บทที่ 128 ยอมรับผิด

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

นัทธีขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยปากพูด

ปาจรีย์ก็พูดตัดหน้าขึ้นมา “นี่ เธอจะคิดเล็กคิดน้อยเกินไปแล้ว ประธานนัทธีเองก็พูดอยู่ ว่าวารุณีเจ็บขายืนไม่นิ่งเลยเข้าไปประคอง ไม่ได้ทำอะไรกันสักหน่อย เธอพูดเหมือนพวกเขาทำอะไรที่ผิดต่อเธออย่างนั้นแหละ? พูดก็พูดเถอะ ที่วารุณีเจ็บขาก็ไม่ใช่เพราะเธอหรอกเหรอ และที่คู่หมั้นเธอมาช่วยประคองก็ถือว่าชดใช้แทนเธอไง !”

“นี่เธอ……”

พิชญาอับอายจนกลายเป็นโกรธ กำลังจะตอบโต้ แต่นัทธีก็ดึงตัวเธอออกมา ก้มมองไปที่ขาของวารุณี จากนั้นก็ไล่มองขึ้นไป แล้วหยุดลงตรงที่ใบหน้าของเธอ “พิชญาเหรอ?”

ริมฝีปากแดงของวารุณีเผยอออก ตอบรับอืมกลับมาคำหนึ่ง

อากาศรอบกายนัทธีเย็นเยือก จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่พิชญา

พิชญาใบหน้าซีดเผือด รีบปฏิเสธออกไปทันที“นัทธี คุณอย่าไปฟังพวกเขา ไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้”

“อะไรคือไม่มีเรื่องแบบนี้ เพราะเธอไม่อยากให้เราประมูลงานได้ เลยหยดน้ำมันที่หน้าห้องน้ำ จนทำให้วารุณีลื่นล้มได้รับบาดเจ็บ และนี่ ก็คือหลักฐาน!”ปาจรีย์หยิบน้ำมันหอมระเหยจากมือของวารุณี แล้วยื่นให้นัทธีได้ดู

นัทธีรู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นของพิชญา เพราะเขาเองก็เคยเห็นมันมาก่อน

อีกทั้งน้ำมันหอมระเหยยี่ห้อนี้ เป็นยี่ห้อที่พิชญาชื่นชอบมาก

“ที่เขาพูดมันจริงไหม?”ริมฝีปากบางของนัทธีเม้มเข้าหากันจนกลายเป็นเส้นตรง จ้องมองไปที่พิชญาอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก

เมื่อพิชญาต้องเผชิญหน้ากับเขาในอารมณ์แบบนี้ หัวใจก็เต้นแรง ดวงตาหลุกหลิกไปมาไม่กล้าสบตาเขา“ไม่……ไม่ใช่แน่นอน คนที่มีน้ำมันหอมระเหยแบบนี้มีถมเถไป แล้วที่หยดน้ำมันหน้าห้องน้ำ จะเป็นฝีมือฉันได้ยังไง ”

“งั้นเราก็มาพิสูจน์กันเป็นไง ?”วารุณีหยักคิ้ว จู่ๆก็พูดขึ้นมา

นัทธีพยักหน้าเห็นด้วย “ได้ ให้คนไปตรวจดูน้ำมันที่หน้าห้องน้ำ ดูว่ามันจะเหมือนกับอันนี้หรือเปล่า ”

“เป็นความคิดที่ดี!”ดวงตาปาจรีย์เป็นประกาย“หากพิสูจน์ออกมาว่าตรงกัน คราวนี้พิชญาคงจะดิ้นไม่หลุด ”

เมื่อพิชญาได้ยินคำนี้ แข้งขาก็อ่อนแรง ก้นจ้ำเบ้าทรุดลงกับพื้นทันที

พฤติกรรมนี้ของเธอ ก็บอกเป็นนัยได้แล้วว่า เธอยอมรับความผิดนี้

ใบหน้านัทธีแน่นิ่ง “เธอก็ยังคงดื้อด้านไม่ปรับปรุงตัว”

“นัทธี……”พิชญามองไปที่เขาอย่างหวาดกลัว

นัทธีหรี่ตาลงอย่างกรุ่นโกรธ “ไสหัวไปซะ!”

ร่างทั้งร่างของพิชญาสั่นเทา รีบลุกขึ้นจากพื้น หยิบกระเป๋าแล้วเดินเข้าลิฟต์ไป

เมื่อปาจรีย์เห็นเธอไปแล้ว ก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “ประธานนัทธี คุณปล่อยเธอไปง่ายๆแบบนี้เหรอ เธอทำร้ายวารุณีนะ คุณไม่คิดจะจัดการอะไรกับเธอเลยเหรอ ?”

