ตอนที่ 135 พบกับเจินซื่อเฉิงอีกครา
จากวัดหลิงอู้ถึงจวนฉังซิงโหวล้วนมีแต่เงาของสาวน้อยคนนั้น สัญชาตญาณที่ได้มาจากประสบการณ์การไขคดีมาหลายปี ทำให้เจินซื่อเฉิงไม่สามารถมองข้ามเรื่องนี้ไปได้เลย
ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชารายงานกลับ “ใต้เท้า ข้าน้อยได้ตรวจสอบแล้ว งานเลี้ยงชมดอกไม้ที่จวนฉังซิงโหวในวันนั้น ไม่มีหญิงสาวชนชั้นสูงแซ่เจี่ยงไปร่วมงานด้วยเลยขอรับ”
เจินซื่อเฉิงลูบคลำนวดเครา
ใช้แซ่ปลอม?
เรื่องนี้พอเข้าใจได้ เพราะในครั้งนั้นพี่ชายของสาวน้อยนั่นเกี่ยวพันกับคดีฆาตรกรรมวัดหลิงอู้ หากไม่ต้องการเอ่ยนามจริงก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
เจินซื่อเฉิงใช้สายตาที่มองดูคนโง่มองดูลูกน้อง “ไม่เห็นต้องยุ่งยากเพียงนี้ เดินไปถามหญิงชนชั้นสูงที่สวยที่สุดที่มาร่วมงานในวันนั้นก็ได้”
ลูกน้องสบตากับเจินซื่อเฉิงด้วยความคิดไม่ตก
ไม่เคยคิดเลยว่าใต้เท้าจะเป็นคนเช่นนี้!
เจินซื่อเฉิงรู้สึกโกรธจนหนวดเคราแทบจะชี้ชันขั้น แล้วเขาก็เตะไล่ลูกน้องหนึ่งที “ยังไม่รีบไปตรวจสอบอีก!”
ลูกน้องขานตอบทันที “คุณหนูท่านนั้นแซ่เจียงขอรับ เป็นคุณหนูลำดับที่สี่ของจวนตงผิงปั๋ว”
“จวนตงผิงปั๋ว?” เจินซื่อเฉิงส่งสายตาแวววับพร้อมกับลูบที่นวดอีกครั้ง
ภรรยาของฉังซิงโหวซื่อจื่อมาจากจวนตงผิงปั๋ว ที่แท้สาวน้อยคนนั้นเป็นน้องสาวของภรรยาของฉังซิงโหวซื่อจื่อนั่นเอง
วัดหลิงอู้ งานเลี้ยงชมดอกไม้จวนฉังซิงโหว คุณหนูสี่ผู้มีใบหน้างดงามโดดเด่นและฉังซิงโหวซื่อจื่อผู้ให้ความสำคัญกับการแต่งตัว…
ข้อมูลเหล่านี้เหมือนดั่งเม็ดไข่มุกที่เหลือเพียงต้องใช้เส้นๆ หนึ่งมาร้อยเรียงต่อกัน
เจินซื่อเฉิงนั่งหลับตาอิงกับเก้าอี้ พร้อมกับเคาะนิ้วกับโต๊ะ
คดีต่อคดี สร้างความทรุดโทรมที่ได้จากความเหนื่อยล้าให้กับชายวัยกลางคนๆ นี้ ทรงคิ้วที่หนักแน่นได้ประกบเข้าหากันจนเป็นรอยย่น เห็นได้ว่าเขาเป็นคนที่กัดไม่ปล่อย
ลูกน้องเข้าใจดีว่านี่เป็นเวลาไตร่ตรองของใต้เท้า เขาจึงปิดปากเงียบไม่กล้ารบกวน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จังหวะการเคาะของนิ้วพลันหยุดลงพร้อมกับดวงตาที่ลืมขึ้นของเจินซื่อเฉิง
“ข้าพอเข้าใจแล้วล่ะ!”
