ตอนที่ 141 ต่อรองราคากับมนุษย์ป้า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 141 ต่อรองราคากับมนุษย์ป้า

หลินม่ายวางลูกท้อสีแดงสดที่หั่นเป็นชิ้นแล้วไว้บนจานที่เธอนำติดมาด้วย ก่อนจะใช้มีดหั่นมันเป็นชิ้นเล็กพอดีคำอีกครั้ง แล้วเชื้อเชิญให้คุณป้าทั้งหลายมาลองชิม

พอคุณป้าทั้งหลายได้ชิมแล้ว ก็พบว่ามันมีเนื้อสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำทั้งยังหวานมากอีกด้วย หลายคนต่างถูกอกถูกใจ

ถึงแม้ว่าลูกท้อและลูกไหนของหลินม่ายจะขายในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป แต่คุณป้าทั้งหลายก็ยังรวมพลังกันเพื่อต่อรองราคา กดดันให้เธอยอมขายในราคาห้าเฟินต่อหนึ่งชั่ง

หลินม่ายตั้งราคาขายผลไม้ในราคาชั่งละไม่กี่เหมา แต่ลูกค้ายังคิดต่อราคาให้เหลือชั่งละห้าเฟิน นี่ชักจะมากเกินไปแล้ว

ถึงแม้หลินม่ายจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เธอก็ยังแสดงสีหน้าเรียบเฉยไม่เปิดเผยอารมณ์ใดออกมา

เธอพูดพลางทำสีหน้าขมขื่น “ฉันรับซื้อผลไม้พวกนี้มาจากหมู่บ้านแถบชนบท คิดค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้ว ฉันสามารถขายในราคาต่ำสุดได้แต่ชั่งละห้าเหมาจริง ๆ ค่ะ พวกคุณกดราคากันขนาดนี้ ฉันก็ขาดทุนย่อยยับน่ะสิคะ”

คุณป้าพวกนั้นไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด ต่อให้หลินม่ายจะพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารเห็นใจขนาดไหน พวกหล่อนก็ยังยืนกรานจะต่อรองอยู่ดี

บางคนถึงกับขู่ว่าถ้าเธอไม่ยอมลดราคาให้ก็จะไม่ซื้อเสียเลย

คุณป้าคนหนึ่งจีบปากจีบคอพูด “ลูกท้อกับลูกไหนพวกนี้ขืนทิ้งไว้ข้ามคืนก็จะช้ำเสียไปเปล่า ๆ ถ้าเธอไม่ขายให้พวกฉันให้หมดเสียตั้งแต่คืนนี้ วันถัดไปก็ไม่สดใหม่แล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่พ้นต้องขายแบบลดราคาอยู่ดี สู้ขายให้พวกฉันในราคาถูกซะตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็ช่วยลดปัญหาไปได้บ้าง”

ในที่สุดหลินม่ายก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายล่าถอย “ถ้าอย่างนั้นฉันค่อยไปเร่ขายที่ถนนเส้นอื่นเอาก็ได้ ฉันขายของก็เพราะต้องการกำไรนะคุณ ต้องขอโทษพวกคุณทั้งหลายด้วย ฉันลดราคาให้ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ”

พูดจบแล้ว เธอก็ก้าวขึ้นไปบนรถแทรกเตอร์ เตรียมขับออกไป

ช่วงกลางคืนไม่มีหน่วยเทศกิจออกลาดตระเวน เธอสามารถเอาของไปเร่ขายตามริมถนนได้ตราบเท่าที่ต้องการ

ส่วนเหตุผลที่เธอไม่ใช่วิธีเอาผลไม้พวกนี้ไปเร่ขายตามท้องถนนตั้งแต่แรก ก็เพราะเธอกลัวว่าพวกอันธพาลจะเข้ามาสร้างความวุ่นวายอีก

