บทที่ 140 ทำสัญญาหมั้นหมาย

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงแล้ว องค์ชายสามกำลังนั่งดื่มชาอยู่ริมหน้าต่าง ท่าทางของเขาไม่ได้รีบเร่งหรืออ้อยอิ่งแต่อย่างใด อีกทั้งยังดูเหมือนกับว่าเขากำลังรอให้นางตื่นขึ้นก่อนจะออกเดินทางต่อ

เขามีไข้มาตั้งหลายวัน แต่กลับหายดีเป็นปลิดทิ้งในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร หรือก่อนหน้านี้เขาจะเคยเป็นสมาชิกของหน่วยพิฆาตวิญญาณมาก่อน

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยเห็นใครที่มีความสามารถในการฟื้นตัวสูงขนาดนี้มาก่อน

แต่นางก็ไม่สนใจ นางบิดขี้เกียจทั้งที่ยังนอนอยู่บนเตียง และมองไปยังไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “ในเมื่อองค์ชายอาการดีขึ้นแล้ว เช่นนั้นเราก็มาคุยเรื่องค่ารักษากันดีกว่า”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ และทำเพียงแค่เลิกคิ้วมองนาง เขาเอนกายพิงเก้าอี้ไม้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน พร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้างเล็กน้อย ท่าทางของเขาสง่าผ่าเผยและสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว

มือที่ว่างเปล่าของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบลูกคิดเล็กๆ ออกมาจากมิติสวรรค์ นางดีดลูกคิดจนเกิดเป็นเสียงดัง ‘แกร็กๆๆ’ “สิบตำลึงสำหรับการดูดเลือดพิษหนึ่งครั้ง ข้าดูดเลือดไปประมาณเจ็ดครั้งเห็นจะได้ รวมกับการผ่าตัดเล็กนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องขอคิดแปดสิบตำลึง ส่วนค่าเช็ดตัวลดไข้ให้ท่านทั้งคืน ข้าจะคิดท่านแค่หนึ่งร้อยตำลึงก็แล้วกัน ในนั้นมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เหลือรวมอยู่ด้วย สรุปแล้วเป็นเงินจำนวนหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึง” เมื่อคำนวณทุกอย่างมาถึงตรงนี้ นางก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “หนึ่งร้อยแปดสิบตำลึงหรือ ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนว่าขาดอะไรไปอย่างนะ อ๋อ จริงสิ ข้าป้อนยาให้ท่านเม็ดหนึ่งด้วย ข้าจะคิดเงินกับท่านยี่สิบตำลึงสำหรับยาเม็ดนั้น ปัดเศษขึ้นเป็นจำนวนเต็ม” ทันทีที่นางพูดจบ มือเรียวขาวไร้จุดด่างพร้อยทั้งสองข้างของนางก็ยื่นออกมาโดยไม่รอฟังคำตอบของชายหนุ่ม “ทั้งหมดสองร้อยตำลึง จ่ายมาเพคะองค์ชาย”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนิ้วมืออันบอบบางที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีดำสนิทที่ซ่อนลึกอยู่ภายในตวัดขึ้น แสงสะท้อนจากแสงแดดคล้ายจะทอประกายอยู่ในดวงตาดอกท้อเรียวรีของเขา ช่างเจิดจ้าระยิบระยับเสียจริง

สองร้อยตำลึงหรือ ผู้หญิงคนนี้กล้าเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง[1]จริงๆ

เปลือกตาของเขาเลิกขึ้น และกวาดมองไปยังลูกคิดสีเงินหน้าตาธรรมดาในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าขาดแคลนเงินหรือ”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกว่านางยังมีโอกาสที่จะได้เงินนั้นอยู่ นางจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ วางถ้วยชาในมือลง “เงินที่ข้าได้จากการลงพนันข้างเจ้า ดูเหมือนจะมีมูลค่ามากกว่าสองร้อยตำลึงอีกนะ”

“องค์ชายตั้งใจจะเอาบัญชีพวกนั้นมาสะสางด้วยหรือ” ดวงตากระจ่างใสของเฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา “มันคนละเรื่องกัน”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอย่างพิจารณา ผ่านไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากบางดูเย็นชานั้นจึงโค้งขึ้นเล็กน้อย “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่”

“อะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอยู่เสมอว่าองค์ชายสามผู้นี้มีตัวตนอยู่เพื่อดูถูกสติปัญญาของนาง

