญิงสาวที่สูญเสียหรือหย่าร้างกับสามี แต่งงานใหม่อีกครั้งหรือแม้กระทั่งแต่งงานใหม่สามครั้งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก

แน่นอนว่าตระกูลสามีใหม่ของหญิงสาวส่วนใหญ่มักแย่กว่าตระกูลแรกไปบ้าง

เจียงเชี่ยนขนลุกวาบในขณะที่ยังอยู่ในอ้อมอกของเซียวซื่อ “ท่านแม่ ลูกอยากอยู่ข้างกายท่านแม่ตลอดไป ไม่อยากออกเรือนอีกแล้วเจ้าค่ะ”

หากพบเจอคนโรคจิตอย่างเฉาซิงอวี้อีก จะสู้ความอิสระในจวนปั๋วได้อย่างไร ตอนนี้นางเพียงต้องการขอความเห็นใจจากมารดาให้มาก ชีวิตในภายหลังในจวนปั๋วถึงจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย

เซียวซื่อพลันนึกขึ้นได้ว่าบุตรสาวเพิ่งพบเจอเรื่องราวเช่นนั้น หากยังไม่อยากแต่งงานใหม่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ จึงเอ่ยตอบทันที “ได้ เรายังไม่คิดไปไกล ลูกอยากอยู่กับแม่นานแค่ไหนก็แค่นั้น”

เจียงเชี่ยนจึงผันเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นยิ้ม

เวลานี้คนทั่วเมืองหลวงต่างให้ความสนใจกับเรื่องที่ฉังซิงโหวซื่อจื่อฆ่าคน เรื่องที่นายท่านรองเจียงร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ว่าต้องการขอหนังสือหย่าถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวางราวกับถูกติดปิด

“ได้ยินหรือไม่ จวนตงผิงปั๋วจะขอบังคับหย่ากับจวนฉังซิงโหว”

“บังคับหย่าดีสิ หนีให้ห่างจากคนเช่นนั้นน่ะถูกต้องแล้ว ข้าได้ยินว่าคุณหนูจวนตงผิงปั๋วแต่งเข้าไปสองสามวันก็ถูกทุบตีเสียแล้ว คุณหนูกายงามดุจดอกไม้ดั่งหยกที่น่าสงสาร บาดแผลรอยฟกช้ำที่มีทั้งสีเขียวและสีม่วง ไม่มีแผลไหนดีขึ้นเลย…”

“ก่อเวรก่อกรรมจริงๆ บุตรสาวใครประสบเรื่องเช่นนี้เข้าก็ล้วนแต่ต้องบังคับหย่าทั้งนั้น แต่อย่างตระกูลใหญ่เช่นนี้ หากคุณหนูนี่จะหาตระกูลที่มีฐานะเท่าเทียมกันก็คงยากแล้วสินะ”

“ข้าได้ยินว่าก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น มีคุณหนูอีกสองคนได้ไปพักอาศัยที่จวนฉังซิงโหวอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าถูกรังแกโดนเอารัดเอาเปรียบอะไรด้วยหรือไม่…”

……

เฝิงเหล่าฮูหยินได้ยินข่าวซุบซิบที่แพร่มาถึงจวนตงผิงปั๋วก็โกรธจนตัวสั่น พลางเรียกเซียวซื่อมาด่าทอยกใหญ่

บุตรสาวที่ได้แต่งงานอย่างโอ่อ่าตกต่ำไม่เป็นท่า เซียวซื่อจึงทำได้เพียงทนฟัง หลังกลับถึงเรือนจึงตำหนิอย่างอดไม่ได้ “เชี่ยนเอ๋อร์ ในเมื่อลูกรู้ว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานนั่นเป็นคนเช่นไร เหตุใดเจ้าถึงยังเรียกให้น้องๆ ไปอยู่ที่จวนโหวอีก”

เจียงเชี่ยนไม่มีวันยอมรับแน่นอนว่านางวางแผนจะทำบางอย่างกับเจียงซื่อ นางตอบกลับอย่างน้อยอกน้อยใจ “ที่ลูกเรียกน้องๆ ไปพักวันสองวัน ก็เพื่อที่จะยืนยันว่าลูกมีหน้ามีตาในเรือนฝั่งมารดา อย่างน้อยก็เพื่อให้เฉาซิงอวี้ระมัดระวังบ้าง…”

เซียวซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ และรู้สึกปวดหัวแทบระเบิดออก

ขอเพียงชังเอ๋อร์ไม่ได้รับผลกระทบต่อการเรียนจากเรื่องราวของเชี่ยนเอ๋อร์ก็พอ

ในความไม่เงียบสงบแบบเดียวกันนี้ ยังมีเจียงเพ่ยคุณหนูหกอีกคนหนึ่ง

นางพักอยู่ในเรือนเดียวกันกับเจียงลี่คุณหนูห้า เมื่อได้ยินข่าวลือด้านนอกแล้วนางวิ่งตรงไปยังห้องเจียงลี่ทันที

