“อะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ องค์ชายสามถึงมองนางด้วยสายตาเช่นนั้น
แต่สัญชาตญาณของนางก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัว ขณะเดียวกันนางก็ถอนมือออกไปโดยไม่รู้ตัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเร็วกว่านางไปหนึ่งก้าว ขณะนั้นเอง เขาก็ใช้นิ้วประทับหมึกสีแดงแล้วกดลงบนกระดาษคุณภาพดี ทำให้เห็นลายนิ้วมือของเขาได้อย่างชัดเจน
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าเรื่องราวทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ผ่อนคลายทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อคลายกล้ามเนื้อคอของตนเอง พร้อมกับพูดว่า “ข้าจะไปเก็บของก่อน”
สังเกตได้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็แสดงว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของนางได้รับการแก้ไขแล้ว
เหตุผลที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดถึงเรื่องสัญญาการแต่งงาน เพราะข้อแรก องค์ชายสามนั้นเป็นคนที่รับมือได้ยาก หากเขากลายเป็นพันธมิตรกับนาง เรื่องต่างๆ ก็จะจัดการได้ง่ายดายขึ้นมาก ข้อสอง เพราะนางยังไม่ลืมว่านี่เป็นยุคสมัยโบราณ หากอดีตฮ่องเต้ไม่พอใจนางเพราะเห็นแก่องค์ชายสาม และจับนางไปแต่งงานกับคนอื่นที่เขาพอใจแทน นางก็จะไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่งได้เลย เพราะนั่นถือว่าขัดกับพระราชโองการ นางจึงต้องเริ่มคิดหาแนวทางรับมือไว้ล่วงหน้า
ตอนนี้ นางได้ทำสัญญาแล้ว และในอนาคต ทุกอย่างก็จะต้องเป็นไปตามข้อตกลง
ทั้งนางและองค์ชายสามต่างก็ยินดีที่จะยินยอมในข้อตกลงนี้
ดังนั้น เมื่อพวกเขาทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ในอนาคต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็จะยังคงสามารถออกจากวังได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้เลยว่าตอนที่นางเข้าไปในห้องนอนเพื่อเก็บของนั้น
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จะเอื้อมมือไปหยิบกระดาษเขียนคุณภาพดีขึ้นมา ภายในดวงตาที่ลึกซึ้งของเขานั้นดูเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งที่สามารถแทงทะลุหน้าอกของผู้คนได้
ในกระดาษแผ่นนั้นไม่มีแม้แต่คำเดียวที่ระบุอย่างชัดเจนว่านางต้องการจะรักษาระยะห่างกับเขา
เฮ้อ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดริมฝีปากบางลงพร้อมกับจับพู่กันแน่น ก่อนจะเขียนเพิ่มคำว่า ‘หยุด’ ใต้หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับข้อผูกมัดของการแต่งงาน หลังจากเพิ่มคำว่า ‘หยุด’ ต่อท้ายคำว่า ‘ไม่มี’ ประโยคนั้นจึงกลายเป็น ‘ไม่มีหยุด’ ซึ่งหมายความว่าความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของพวกเขาจะไม่มีวันสิ้นสุดลงนั่นเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางพู่กันลง และม้วนกระดาษคุณภาพดีแผ่นนั้นด้วยท่าทางผ่อนคลายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น…
หมอกด้านนอกหน้าต่างได้จางหายไปแล้ว สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือแสงสีเหลืองนวลจากพระอาทิตย์ที่กำลังจะตก
ภายในท้องพระโรงของวังหลวง
มู่หรงอ๋องที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง กำลังดึงหน้ากากสีดำออกจากใบหน้าของเขา ท่าทีของเขาดูเคร่งขรึมขณะที่เขาโยนมันทิ้งไปด้านข้าง “พวกเราทำพลาด เขายังไม่ตาย ทั้งยังไม่มีองครักษ์ลับที่พวกเราส่งตัวออกไปกลับมาได้สักคน”