ตาทั้งสองของข้างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย็นชาแต่ก็แจ่มชัด “ในจักรวรรดิจ้านหลง ภรรยาและบุตรจะเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดหลังจากแต่งงาน”

มือที่ยื่นออกไปของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักกึก องค์ชายสามหมายความว่าในอนาคต นางจะเป็นคนดูแลเงินทองทั้งหมดของเขาหรือ

นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องบอกว่า บางครั้งองค์ชายสามที่ไม่สนใจเรื่องลาภยศเงินทองนั้นก็มีมุมน่ารักกับเขาเหมือนกัน

เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะเก็บลูกคิด แล้วก็ชะงักไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “ว่ากันว่าในวังปีศาจนั้นเต็มไปด้วยสมบัติหายากมากมาย เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า”

“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบเบาๆ สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเขาไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง

เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มดีดลูกคิดอีกครั้งหนึ่ง “อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าสมัยที่ท่านยังเด็ก อดีตฮ่องเต้เคยประทานเหล็กล้ำค่าให้ท่านเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ท่านเอาไว้เล่นแก้เบื่อ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพยักหน้า แม้จะเป็นเพียงแค่ท่าทางการยกชาขึ้นจิบ แต่ท่าทางเช่นนั้นก็สามารถบอกได้ว่าเขาได้รับการอบรมมาดีเพียงใด

เฮ่อเหลียนเวยเวยหงุดหงิด นี่ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน!

ทั้งที่นางกับเขาต่างก็เป็นขยะเหมือนกัน แต่องค์ชายสามกลับได้วัตถุดิบในการสร้างอาวุธพวกนั้นเป็นของเล่น

ส่วนนาง นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธคืออะไร! และยังเอาแต่ไล่ตามมู่หรงฉางเฟิงเพื่อขอให้เขามาเล่นกับนางอีก

เมื่อลองคิดดูให้ดีแล้ว

แบบนี้จะนับว่านางได้แต่งงานกับ ‘ชายที่สมบูรณ์แบบ’ หรือเปล่า นี่มันไม่ได้หมายความว่านางก้าวมาจนถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้วหรอกหรือ

ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการแต่งงานตามข้อตกลง

ต่อให้ทุกอย่างจะเป็นเรื่องโกหก

แต่เมื่อลองมองดูอีกที มันก็ไม่เลวทีเดียว

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่คุ้นเคยกับการอยู่เฉยๆ และเกาะคนอื่นกิน

นางผละมือออกจากลูกคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชาย ท่านมอบวัตถุดิบในการสร้างอาวุธทั้งหมดที่ท่านมีให้ข้าดีหรือไม่ ข้าจะได้เอามันไปใช้ แล้วพวกเราก็จะได้มีกำไรด้วยกัน แบ่งกันคนละครึ่ง”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคล้ายกับจะหันมองนาง มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นเส้นโค้ง ก่อนจะกลายเป็นรอยยิ้มอันลึกล้ำ “ได้”

“เช่นนั้นพวกเรารีบเขียนสัญญากันเลยดีไหม” ระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดเช่นนั้น นางก็เดินไปที่โต๊ะ แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาก่อนจะเริ่มลงมือเขียน

อันที่จริง เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าลายมือของตัวเองดูไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยถ้าพิจารณาจากการที่นางเคยเป็นสายลับในโลกยุคปัจจุบัน ฝีมือการเขียนพู่กันของนางก็ถือว่าผ่านเกณฑ์อยู่พอสมควร เพราะหมึกก็ไม่ได้เลอะเปรอะเปื้อนแต่อย่างใด

แต่มันก็ยังทำให้องค์ชายสามผู้สูงส่งเย็นชา และสมบูรณ์แบบราวกับเทพถลึงตามองนาง “เจ้าใช้ลายมือเช่นนี้ผ่านการสอบของสำนักไท่ไป๋มาได้หรือ”

“อืม” เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น ก็มีรอยหมึกเปื้อนอยู่บนใบหน้าของนาง “ท่านไม่คิดว่าลายมือของข้าเป็นงานศิลปะหรือ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเยาะเย้ย “มันน่าเกลียดเสียจนไม่มีใครอ่านออกเชียวล่ะ”

เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมองค์ชายสามถึงได้เลือกนางเป็นพระชายา นอกจากผิวสีดำเตะตาของนางแล้ว ก็ยังเป็นเพราะองค์ชายสามต้องการจะเหยียบย่ำนางเป็นครั้งคราว เพื่อแสดงความเหนือกว่าของตัวเขาเองได้ด้วย!

ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงโน้มตัวลงมาหานาง แล้วใช้มือของเขาจับมือที่ถือพู่กันของนางเอาไว้ พร้อมกับลากมันเบาๆ แต่ละขีดมีเอกลักษณ์และชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง เส้นแต่ละเส้นนั้นสามารถนำไปเป็นตัวอย่างให้กับหนังสือสอนเขียนพู่กันในยุคปัจจุบันได้เลยทีเดียว พวกมันเป็นธรรมชาติและลื่นไหล เหมือนดั่งหมู่เมฆที่ล่องลอยและสายธารที่รินไหล แต่ก็ยังมีความดุดันแฝงอยู่เล็กน้อย

ท่าทางที่เขาใช้จับพู่กันนั้นช่างแน่วแน่มั่นคง เป็นท่าทางสง่างามที่มีมาแต่กำเนิด อีกทั้งยังสามารถควบคุมทุกสิ่งได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ตัวหนังสือที่เขียนออกมาทรงพลังยิ่งกว่าตัวหนังสือทั่วไป

แต่ท่าทางที่เขายืนอยู่นี้กลับดูราวกับว่าเขากำลังกอดร่างของนางเอาไว้จากด้านหลัง เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว และคิดที่จะทำให้ตัวเองเป็นอิสระจากท่านี้

“อย่าขยับ” อกของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแทบจะแนบสนิทกับแผ่นหลังของนาง คิ้วยาวของเขาขมวดมุ่นอย่างใช้สมาธิ ปลายนิ้วเรียวยาวของเขาจรดลง พร้อมกันนั้นน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ก็ดังขึ้นอย่างชัดเจนว่า “เสร็จแล้ว”

จากนั้นเขาก็ยืนตัวตรงพลางมองดูนาง ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้าอยู่

เป็นอย่างที่คิด นางคิดมากเกินไปแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยคลี่ยิ้มพร้อมกับค่อยๆ ตรวจสอบข้อความในสัญญานั้นทีละข้อ บางข้อนางก็เป็นคนเขียน บางข้อก็ถูกองค์ชายสามเพิ่มเข้ามา แต่ไม่ว่าอย่างไรเนื้อหาหลักก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือการที่พวกนางจะเป็นคู่รักกันเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่เป็นคนแปลกหน้าของกันและกันเมื่ออยู่ลับหลังผู้อื่น

แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือเรื่องความใหญ่โตจนเกินเหตุของพิธีอภิเษกสมรส เขากับนางจำเป็นต้องป่าวประกาศให้ทั้งโลกรู้ด้วยหรือ

เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องเงื่อนไขข้อสุดท้ายเขม็ง พร้อมกับกัดปลายพู่กันไปด้วย แล้วนางก็เลิกคิ้วขึ้น “ไม่เห็นจำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นเลยมิใช่หรือ จัดงานแต่งงานแบบธรรมดากว่านี้ดีไหม”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วปรายตามองนางด้วยสายตาราบเรียบ “วันแต่งงานของคนอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จะเหมือนกับคนธรรมดาได้อย่างไร”

เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”

“เช่นนั้นก็ปล่อยมันไว้เช่นนี้ก่อน แล้วหลังจากนี้หากคิดอะไรได้อีก เราก็ค่อยมาเพิ่มเอาทีหลังก็ได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองส่วนที่เกี่ยวกับข้อผูกมัดระหว่างคู่แต่งงานอย่างตั้งใจ คำว่า ‘ไม่มี’ คือคำเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนเอาไว้ นางจึงใช้หมึกสีแดงประทับลายนิ้วมือของตนด้วยความสบายใจ จากนั้นนางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะคว้ากระดาษแผ่นนั้นขึ้น พร้อมกับถอยห่างจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย

คิ้วของชายหนุ่มยกขึ้นครึ่งหนึ่ง พร้อมกับมองผิวบางส่วนที่เผยออกมาจากด้านหลังคอของนางในยามที่นางก้มหน้าลง มันช่างขาวนวลยิ่งนัก อีกทั้งยังดูนุ่มนิ่มจนแทบจะสามารถกัดออกมาได้อย่างง่ายดาย

เมื่อคิดได้ดังนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่สามารถละสายตาได้เลย เขาเฝ้ามองมันครั้งแล้วครั้งเล่ามาตั้งแต่เมื่อคืนเห็นจะได้…

——————————————

[1] สิงโตอ้าปากกว้าง หมายถึง เรียกข้อเสนอเยอะ ได้คืบจะเอาศอก