ถ้าเธอเร่ขายไปตามเขตชุมชนต่าง ๆ ก็จะลดความเสี่ยงข้อนี้ลงไป

ไม่คิดเลยว่าคุณป้าพวกนี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไป เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปเร่ขายตามท้องถนนเท่านั้น

เมื่อคุณป้าเห็นว่าเธอกำลังจะขับรถออกไป พวกหล่อนก็รีบวิ่งออกไปขวางหน้ารถแทรกเตอร์ทันที

“อะไรกันแม่หนูคนนี้ เธอขายของแบบนี้ได้ยังไง ไม่พอใจข้อเสนอก็หาเรื่องขับรถหนีเนี่ยนะ”

หลินม่ายถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ข้อเสนอของคุณเอาเปรียบฉันเกินไป ในเมื่อฉันขายให้ใครไม่ได้ ขืนอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”

“พวกฉันเองก็ไม่อยากซื้อในราคาที่เธอตั้งไว้เหมือนกัน ถ้าเธอเสนอราคาที่สมเหตุสมผลตั้งแต่แรก ใครบ้างจะไม่อยากซื้อผลไม้จากเธอล่ะ”

หลินม่ายตอบกลับจากใจจริง “ราคาที่ฉันตั้งไว้เมื่อกี้นี้ก็ใช่ว่าไม่สมเหตุสมผลนี่คะ ฉันเปล่าคิดราคาเกินความเป็นจริงเสียหน่อย ฉันเองก็อยากขายให้หมดเหมือนกัน จะได้รีบกลับบ้าน”

เธอแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเสนอว่า “ในเมื่อพวกคุณต้องการซื้อในราคาที่ถูกกว่านี้ งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าคุณซื้อสิบชั่งฉันจะแถมให้อีกครึ่งชั่งเลย”

คุณป้าเจ้าเล่ห์เหล่านั้นก็พากันโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง “ใครจะซื้อครั้งละสิบชั่งกัน นี่มันผลไม้นะ ไม่ใช่ข้าวเสียหน่อย!”

ชุมชนแออัดในยุคสมัยนี้ล้วนอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ละครัวเรือนมีสมาชิกห้าถึงหกคนกันทั้งนั้น!

ผลไม้สิบชั่ง ช่วยกันกินแค่สองสามวันก็หมดเกลี้ยงแล้ว มีหรือซื้อแล้วจะเหลือทิ้ง พวกหล่อนแค่พยายามหาเหตุผลมาต่อรองก็เท่านั้นแหละ

หลินม่ายไม่ได้โต้เถียงกับคุณป้าทั้งหลายเรื่องนี้ เธอยักไหล่แบมือ “ถ้าคุณซื้อเยอะฉันถึงจะยอมลดราคาให้”

คุณป้าคนนั้นโบกไม้โบกมือพัลวัน “ซื้อห้าชั่งแถมฟรีครึ่งชั่ง ถ้าเป็นแบบนั้นฉันยอมซื้อแน่”

คุณป้าคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน

ท้ายที่สุด หลินม่ายก็แกล้งทำสีหน้าราวกับตัวเองหมดหนทาง ยอมตกลงขายให้แต่โดยดี

เธอขายลูกท้อในราคาชั่งละสองเหมา และขายลูกไหนในราคาชั่งละสองเหมาห้าเฟิน

ต่อให้เธอขายผลไม้ให้คุณป้าเหล่านี้แบบห้าชั่งแถมครึ่งชั่ง แต่ก็ยังได้กำไรมากกว่าขายให้ในราคาชั่งละห้าเฟิน

ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งถึงสองเมตรเห็นว่าคุณป้าทั้งหลายต่อรองราคาสำเร็จ ก็กรูกันเข้ามาจับจ่ายซื้อผลไม้กันบ้าง

คนหนึ่งซื้อห้าชั่ง อีกคนหนึ่งซื้อห้าชั่ง ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ผลไม้จำนวนหนึ่งพันชั่งก็ถูกขายออกไปแล้วเป็นจำนวนสามร้อยชั่ง