“พี่ห้า เรื่องที่ลือกันด้านนอกพี่ได้ยินแล้วใช่หรือไม่”

“เรื่องอะไรรึ”

เจียงเพ่ยกระทืบเท้า “จวนฉังซิงโหวเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พี่ไม่คิดจะส่งสาวรับใช้ไปสืบความเคลื่อนไหวด้านนอกบ้างเลยรึ”

เจียงลี่เม้มริมฝีปาก

แม้จะเกิดความเคลื่อนไหวอย่างไร ก็หาใช่บุตรสาวเรือนรองอย่างนางจะแก้ไขได้นี่ หากจะสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็น มิสู้อยู่นิ่งๆ ยังจะดีเสียกว่า

เจียงเพ่ยถึงกับโมโหจนอยากร้องไห้ “พี่ห้า พี่นี่มันหัวดื้อเสียจริง! ตอนนี้คนด้านนอกลือกันให้ทั่วว่าพวกเราพักที่จวนโหวตั้งหลายวัน ถูกพี่เขยรอง…ถุย ถูกสัตว์เดรัจฉานนั่นเอารัดเอาเปรียบ! ตอนนี้แม้ว่าพวกเราจะกระโดดลงน้ำแม่น้ำหวงเหอ ก็ไม่สามารถลบล้างมลทินออกไปได้[2]แล้ว”

เจียงลี่เอ่ยตอบช้าๆ “เมืองหลวงมีเรื่องคึกคักมากมาย คำพูดเหล่านี้อีกไม่กี่วันก็ซาลงแล้ว ตอนนั้นพี่รองเชิญชวนแทบปฏิเสธไม่ได้ พวกเราในฐานะที่เป็นน้องสาวจะปฏิเสธได้อย่างไรกันเล่า”

เจียงเพ่ยชะงักนิ่ง พลันจับข้อมือเจียงลี่ “หรือว่าพี่รองตั้งใจ”

“ตั้งใจอะไร”

เจียงเพ่ยหลับตาลง พลันมีความคิดมากมายแล่นผ่านในสมอง ราวกับไม่เคยชัดเจนเท่านี้มาก่อน

มิน่า… พี่รองเชิญชวนพวกนางไปพักที่จวนโหวครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงว่าท่าที่ของพี่รองที่มีต่อพี่สี่พิรุธมาก พี่รองแทบจะตามใจพี่สี่ทุกเรื่อง ที่แท้คำตอบนั้นง่ายมาก นั่นก็คือ เป้าหมายต่อไปของฉังซิงโหวซื่อจื่อคือพี่สี่!

เจียงเพ่ยพลันเบิกตากว้าง

“น้องหก เจ้าเป็นอะไรไป” เจียงลี่เอ่ยถามอย่างมึนงง

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะพี่ห้า ข้ากลับห้องก่อนล่ะ” เจียงเพ่ยฝืนยิ้มพร้อมเดินกลับด้วยท่าทางแข็งทื่อ นางรู้สึกเพียงเท้านั้นหนึกอึ้งเป็นพันชั่ง

นางเข้าใจแล้ว เจียงเชี่ยนไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ แต่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!

ผ้าม่านร้อยลูกปัดครึ่งท่อนยังคงขยับไปมาเบาๆ ตามแรงเดินผ่านของเจียงเพ่ย เสียงลูกปัดที่กระทบกันเสียงใสชวนน่าฟัง

เจียงลี่จ้องผ่านม่านลูกปัดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

นี่น้องหกก็คิดได้เช่นนั้นเหมือนกันสินะ

จากนี้ไป การมีคนเช่นนั้นอาศัยอยู่ในจวนปั๋ว นางยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม

ฝั่งศาลาว่าการพระนคร คดีฉังซิงโหวซื่อจื่อฆ่าหญิงสาวสิบคนยังไม่จบสิ้นอย่างสมบูรณ์ การส่งข่าวแจ้งครอบครัวผู้เสียชีวิตจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ไม่สามารถเร่งได้ เจินซื่อเฉิงใช้อากาสนี้สั่งให้คนไปสืบหาข้อมูลของเจียงซื่อ

หญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นในสวนดอกไม้ฉังซิงโหว อย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

———————————————-

[1] หย่าแบบบังคับ ในที่นี้คือารยกเลิกการแต่งงานตามคำสั่งของรัฐใช้เมื่อคู่สมรสคนหนึ่งก่ออาชญากรรมร้ายแรง

[2] กระโดดลงน้ำแม่น้ำหวงเหอ ก็ไม่สามารถลบล้างมลทินออกไปได้ เป็นคำอุปมา หมายถึงไม่ว่าจะแก้ต่างอย่างไร ก็ฟังไม่ขึ้น