วารุณีเองก็มองไปที่นัทธีเช่นกัน

ใบหน้าที่เย็นเยือกของนัทธีแผ่วลง“ผมจะจัดการให้พวกคุณพอใจอย่างแน่นอน ”

“จริงเหรอคะ งั้นเราจะคอยดูแล้วกัน ” ปาจรีย์ที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ในใจก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

วารุณีมองไปที่โทรศัพท์ “ประธานนัทธี นี่เราก็เสียเวลามามากแล้ว งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวผมไปส่ง”นัทธีมองลงไปที่เท้าของเธอ

ยังไม่ทันที่วารุณีจะได้ตอบ ปาจรีย์ก็รีบพยักหน้าให้อย่างดีใจ“ ดีเลยค่ะดีเลย”

“ปาจรีย์!”วารุณีขมวดคิ้ว จากนั้นก็ส่ายหน้าให้กับนัทธี “ไม่ต้องหรอกค่ะประธานนัทธี เรากลับกันเองได้ ไม่รบกวนแล้ว ไปกันเถอะปาจรีย์”

“โอ้……”ปาจรีย์พยุงเธอแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์อีกตัว

นัทธีมองไปที่ประตูลิฟต์ที่ค่อยๆปิดลง พร้อมกับใบหน้าเกรงใจและท่าทีรักษาระยะห่างของวารุณี มือที่ล้วงในกระเป๋าก็กำแน่นขึ้นมา

เธอจงใจเว้นระยะห่างจากเขา!

แม้เขาจะรู้สาเหตุที่เธอเว้นระยะห่างนี้ แต่เมื่อเห็นเธอทำมันต่อหน้า ในใจเขาก็รู้สึกค่อนข้างไม่พอใจอยู่เช่นกัน

ภายในลิฟต์ ปาจรีย์มองไปที่วารุณี “วารุณี ฉันรู้สึกเธอเมินเฉยกับประธานนัทธีมาก ระหว่างพวกเธอเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ?”

วารุณีดวงตาไหววูบ ยกยิ้มแผ่ว“ระหว่างฉันกับเขามันก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องนั้นมันจบสิ้นไม่มีอีกแล้ว เป็นเพียงแค่คนรู้จักทั่วไปเท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นได้ ”

“แต่ฉันรู้สึกว่าระหว่างพวกเธอมันมีอะไรแปลกๆ เหมือนเธอกำลังเว้นระยะห่างกับเขา”ปาจรีย์เกาไปที่ผมสั้นๆของตัวเอง

วารุณีพยักหน้า“ ใช่ เขาเป็นคนมีคู่หมั้นแล้ว ฉันไม่ควรที่จะอยู่ให้ห่างเขาเหรอ ?”

“นี่……”ปาจรีย์ก็ไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมา

วารุณีจิ้มไปที่แก้มของเธอ“พอเลย แทนที่จะมานินทาเรื่องของฉันกับประธานนัทธี เธอดูหน้าตัวเองซะก่อน อย่าทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ล่ะ”

“อะไร?”เมื่อปาจรีย์ได้ยินคำนี้ ก็รีบหยิบกระจกอันเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้วสำรวจดูใบหน้าของตัวเอง

เมื่อเห็นใบหน้าตัวเองมีคราบเลือดจากรอยข่วนที่พิชญาทำเอาไว้ ทันใดนั้นก็กรีดร้องออกมา

วารุณีเอามือปิดหู “เธอเป็นอะไร!”

ปาจรีย์โกรธจนหน้าดำหน้าแดง“นังชั่ว ทำหน้าฉันจนเป็นรอยขนาดนี้ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ !”

วารุณีหัวเราะออกมาอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “พอได้แล้ว เธอไม่มีสิทธิ์ไปว่าเขานะ เธอเองก็ใช่ย่อยตะกุยไปที่หน้าเขาไม่หยุดพอกัน รอยแผลบนใบหน้าเขาก็ไม่น้อยไปกว่าเธอหรอก พอได้แล้ว ลิฟต์ถึงแล้ว ไปห้องพยาบาลกัน ”

“อืม”ปาจรีย์พยักหน้าหงิกๆ เก็บกระจกเข้ากระเป๋าแล้วพยุงวารุณีเดินออกจากลิฟต์

เมื่อตรวจเช็กทั้งใบหน้าและขาเสร็จ ก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว

ปาจรีย์ส่งวารุณีกลับไปที่โรงพยาบาล แล้วเธอเองก็กลับไปที่สตูดิโอ

เมื่อวรยาเห็นขาของวารุณีได้รับบาดเจ็บ ก็ปวดใจจนน้ำตาไหล“ นังสารเลวพิชญามันสมควรตาย ทำลูกบาดเจ็บขนาดนี้ได้”