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ไปยังเขตชุมชนอีกสองสามแห่ง โดยใช้วิธีการขายแบบเดียวกัน ไม่นานก็ขายได้อีกสามร้อยชั่ง

พอเวลาล่วงมาถึงสามทุ่ม ผลไม้บนรถแทรกเตอร์ก็เหลืออยู่แค่ประมาณสองสามร้อยชั่งเท่านั้น หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์กลับบ้าน วางแผนว่าจะนำออกไปขายเพิ่มเติมที่ตลาดมืดในวันพรุ่งนี้

ถ้าไปขายผลไม้ที่ตลาดมืดก็น่าจะขายดิบขายดีจนหมดเกลี้ยง เธอว่าจะกลับไปที่หมู่บ้านชนบทอีกครั้งเพื่อกว้านซื้อลูกท้อกับลูกไหนมาขายอีก

ข้อดีข้อแรกคือเธอสามารถขยายธุรกิจและได้เงินเพิ่ม ข้อดีข้อที่สองคือเธอสามารถช่วยชาวบ้านให้มีรายได้

หลี่หมิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็ทยอยปิดร้านช่วงกลางคืนแล้วเรียบร้อย

โจวฉายอวิ๋นผู้เอาใจใส่น้องสาวเสมอเตรียมต้มซุปถั่วเขียวไว้ให้หลินม่ายแล้ว พอเห็นเธอกลับมาก็ยกออกมาให้ดื่มทันที

สาเหตุที่เตรียมซุปถั่วเขียวเย็น ๆ ไว้รอก็เพื่อให้เธอดื่มคลายร้อนและดับกระหาย

ระหว่างนั้นก็แอบกระซิบถามว่าช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เงินจากการขายลูกท้อและลูกไหนรวมเท่าไหร่

โจวฉายอวิ๋นแตกต่างจากแม่เถียหนิว อย่างน้อยเธอก็ไม่เคยอิจฉาที่หลินม่ายหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

เพราะแบบนี้หลินม่ายถึงได้เชื่อใจเธอ ยอมบอกตามตรงว่าเธอทำเงินได้มากกว่าสองร้อยเสียอีก

โจวฉายอวิ๋นพูดอย่างมีความสุข “ฉันไม่คิดเลยว่าการขายสินค้าทางการเกษตรแบบนี้จะทำกำไรได้ไม่น้อยเลย บางทีอาจจะมากกว่าเปิดร้านขายอาหารด้วยซ้ำ!”

หลินม่ายตอบกลับ “ก็เพราะตอนนี้มีน้อยคนที่จะขนพวกพืชผลทางการเกษตรมาขายในเมืองยังไงล่ะ พอคนอื่นเริ่มหาผลผลิตพวกนี้มาขายบ้าง อีกหน่อยรายได้ของเราก็คงไม่ดีเท่านี้แล้ว”

หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ทุกคนก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำและเข้านอน

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน หลินม่ายผล็อยหลับทันทีที่หัวถึงหมอน คืนนี้เธอนอนหลับสนิททีเดียว

วันรุ่งขึ้น เธอตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้า

โจวฉายอวิ๋นลงมาเตรียมอาหารมื้อเช้าไว้ให้เธอแล้ว เป็นข้าวต้มกับซาลาเปา และหัวไชเท้าดองจานเล็ก ๆ

โจวฉายอวิ๋นผลักจานหัวไชเท้าดองไปจ่อตรงหน้าหลินม่าย “ฉันเป็นคนดองเอง ลองชิมดูสิว่ากรอบพอไหม อร่อยหรือเปล่า?”

หลินม่ายชิมไปคำหนึ่ง ปรากฏว่ามันทั้งสดกรอบและรสชาติดีเอามาก ๆ ความเปรี้ยวอยู่ในระดับที่กำลังพอดี เธอพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “กรอบมาก กินแล้วสดชื่น อร่อยด้วย!”