“ใต้เท้า…”
“ช่วยจัดการให้ข้าที ข้าต้องการพบคุณหนูเจียงสี่ท่านนั้น”
“ว่าอย่างไรนะขอรับ” ลูกน้องอ้าปากค้าง
นี่มากเกินไปหรือไม่ขอรับใต้เท้า
“มีปัญหาอะไรรึ”
ลูกน้องทำหน้าลำบากใจ “ใต้เท้า นางเป็นถึงคุณหนูตระกูลชนชั้นสูงจวนปั๋ว พวกเราใช้สถานะอะไรไปขอพบล่ะขอรับ”
จะด้วยส่วนตัวหรือส่วนรวม อย่างไรเสียก็ต้องมีสักเหตุผลล่ะน่า
เจินซื่อเฉิงพลันลุกขึ้น “เจ้าไปจวนปั๋วกับข้า คดีนี้ยังไม่จบพอดี จวนปั๋วกับจวนฉังซิงโหวมีความสัมพันธ์ด้านการปรองดองกันอีก ข้าต้องการเข้าใจสถานการณ์บางอย่างจากเหล่าคุณหนูพวกนั้น”
……
จวนตงผิงปั๋วรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ได้รับคำขอพบจากเจินซื่อเฉิง
“ฉังซิงโหวซื่อจื่อถูกตัดสินให้ประหารชีวิตทันทีแล้วมิใช่หรือ แล้วยังจะสอบถามสิ่งใดกับเชี่ยนเอ๋อร์อีก” เซียวซื่อกำผ้าเช็ดหน้าแน่นพร้อมแสดงสีหน้าไม่พึงพอใจ
นายท่านรองเจียงหัวเราะเรียบๆ “เจินซื่อเฉิงกล้าตัดสินประหารชีวิตฉังซิงโหวซื่อจื่อทันที กล้าพูดว่าต่อให้เป็นองค์ชายกระทำผิด โทษนั่นย่อมเท่าเทียมประชาชน เหตุใดเขาจึงไม่สามารถพูดคุยกับเชี่ยนเอ๋อร์ได้เล่า เจ้าอย่าลืมนะว่า เชี่ยนเอ๋อร์เคยเป็นภรรยาอย่างถูกต้องของฉังซิงโหวซื่อจื่อมาก่อน ถึงจะถูกบังคับให้หย่าแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขข้อเท็จจริงนี้ได้ เจินซื่อเฉิงเพียงแค่อยากเข้าใจสถานการณ์จากนางให้มากขึ้นก็เท่านั้น”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้เจ้าค่ะ เชี่ยนเอ๋อร์พบเจอเรื่องแย่ๆ มาตั้งมากมาย ข้าไม่อยากให้นางได้รับสิ่งกระทบใดๆ อีก” เซียวซื่อยังคงยืนกราน
แม้ว่าไม่กล้าคิดสิ่งใดมากกว่านี้ แต่จากความรู้สึกของผู้ที่เป็นแม่ นางไม่ต้องการให้บุตรสาวต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อีก
ความผิดของฉังซิงโหวซื่อจื่อ เชี่ยนเอ๋อร์นั้นไม่รู้ตามที่นางกล่าวมาจริงๆ หรือสัมผัสบางอย่างได้ตั้งแต่แรก… ถ้าผู้ตรวจการคนนั้นตั้งข้อหาฐานความผิดรู้แต่ไม่รายงานกับบุตรสาวของนางเล่า?
นางไม่ให้เชี่ยนเอ๋อร์ต้องมาเจอความเสี่ยงอีกแน่!
เจินซื่อเฉิงมาถึงจวนปั๋วอย่างรวดเร็ว คนที่เข้าไปต้อนรับนอกจากนายท่านรองเจียงแล้ว ยังมีเจียงอันเฉิง
หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีเสร็จแล้ว เจินซื่อเฉิงจึงกล่าวตรงไปตรงมา “สำหรับคดีฉังซิงโหวฆาตกรรมศพหญิงสาวสิบศพ ข้ามีความประสงค์จะขอทำความเข้าใจเหตุการณ์กับเฉาเจียงซื่อ[1]สักหน่อย”
“ใต้เท้าเจิน บุตรสาวของข้าได้หย่าขาดกับฉังซิงโหวซื่อจื่อ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาแล้วขอรับ” นายท่านรองเจียงกล่าวเตือน
เจินซื่อเฉิงหัวเราะ “อ้อ ข้าลืมไป งั้นรบกวนนายท่านรองเชิญบุตรสาวมาให้ข้าที”
“ใต้เท้าเจิน ข้าขอพูดอย่างไม่ปิดบังนะขอรับ บุตรสาวข้าเป็นคนอ่อนแอ ถูกฉังซิงโหวซื่อจื่อทำร้ายมาเป็นเวลานาน แล้วตอนนี้ก็ดันเกิดเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้ขึ้น บุตรสาวของข้ารับเรื่องราวไม่ไหวจนได้ล้มป่วยไป ตอนนี้ยังไม่สามารถพบหน้าใครได้จริงๆ ได้โปรดใต้เท้าเจินช่วยเข้าใจด้วย”
“เช่นนั้นหรือ…” คิ้วของเจินซื่อเฉิงขยับ เขาคิดแล้วเชียวว่าต้องเป็นเช่นนี้
อย่าว่าแต่หญิงตระกูลชนชั้นสูง ถึงจะเป็นหญิงในตระกูลทั่วไป การที่รู้สึกอับอายขายหน้าไม่ต้องการพบหน้าใครก็นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่จุดประสงค์ของเจินซื่อเฉิงที่มาในวันนี้ไม่ใช่นาง เขาจึงไม่ยืนกรานจะพบหน้าอีก พลันเปลี่ยนเป็นอีกคำถาม “ถ้าเช่นนั้น บุตรสาวคนอื่นๆ ของจวนปั๋วเล่า ในวันเกิดเหตุพวกเขาก็อยู่ในเหตุการณ์เหมือนกัน คงไม่ตกใจจนล้มป่วยทุกคนหรอกกระมัง”