“ถ้าเช่นนั้น เราควรทำอย่างไรดี” จู่ๆ ผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงก็เงยหน้าขึ้น ปิ่นปักผมมุกที่ห้อยอยู่บนศีรษะแกว่งไกวไปพร้อมกับศีรษะของนางที่ขยับไปมา “ท่านพ่อ พวกเราไม่มีเวลาแล้ว สุขภาพของฮ่องเต้แย่ลงเรื่อยๆ เขารักสนุกมากเกินไป ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องตายบนร่างของผู้หญิงสักคนเป็นแน่ ส่วนเหยียนเอ๋อร์ก็ยังเด็กเกินไปและไม่รู้เรื่องอะไร หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์จริงๆ จากนิสัยของอดีตฮ่องเต้ ตาแก่ผู้ไม่ยอมตาย คนที่คอยเลี้ยงดูเอาใจใส่ไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนั้นแล้ว บัลลังก์นี้จะต้องตกเป็นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างแน่นอน ข้าไม่อาจรอให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้”
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากผู้ที่คุมวังหลังคนปัจจุบัน ‘มู่หรงฮองเฮา’ นั่นเอง นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น จนปลายนิ้วมือแดงก่ำเผยให้เห็นความคิดอาฆาตแค้นอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน “เขาจะต้องตาย”
“ฮองเฮาโปรดวางใจ” มู่หรงอ๋องลดเสียงลงต่ำ พร้อมกับเผยแววตาดุร้าย “พวกเราฆ่าเขาในเมืองอู่ซิวไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่สามารถฆ่าเขา หลังจากที่กลับมายังเมืองหลวงแล้วไม่ได้”
มู่หรงฮองเฮากำผ้าเช็ดหน้าของตนเองแน่น พร้อมกับขมวดคิ้วเรียวยาวของตนเอง “ได้ข่าวว่าไอ้เฮงซวยนั่นไม่ได้พาใครไปกับเขาเลยแม้แต่คนเดียวไม่ใช่หรือ แล้วมันเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีองครักษ์ลับสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้เลยสักคน”
“คนของพวกเราไปประจันหน้ากับนายน้อยหาน” มู่หรงอ๋องกำมือซ้ายของตนเองเอาไว้ “คราวหน้า เขาจะไม่โชคดีแบบนี้อีกแล้ว”
ดวงตาของมู่หรงฮองเฮาหรี่ลง “ท่านพ่อมีแผนดีๆ อะไรอยู่หรือ”
“เจ้ายังจำสาวใช้ที่เคยวางยาพิษเขาในปีนั้นได้หรือไม่” มู่หรงอ๋องยกริมฝีปากบางของตนเองขึ้นช้าๆ “องค์ชายสามปฏิบัติต่อนางต่างออกไปจากคนอื่นๆ อย่างมาก”
คิ้วเรียวยาวของมู่หรงฮองเฮาเลิกขึ้น “ปีนั้น อดีตฮ่องเต้กำจัดนางไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วนางยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน”
“เพราะว่าพ่อช่วยชีวิตนางเอาไว้อย่างไรเล่า” มุมปากของมู่หรงอ๋องค่อยๆ ยกขึ้น เผยให้เห็นเงาของรอยยิ้มที่แฝงอยู่ภายใน “ตัวหมากดีๆ เช่นนั้น ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่”
มู่หรงฮองเฮาเองก็ยิ้มด้วยเช่นกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็สบายใจ ข้าได้ยินมาว่าสาวใช้คนนั้นมีหน้าตางดงามมาตั้งแต่เกิด คำกล่าวที่ว่าโฉมงามก็เหมือนกับยาพิษนั้นไม่ได้ผิดเลยแม้แต่น้อย ไอ้คนเฮงซวยนั่นไม่ยอมเลือกพระชายาอยู่หลายปี อาจเป็นเพราะนางที่เป็นราวกับถ่านไฟเก่าก็ได้ หึ”
“อยากรู้นักว่าตอนที่ทั้งสองคนกลับมาพบกัน พวกเขาจะมีท่าทีเช่นไร” มู่หรงอ๋องไล่นิ้วไปบนโต๊ะไม้อย่างช้าๆ ก่อนจะทุบมัน “ให้นางฆ่าเขาอีกครั้งก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าหลังจากที่ได้เจอนาง องค์ชายสามอาจจะตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่เขาก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น”
