ตอนที่ 24-2 ฉีกมัน

ท่านย่าใหญ่จับมือเว่ยหยางอย่างแผ่วเบาแล้วกล่าวว่า

“เว่ยหยาง ตอนนี้เจ้าได้กลับมาอยู่บ้านแล้ว จากนี้ไปจะมิมีผู้ใดกล้ามารังแกเจ้าอีกต่อไป”

คำกล่าวของท่านย่าใหญ่บ่งบอกถึงความเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจ จากนั้นหลี่เว่ยหยางจึงจับมือท่านย่าของนางแน่นขึ้น

ประโยคนี้ช่างถูกใจเว่ยหยางนัก ตอนนี้นางกลับมาอยู่บ้านแล้ว และจากนี้ไปจะมืมีผู้ใดกล้ามารังแกนางอีก

หากการเป็นคนดีหมายถึงการถูกรังแกและถูกเหยียบย่ำ เช่นนั้นเว่ยหยางก็ยินดีที่จะเป็นคนชั่ว!

เมิงชิยิ้มอย่างอบอุ่น พร้อมกับดวงตาที่แสดงถึงความห่วงใยอย่างแท้จริง

“เด็กโง่ เมื่อใดที่เจ้าเหงา ก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

หลี่เว่ยหยางรู้ดีว่า คำกล่าวที่ท่านย่ากล่าวเหล่านี้ จะเป็นหลักประกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง

เมื่อกลับมาถึงที่พักของตนเอง จึงเห็นจื่อหยานกำลังยืนรอต้อนรับอยู่ด้านหน้าตำหนัก

หลี่เว่ยหยางเหลือบมองไปโดยรอบ และได้เห็นว่า ฮัวเหม่ย อยู่ข้างนอกพร้อมกับไม้ปัดฝุ่นลายดอกไม้ และกำลังทำท่าปัดฝุ่นอยู่

เว่ยหยางทำเป็นมิได้ใส่ใจขณะที่นางเดินผ่านเข้าไปด้านใน

ในมือของไป๋จื่อและ โม่ฉูมีผ้าไหมที่งดงามมากสองผืน

เพียงมองไปยังผ้าไหมเหล่านั้นแค่ครั้งเดียว ก็สามารถทำให้เกิดความพึงพอใจขึ้นมาได้

หลี่เว่ยหยางสั่งให้บ่าวทั้งสองนำผ้าไหมวางเอาไว้บนโต๊ะ

จากนั้นจึงสั่งให้โม่ฉูออกไปนอกหัองทันที ขณะที่ไป๋จื่อยังคงยืนอยู่ที่เดิม

เว่ยหยางวางมือลงบนผ้าไหมอย่างแผ่วเบา เเละสัมผัสได้ถึงความหรูหราและปราณีต ภายใต้นิ้วของนาง

จากนั้นจึงกล่าวออกมาสองคำจากมุมปากนั้น

“ฉีกมัน!”

ไป๋จือมิได้ทำตามคำสั่งนั้นในทันที แต่นางยืนนิ่งขณะที่อยู่ในอาการตกตะลึง

หลี่เว่ยหยางมองไปยังไป๋จื่อ และกล่าวออกมาอย่างใจเย็นว่า

“เหตุใดยังยืนเฉยอยู่อีก รีบฉีกพวกมันเดี๋ยวนี้”

แม้ว่าไป๋จือจะรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่นางก็ยังทำตามคำสั่งของเว่ยหยาง

นางจึงดึงปิ่นปักผมออกมาจากศีรษะและใช้มันตัดผ้าไหมออกจากกัน

ในมิช้า ผ้าไหมที่งดงามก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน

ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นจากทิศตะวันออกส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในบริเวณห้อง ทำให้ห้องนั้นสว่างไสว และเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

บนโต๊ะยังคงมีผ้าไหมที่งดงามอีกหนึ่งผืนวางอยู่ ในขณะที่เสียงฉีกขาดนั้นยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง

และริมฝีปากของหลี่เว่ยหยางก็โค้งเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความพึงพอใจ

ไป๋จื่อเชื่อฟังคำสั่งของเว่ยหยางอย่างซื่อสัตย์

หลังจากนั้นมินานต่อมา ผ้าไหมทั้งสองผืนก็ได้ถูกทำลายจนมิสามารถจดจำสภาพเดิมของมันได้

และเหลือแต่เพียงกองเศษผ้าเท่านั้น

เมื่อทำลายมันไปแล้ว ไป๋จื่อจึงเกิดความรู้สึกกลัว

“คุณหนู ผ้าไหมเหล่านี้ถูกส่งมาโดยคุณชายใหญ่ และจะต้องใช้มันในช่วงปีใหม่ จะเกิดอันใดขึ้นหาก . .”

หลี่เว่ยหยางกระพริบตาและกล่าวออกมาว่า

“ไป๋จื่อ หากล่องเก็บของมาแล้วเก็บกองผ้าไหมที่ถูกทำลายนี้เอาไว้”

“บ่าวเข้าใจแล้ว”

ไป๋จื่อย่อตัวลง และรีบก้าวเดินออกไปในทันที

ขณะนี้ภายในใจของไป๋จื่อยังคงมีความสงสัยว่า เหตุใดจึงต้องทำลายผ้าไหมเหล่านั้นด้วย?

ในตอนนี้ฮัวเหม่ยใช้ข้ออ้างในการซักผ้า และเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกเดินทางไปตำหนักฟู่อันหยวนอย่างเร่งรีบ

นางรู้สึกกระสับกระส่าย เพราะกลัวการถูกลงโทษ เนื่องจากแผนการในครั้งที่แล้วล้มเหลว

แต่สิ่งที่เห็นคือ ฮูหยินใหญ่มิได้มีเจตนาที่จะดุนาง เพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า

“ฮัวเหม่ย ข้าได้ให้คำแนะนำแก่เจ้า ในการปฏิบัติต่อคุณหนูสามแล้ว”

ฮัวเหม่ยพบว่าตนเองผ่อนคลายมากขึ้น และคิดว่า นับว่าเป็นโชคดีที่ฮูหยินใหญ่มิได้โกรธเคือง

และแม่นมหลินได้เดินเข้ามาหา

ฮัวเหม่ย จากนั้นจึงจับมือนางอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า

“เจ้าเข้าใจความหมายในคำกล่าวของนายหญิงหรือไม่?”

ภายในใจของฮัวเหม่ยมีความรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

แม่นมหลินกล่าวอีกว่า

“นายหญิงสามารถยกโทษให้เจ้าได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่จะมิมีครั้งที่สองเด็ดขาด!”

ฮัวเหม่ยรู้สึกได้ถึงมือของแม่นมหลินที่ด้านหลัง และรู้สึกราวกับว่า มีงูกำลังเลื้อยเข้ามาฉกนาง

ฮัวเหม่ยร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด

เพราะแม่นมหลินกำลังใช้มือนั้นหยิกที่หลังของนางอย่างรุนแรง

จนรู้สึกราวกับว่า เล็บของหญิงผู้นี้กำลังจิกเข้าไปในผิวหนังของฮัวเหม่ย

ฮัวเหม่ยรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากจนอดมิได้ที่จะกรีดร้อง เพื่อขอความเมตตา

“เข้าใจเเล้ว! บ่าวจะจับตาดูคุณหนูสาม โดยมิให้คลาดสายตาเลย!”

ขณะนี้มือของฮูหยินใหญ่กำลังลูบไล้ไปบนผ้าไหมปะการังสีแดงด้วยใบหน้าที่มีเมตตา ขณะที่ปากของนางโค้งเป็นรอยยิ้ม