นายท่านรองเจียงมองหน้าเจียงอันเฉิงทีหนึ่ง
เจียงอันเฉิงเป็นคนซื่อ เขารู้สึกดีกับเจินซื่อเฉิงที่พิพากษาลงโทษอย่างหนักกับฉังซิงโหวซื่อจื่อ จึงตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม “พวกนางสบายดีขอรับ”
เขาตกใจมากที่ซื่อเอ๋อร์ได้เจอกับเหตุการณ์นั้น เขาจึงได้ซื้อขาหมูสองขาให้ซื่อเอ๋อร์กินเพื่อบรรเทาอาการตกใจ
“งั้นข้าขอสอบถามกับคุณหนูท่านอื่นๆ แล้วกัน”
“ใต้เท้าเจินสอบถามได้เลยขอรับ หากนี่จะสามารถช่วยท่านได้” เจียงอันเฉิงกล่าวอย่างไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
นายท่านรองเจียงเม้มปากอย่างลับๆ
เจ้าพี่โง่ เจอเรื่องแบบนี้แล้วยังไม่รู้จักหลีกเลี่ยงอีก
เจินซื่อเฉิงหัวเราะลั่น “ขอบใจนายท่านปั๋วมาก ไว้ข้ามีเวลาว่างข้าขอเลี้ยงสุราท่านนะ”
“งั้นข้าจะรอสุราของใต้เท้าเจินนะขอรับ”
เจินซื่อเฉิงใช้การดำเนินคดีต้องเป็นความลับเป็นข้ออ้าง ขอให้เจียงอังเฉิงและคนอื่นๆ ออกไป คนแรกที่ได้พบคือเจียงเชี่ยว
เจียงเชี่ยวเข้าไปประมาณชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปก็เดินออกมาพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ ให้กับเจียงซื่อ พลางกระซิบเสียงเบา “น้องสี่ไม่ต้องตื่นเต้นไป ใต้เท้าเจินใจดีมาก”
เจียงซื่อพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป
เจินซื่อเฉิงนั่งตัวตรงและถือแก้วน้ำชาใสเอาไว้ เมื่อเห็นเจียงซื่อเดินเข้ามาก็ยิ้มอ่อนให้ “คุณหนูเจียง ได้พบหน้ากันอีกแล้วนะ”
เวลานี้ ในห้องโถงว่างเปล่าไม่มีคนอื่น เจียงซื่อย่อตัวน้อมทักทายอย่างผ่าเผย “เมื่อตอนลาจากกันที่วัดหลิงอู้ ใต้เท้าบอกว่าไว้พบกันใหม่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นที่เรือนนี้”
เจินซื่อเฉิงหัวเราะลั่นพลางชี้ไปยังเก้าอี้ตรงข้าม “คุณหนูช่างเป็นคนพูดตรงไม่อ้อมค้อมเสียจริง เชิญนั่งก่อน”
เจียงซื่อนั่งลงด้วยสีหน้าแววตาที่นิ่งเรียบ
คนตรงข้ามเคยเห็นความฟันคมปากคล่องของนางที่วัดหลิงอู้มาแล้ว ฉะนั้นนางก็มิต้องแสร้างทำเป็นอ่อนแออีก
“ข้าคิดไม่ถึงเลยคุณหนูจะเป็นบุตรสาวในจวนปั๋ว”
เจียงซื่อหัวเราะเบาๆ “ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าไม่ใช่ผู้บัญชาการทหารอำเภอ แต่เป็นผู้ตรวจการแห่งศาลาว่าการพระนคร”
หากตอนนั้นรู้ว่าเขาคือเจินชิงเทียน นางคงจะดูความคึกคักในที่ลับๆ แทน ถ้าเช่นนั้นก็จะไม่มีการได้พบหน้าในวันนี้
ใช่ เจียงซื่อมั่นใจมาก จุดประสงค์การเดินทางมายังจวนปั๋วในวันนี้ที่ว่าขอพบเจียงเชี่ยนนั้นคือข้ออ้าง ความจริงแล้วอยากขอพบนางต่างหาก
เจินชิงเทียนท่านนี้สายตาแหลมคมดุจเปลวไฟ บางทีเขาอาจเดาอะไรบางอย่างออกแล้วก็เป็นได้
เจินซื่อเฉิงจิบชาหนึ่งอึก แล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณหนูเจียงมีความคิดเห็นอย่างไรกับคดีของฉังซิงโหวซื่อจื่อ”
“ฉังซิงโหวซื่อจื่อทำผิดก็สมควรได้รับโทษ ให้โทษเป็นความตายยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ การตัดสินอย่างเด็ดขาดของใต้เท้านั้นน่าชื่นชมยิ่งนัก คงมีชื่อเสียงให้เลื่องลือได้เป็นร้อยๆ ปี”
เจินซื่อเฉิงหัวเราะ “คุณหนูไม่จำเป็นต้องกล่าวยอกันเช่นนี้ คุณหนูคงเป็นเป้าหมายต่อไปของฉังซื่อโหวซื่อจื่อใช่หรือไม่”
———————————————
[1] เฉาเจียงซื่อ หมายถึงคนแซ่เจียงที่แต่งเข้าตระกูลเฉา ในทีนี้กล่าวถึงเจียงเชี่ยน