วารุณียิ้มปลอบ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ ไม่กี่วันก็หายแล้ว”

หมอบอกแล้ว ข้อเท้าที่เคล็ดนี้ไม่ได้รุนแรงอะไร แค่เอ็นตึงนิดหน่อยเท่านั้น พักไม่กี่วันก็หาย

วรยาพยุงเธอให้นั่งลง แล้วพูดตำหนิไปว่า“ ต่อไปนี้แม่จะไม่ปล่อยให้พวกลูกๆต้องอยู่พ้นสายตาของแม่อีก ไม่เห็นแค่แป๊บเดียว ก็พากันเกิดอุบัติเหตุไปหมด ”

วารุณีก้มหน้าลงอย่างคนรู้สึกผิด“ พอแล้วค่ะแม่ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว วันนี้อาการของอารัณเป็นยังไงบ้างคะ ?”

“ก็ดีขึ้นมาก ตอนเช้าออกไปเดินเล่นมา เมื่อกี้ก็เพิ่งจะกินยาแล้วหลับไป ” วรยาตอบพร้อมยื่นน้ำผึ้งชงดื่มแก้วหนึ่งให้เธอ

วารุณีรับมาแล้วยกขึ้นดื่ม สายตาก็จับจ้องมองไปที่เด็กน้อยบนเตียง ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

ในตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น

วรยาลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู เดินเข้ามา พร้อมพงศกรที่สวมใส่ชุดกาวน์สีขาว

พงศกรที่กำลังจะเอ่ยทักทายวารุณี ก็เหลือบไปเห็นเท้าขวาที่ถูกผ้าพันแผลพันอยู่ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนก็นิ่งไป “วารุณีขาเธอไปโดนอะไร?”

“ข้อเท้าพลิกน่ะ”วารุณียิ้มแล้วตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

วรยาส่งเสียงหึออกมา“ ก็เพราะพิชญาไง อยากให้วารุณีถอนตัวออกจากการประมูล เลยหยดน้ำมันลงไปที่หน้าห้องน้ำเพื่อให้วารุณีลื่นล้ม ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!”

“พิชญา……”พงศกรทวนชื่อนี้เสียงเบา แววตาหลังเลนส์แว่น ฉายแววเย็นวาบที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว แล้วกลับมามีความอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างที่เคยมี“หมอว่าไงบ้าง?”

“ไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่วิ่งหรือกระโดดก็พอแล้ว”วารุณีจับไปที่ข้อเท้าแล้วตอบกลับไป

พงศกรพยักหน้า วางผลไม้ที่เอาติดมือมาด้วยลง “เออนี่วารุณี วันนี้ที่ฉันมา มีเรื่องอยากจะปรึกษาเธอ”

“อืมว่ามาสิ”วารุณีมองไปที่เขา

พงศกรนั่งลงข้างๆเธอ “คือแบบนี้ คนไข้ของฉันที่ต่างประเทศ ช่วงนี้เขาหายดีเป็นปรกติแล้วและกำลังจะจัดงานแต่งงาน เชิญฉันไปร่วมงานด้วย แต่ถ้าฉันไปคนเดียวมันก็จะยังไงๆอยู่เลยว่าอยากจะชวนเธอไปเป็นเพื่อนด้วย”

“อ๋ออย่างนี้เอง แต่ตอนนี้สภาพฉันเป็นแบบนี้ ฉันคงไม่ ……”

“ไปเถอะ!”วรยาถือผลไม้ที่ล้างสะอาดแล้วเดินเข้ามา พูดขัดจังหวะการปฏิเสธของวารุณี

วารุณีขมวดคิ้ว“ แม่ค่ะ หนูจะไปได้ยังไง สภาพของอารัณ ……”

“อารัณยังมีแม่อยู่ทั้งคน น้องชายเราพอรู้ว่าอารัณประสบอุบัติเหตุ ก็ให้แม่อยู่เป็นเพื่อนลูกที่นี่นานๆ เพราะเรื่องของอารัณ ช่วงนี้หนูเองก็ดูเครียดๆ ไปพักผ่อนกับพงศกรก็ดีเหมือนกัน ” วรยาหยิบแอปเปิลสองลูกขึ้นมา ยื่นไปให้กับพงศกรและวารุณีคนละลูก

พงศกรรับแอปเปิลมา แล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็พูดเสริมคำพูดของวรยา“คุณน้าพูดถูก วารุณี ถือซะว่าไปเที่ยวแล้วกัน ไปไม่นานก็กลับแล้ว”

วารุณีมองไปที่คนทั้งสองอย่างจนใจ สุดท้ายก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า“พูดมาซะขนาดนี้แล้ว จะให้ปฏิเสธยังไงอีก ? ”