บทที่ 127 ทะเลาะวิวาท

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีทำท่ายักไหล่ และไม่คิดที่จะตอบคำถาม

ปาจรีย์ปาดน้ำตาที่ซึมออกมาจากหางตา หัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้นว่า “ โอ้แม่เจ้า ฉันหัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว พิชญา นี่เธอทักคนผิดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ยังอยากจะร่วมงานกับคุณจรณ์อีกเหรอเนี่ย !”

“เธอหมายความว่าไง?”พิชญาหัวใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ

ทักคนผิด?

หรือว่า……

พิชญารีบหันกลับไปมองที่เลขาฯเสกข์ ถามด้วยเสียงแหลมไปว่า“ คุณไม่ใช่คุณจรณ์!”

“ผมเป็นเลขาของคุณจรณ์ครับ”เลขาฯเสกข์ยกยิ้ม

พิชญากำหมัดแน่น แล้วตะโกนไปว่า“ นายไม่ใช่คุณจรณ์แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ?”

ทำให้เธอต้องขายหน้าต่อหน้าวารุณีกับปาจรีย์สองคนนี้ได้

เลขาฯเสกข์ทำท่าแบมือออกอย่างไม่เจตนา “ คุณผู้หญิง ไม่ใช่ว่าผมไม่บอก แต่คุณไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดเลยด้วยซ้ำ ผมจะพูดอยู่สองสามครั้งแต่ก็ถูกคุณพูดขัดตลอด แล้วจะให้ผมทำยังไง ?”

“ก็นั้นนะสิ”ปาจรีย์พูดเสริม “เป็นเพราะเธอที่เข้ามา ไม่ถามให้ชัดเจน ตอนนี้ยังจะมาโทษคนอื่น ไม่คิดบ้างเหรอว่าเป็นความผิดของหรือเปล่า คนแบบเธอ ใครจะกล้าร่วมงานด้วย”

เลขาฯเสกข์พยักหน้าหงึกๆ“คุณปาจรีย์พูดถูก ต้องขออภัยคุณผู้หญิงคนนี้ด้วย เราไม่สามารถร่วมงานกับคุณได้”

“เพราะอะไรคะ?”พิชญารู้สึกคาใจ คิ้วผูกกันเป็นปมแน่นจนสามารถฆ่ายุงให้ตายได้

เลขาฯเสกข์ชี้ไปทางวารุณี “เพราะเราได้ตัดสินใจแล้วว่าเราจะร่วมงานกับคุณวารุณี”

“อะไรนะ?”พิชญาเสียงสูง แล้วจ้องเขม็งไปที่วารุณีด้วยความโกรธ

วารุณีมองกลับไปที่เธอ แล้วยิ้มออกมา

รอยยิ้มนี้ในสายตาของพิชญา คือรอยยิ้มที่โอ้อวดและท้าทายเธอ

เธอโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว กำไปที่กระเป๋าถือแน่น แล้วหันหลังเดินออกไป

เธอไม่ปล่อยมันไปแบบนี้ง่ายๆแน่ เธอต้องให้วารุณีได้รู้ ว่าจุดจบของการแย่งงานเธอนั้นมันเป็นยังไง

แล้วยังคุณจรณ์อะไรนั้นอีกคน เธอจะทำให้เขาต้องเสียใจกับการตัดสินใจของเขาในวันนี้

“วารุณี เธอดูท่าทีที่อิจฉาตาร้อนของพิชญานั้นสิ น่าเกลียดจริงๆ!” ปาจรีย์มองไปยังทิศทางที่พิชญาเดินไป แล้วพูดกับวารุณี

“พอได้แล้ว เขาเป็นคนยังไง เธอก็น่าจะรู้ดีนี่น่า จะไปไม่สนใจเขาทำไม”วารุณีวางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นยืน ยกยิ้มให้เลขาฯเสกข์แล้วพูดขึ้นว่า“เลขาฯเสกข์ พรุ่งนี้เราจะรอคุณที่สตูดิโอนะคะ ตอนนี้คงต้องขอตัวก่อนแล้ว”

“ได้ครับ ทั้งสองคนเดินทางปลอดภัยนะครับ”เลขาฯเสกข์เดินมาส่งที่ประตู แล้วเปิดประตูให้พวกเขา

ปาจรีย์พยุงวารุณีเดินออกไป และกำลังจะไปยังห้องพยาบาลเพื่อตรวจดูอาการของข้อเท้า

เมื่อพวกเธอมาถึงที่หน้าลิฟต์ ทั้งสองคนก็เห็นว่าพิชญายังอยู่ไม่ได้ไปไหน และกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าลิฟต์ตัวหนึ่ง

เมื่อเห็นพวกเธอเดินมา พิชญาก็ดูราวกับตกใจมาก รีบวางสายไปทันที

เมื่อเห็นภาพนี้ ปาจรีย์ก็หรี่ตาลง “โอ้ พอเรามาถึงก็รีบวางสาย คงไม่คิดจะทำเรื่องอะไรผิดๆอีกใช่ไหม ?”

“เกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบ!”พิชญาโต้กลับเสียงดัง

ทันใดนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก และเธอก็กำลังจะก้าวขาเดินเข้าไป

ปาจรีย์สีหน้าเคร่งขรึมแล้วร้องห้ามเอาไว้ “หยุด!”

พิชญาหยุดลงอย่างไม่รู้ตัว แล้วหันกลับมา “ทำไม?”

“ทำไมเหรอ ? ก็ต้องคิดบัญชีนะสิ !”ปาจรีย์ยิ้มเยาะออกมา จับร่างของวารุณีไปพิงไว้กับกำแพง “วารุณีเธอยืนอยู่ที่นี่ก่อน ”

วารุณีรู้ว่าเธอคิดจะทำอะไร ตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง แล้วมือค้ำยันไปที่ผนัง เอาร่างพิงไปกับกำแพง

เมื่อปาจรีย์เห็นว่าวารุณียืนนิ่งแล้ว ก็ปล่อยมือแล้วเดินไปหาพิชญา ง้างมือขึ้นแล้วตบไปที่ใบหน้าของหญิงสาว

เสียงดังเพี้ยะ พิชญาโดนตบจนมึน มือกุมไปที่ใบหน้าสักพักก็ได้สติ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “เธอกล้าตบฉันเหรอ?”

วารุณีเองไม่คิดว่าปาจรีย์จะป่าเถื่อนได้ขนาดนี้ เสียงตบที่ดังอย่างชัดเจนนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปาจรีย์ใช้แรงไปมากแค่ไหน

“ฉันตั้งใจตบเลยละ เธอกล้าที่จะหยดน้ำมันที่หน้าห้องน้ำ ทำให้วารุณีลื่นล้ม ฉันก็กล้าที่จะตบเธอ”ปาจรีย์สะบัดมือที่ตบจนปวด

ดวงตาของพิชญาไหววูบไปเพราะความตกตะลึง ไม่นานก็นิ่งไป“เธอเอาอะไรมากล่าวหาว่าฉันเป็นคนทำ มีหลักฐานเหรอ ?”

“หลักฐานก็อยู่ในกระเป๋าของเธอไง !”วารุณียื่นมือออกมา แล้วชี้ไปที่กระเป๋าของพิชญา

ดวงตาของปาจรีย์เป็นประกาย ใช้จังหวะที่พิชญาไม่ทันระวัง แย่งกระเป๋าของเธอมา

“นี่เธอคิดจะทำอะไร เอากระเป๋าของฉันคืนมานะ !”สีหน้าของพิชญาเปลี่ยนไปทันที กรีดร้องเสียงแหลม

ปาจรีย์ไม่ได้สนใจเธอ เปิดกระเป๋าซิปออก แล้วเทของทุกอย่างในกระเป๋าลงบนพื้น

“นี่ไงอันนี้”ปาจรีย์ก้มตัวลงหยิบขวดเล็กๆขวดหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นไปตรงหน้าของพิชญา “ น้ำมันนี่ไง ตอนนี้จะแก้ตัวอะไรอีกไหม ”

รูม่านตาของพิชญาหดเกร็ง ใบหน้าซีดเผือด ยื่นมือมาจะแย่งมันกลับ

ปาจรีย์หมุนไปรอบๆ เพื่อหลบเธอ “ อยากแย่งคืนเหรอ ฝันไปเถอะ ”

“ตายซะเถอะ!”พิชญาที่ถูกแกล้งจนหัวปั่นดวงตาแดงก่ำ กัดฟันด้วยความกรุ่นโกรธมุ่งข่วนไปที่ใบหน้าของปาจรีย์

“ปาจรีย์ ระวัง!”วารุณีรู้ว่าพิชญาถูกปั่นจนโมโห และจะลงมือแล้ว เธอขมวดคิ้ว แล้วรีบร้องเตือนออกไป

“วางใจเถอะ เธอสู้ฉันไม่ได้หรอก !”ปาจรีย์ยกยิ้มอย่างมั่นใจ โยนขวดน้ำมันหอมระเหยนั้นให้กับวารุณี ถกแขนเสื้อขึ้นแล้วประมือกับพิชญาทันที

ทั้งสองคนฟัดกันจนเป็นก้อนกลม ทั้งข่วนหน้าแล้วก็ดึงทึ้งเส้นผม จนวารุณีอดเป็นห่วงไม่ได้

โดยเฉพาะยิ่งเห็นใบหน้าของปาจรีย์ ที่ถูกเล็บยาวๆของพิชญาข่วนจนเป็นรอยเล็บลากยาวหลายจุด ก็เป็นกังวลขึ้นมา“ปาจรีย์ อย่าสู้กับเขาอีกเลย !”