นัยน์ตาของมู่หรงฮองเฮาเผยประกายร้ายกาจราวกับเป็นยาพิษ “ถ้าเช่นนั้น ก็ปล่อยให้เขามีปากเสียงกับคนที่อดีตฮ่องเต้โปรดปราน เพื่อจะได้ไปหาคนที่ครอบครองหัวใจของเขา เช่นเดียวกับที่ข้าทำกับกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”
“แม้ว่าจะยากอยู่สักหน่อย แต่จากที่นางเข้าใจองค์ชายสาม มันก็ไม่น่าจะยากเกินไปนัก” มู่หรงอ๋องวางถ้วยกระเบื้องเคลือบในมือลง
เขาเชื่อว่าในหัวใจของทุกคน จะมีคนๆ หนึ่งที่ฝังรอยจารึกอยู่ในนั้น และสำหรับองค์ชายสาม สาวใช้ที่เคยติดตามเขามานานหลายปีในวังอันหนาวเหน็บคนนี้ ก็คือคนๆ นั้นที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้
เขายังไม่ลืมว่าในสมัยนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้องค์ชายสามได้ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใครก็ตาม
แต่สาวใช้คนนี้กลับได้รับการปฏิบัติที่ดีเป็นพิเศษมาโดยตลอด
มู่หรงอ๋องยกริมฝีปากบางของตนเองขึ้น ยิ่งปฏิบัติเป็นพิเศษ หลังจากที่พวกเขาเติบโตขึ้นก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้น ไม่ว่าอย่างไร ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่มีพลังปราณใดๆ ไม่ว่าเขาจะเฉลียวฉลาดเพียงใด แต่เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น มีเพียงอดีตฮ่องเต้ที่จัดการได้ยากเท่านั้นเอง…
ณ สถานที่ที่ไม่ห่างไกลนักทางทิศตะวันตกของวังหลวง
“เป็นอย่างไรบ้าง” อดีตฮ่องเต้ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปขณะที่เขาลุกขึ้นยืนและเอ่ยถามองครักษ์เงาที่รีบกลับเข้ามาอย่างร้อนรน “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเจวี๋ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่”
องครักษ์คนนั้นคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ และรายงานโดยไม่ตกหล่นเลยสักคำ “อดีตฮ่องเต้โปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายกำลังเสด็จกลับมายังเมืองหลวงแล้ว และจะมีคนติดตามเขามาตลอดการเดินทาง เรื่องเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว ดีแล้ว” อดีตฮ่องเต้ดูเหมือนแก่ขึ้นอีกสิบกว่าปี เขานั่งบนที่นั่ง และยกมือขึ้นมาปาดหน้าผากของตนเอง “เจ้าได้สอบถามถึงคนที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเจวี๋ยเอ๋อร์หรือไม่”
องครักษ์เงาเงยหน้าขึ้น “ทูลอดีตฮ่องเต้ ตามรายงานแจ้งว่าตอนนั้นนายน้อยหานก็อยู่ที่นั่นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“นายน้อยหานจริงๆ หรือ” อดีตฮ่องเต้หรี่ตาลงอย่างสงสัย ลักษณะการเคลื่อนไหวที่รุนแรงและรวดเร็วเช่นนั้นดูไม่เหมือนกับเป็นวิธีการของเด็กคนนั้นเลย แต่เหมือนกับ…
อดีตฮ่องเต้เลิกคิ้ว “เจ้าไปที่สำนักไท่ไป๋ และสังเกตดูว่าช่วงนี้ เจวี๋ยเอ๋อร์ไปทำอะไรมาบ้าง แล้วมารายงานข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงาหลุบตาลง
“เดี๋ยวก่อน” ดวงตาของอดีตฮ่องเต้หรี่ลง “เกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวจากตระกูลเฮ่อเหลียนคนนั้นหรือ”
องครักษ์เงาชะงักงัน อดีตฮ่องเต้ถามเขาถึงเรื่องนี้ แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่ได้รับใช้องค์ชายสามโดยตรง และแม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่รับใช้องค์ชายสาม เขาก็คิดว่าตัวเองไม่อาจคาดเดาความคิดขององค์ชายสามได้เลย…
อดีตฮ่องเต้ตระหนักได้ว่าตนเองถามผิดคน จึงโบกมือ “ไม่เป็นไร เจ้าไปได้แล้ว” บางที เขาอาจจะคิดมากเกินไป
ช่วงนี้ เจวี๋ยเอ๋อร์อาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายเกินไป เขาจึงต้องการหาของเล่นให้ตัวเองก็เท่านั้น…