“ไม่ได้ วันนี้ถ้าฉันไม่ตบหล่อนจนสลบ ก็อย่ามาเรียกฉันว่าปาจรีย์เลย ”ปาจรีย์ในตอนนี้ก็หน้าดำหน้าแดง พูดอะไรก็ไม่ฟังแล้ว

วารุณีกลัวว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เพื่อนสาวเธอก็จะยิ่งเจ็บหนัก ไม่มีทางเลือก เธอจึงต้องผละออกจากกำแพง แล้วเข้าไปสงบศึก

แต่ผลคือทันทีที่กระโดดขาเดียว ร่างกายก็เสียหลัก ล้มลงไปข้างหน้า

ช่วงที่ความกลัวท่วมท้นอยู่เต็มใบหน้านั้น ร่างกายที่กำลังจะกระแทกลงกับพื้น ก็มีมือมือหนึ่งยื่นมาจากทางด้านหลัง เกี่ยวเอวเธอเอาไว้ แล้วดึงรั้งร่างของเธอขึ้นมา

แผ่นหลังของวารุณีชนเข้ากับอกแกร่ง และกลิ่นมิ้นที่คุ้นเคย ทำให้เธอไม่ต้องหันกลับไปมอง ก็รู้ว่าคนข้างหลังคือใคร

นัทธี!

นัทธีขมวดคิ้ว มองไปยังใบหน้าที่สะดุ้งตกใจของวารุณี ถามเสียงทุ้มไปว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณประธานนัทธีที่ช่วยฉันไว้”วารุณีส่ายหัว ไม่มีกะจิตกะใจสนใจว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง บีบมือแน่นแล้วมองไปที่ผู้หญิงสองคนตรงหน้าอย่างร้อนใจ“ประธานนัทธี คุณช่วยห้ามพวกเขาทีเถอะค่ะ !”

นัทธีรับคำ แล้วเหล่มองไปที่พิชญากับปาจรีย์ตะโกนเสียงทุ้ม “หยุด!”

เมื่อได้ยินเสียงของเขา พิชญาก็หยุดลงทันที

เมื่อปาจรีย์เห็นเธอไม่สู้แล้ว ก็หยุดลงด้วยเช่นกัน แต่ปากก็ยังไม่หยุดที่จะพูดแขวะ“ทำไม ไม่สู้แล้ว ? ยอมแพ้แล้ว ?”

พิชญาจ้องมองปาจรีย์อย่างอาฆาต ไม่ได้โต้ตอบอะไร จากนั้นก็หันหลังกลับ มองไปยังนัทธี

เมื่อเห็นเขายืนอยู่กับวารุณี แล้วยังกอดเอวของวารุณี ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที “นัทธี พวกคุณกำลังทำอะไร แล้วคุณไปกอดเธอทำไม!”

พิชญาชี้ไปที่วารุณีด้วยความอิจฉา

วารุณีเองก็ตกใจ เพิ่งมารู้สึกตัวว่าถูกนัทธีกอดอยู่ ทันใดนั้นก็รีบดันมือของนัทธีออกทันที

เมื่อไม่มีมือของนัทธีไว้หนุน เธอที่ยืนกระต่ายขาเดียวอยู่ก็เริ่มยืนไม่นิ่ง ร่างกายโอนเอนไปมาอีกครั้ง

“ปาจรีย์”วารุณียื่นมือไปหาปาจรีย์

และปาจรีย์ก็เข้าใจความหมายของเธอในทันที เดินก้าวไปข้างหน้าแล้วประคองเธอเอาไว้

วารุณีถอนหายใจอย่างโล่งอก

เมื่อนัทธีเห็นว่าเธอไม่เป็นไรแล้ว มือที่ลอยเคว้งกลางอากาศก็ค่อยๆกำเป็นกำปั้น จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

พิชญาเดินเข้าไปหานัทธี เงยหน้าขึ้น มองไปที่เขาราวกับจะร้องไห้ออกมา“พูดมาสินัทธี ว่าคุณกอดเธอทำไม!”

นัทธีเม้มปาก พูดอย่างหมดความอดทนไปว่า“เธอเจ็บขา”

“ต่อให้เธอจะเจ็บขามากแค่ไหน มันก็ไม่ใช่หน้าที่คุณที่จะต้องไปประคองเธอ คุณเป็นคู่หมั้นของฉัน คุณกอดผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าฉัน แล้วคุณเอาฉันไปไว้ที่ไหน ?”พิชญาขบริมฝีปากแน่นแล้วพูดต่อว่าออกมา