โจวฉายอวิ๋นได้รับคำชมแบบนั้นก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ

หลินม่ายคิดในใจว่าผักดองฝีมือโจวฉายอวิ๋นนอกจากจะสดกรอบและเปรี้ยวกำลังพอดีแล้ว ยังอร่อยถูกใจไม่น้อย

บางทีอีกหน่อยเธออาจเพิ่มผักดองลงในลิสต์โครงการค้าขายอีกอย่างหนึ่ง ต่อยอดสร้างแบรนด์ผักดองเป็นของตัวเองเสียเลย

ตั้งแต่เกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอค้นพบว่ามีอีกร้อยแปดหนทางที่จะสามารถนำพาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์ออกไปที่ตลาดมืด

เธอคิดว่าตัวเองมาที่นี่แต่เช้าตรู่แบบนี้ อันธพาลที่เฝ้ายามอยู่คงยังไม่ตื่นแน่

แต่แล้วหลังจากเธอขับรถแทรกเตอร์มาจอดที่ตลาดมืดแล้วเรียบร้อย อันธพาลคนที่มารีดไถเงินเธอจากการตั้งแผงขายของครั้งก่อนกลับปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด

หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นายกลัวว่าจะรีดไถเงินค่าแผงลอยไม่ได้หรือยังไงกัน ถึงได้วิ่งโร่ออกมาดักรอกันตั้งแต่หัววันแบบนี้ กะไม่ให้ฉันคลาดสายตาเลยสินะ ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเลยหรือ? คราวที่แล้วฉันเกือบโดนจับเพราะใคร แม้แต่เส้นผมของคนอื่นก็ไม่คิดจะปล่อยให้หลุดรอดไปเลยหรืออย่างไรกัน?!”

ตลาดมืดที่นี่อยู่ในอาณาเขตคุ้มครองของเฉินเฟิง พวกอันธพาลที่คอยตรวจตราในตลาดก็เป็นคนของเขา

หลินม่ายรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของอีกฝ่ายหรอก ถึงได้กล้าพูดจาไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแบบนี้

อีกทั้งเธอยังรู้ดีด้วยว่าตราบใดที่ตัวเองพูดชื่อเฉินเฟิงขึ้นมา ไอ้หนุ่มคนนี้ต้องไม่กล้าทำอะไรเธออย่างแน่นอน

ครั้งล่าสุดที่ลูกสมุนตัวจ้อยคนนี้ละเลยหน้าที่ เขาเกือบทำให้หลินม่ายต้องประสบกับความเสียหายครั้งใหญ่ และถูกเฉินเฟิงสั่งลงโทษในเวลาต่อมา

ตอนนี้เขาควรทำงานชดใช้ความผิดพลาดของตัวเองด้วยซ้ำ กล้าดีอย่างไรถึงมาดักรอเรียกเก็บค่าแผงลอยจากเธอ?

เขาได้แต่ยิ้มแหยพลางพูดว่า “ฉันไม่ได้มาเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแผงลอยซะหน่อย ที่มาก็เพื่อคุ้มครองเธอต่างหาก”

หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไป เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแผงลอยจากผู้ค้ารายย่อยคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินวนกลับมาที่แผงลอยของหลินม่ายเป็นครั้งคราว

ลูกท้อและลูกไหนรวมสองถึงสามร้อยชั่ง ขายโดยเสนอส่วนลดซื้อห้าชั่งแถมครึ่งชั่งเช่นเคย ไม่นานก็ขายหมดอย่างรวดเร็ว

มีอันธพาลคนนั้นเฝ้าคุ้มครองแผงลอยของหลินม่ายอยู่ทั้งคน การค้าขายจึงเป็นไปอย่างราบรื่น

ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยขูดรีดเงินจากเธอ แต่หลังจากได้เงินไปแล้วเขาก็ไม่ได้มายุ่มย่ามอะไรอีก

วันนี้เขาทำงานตามหน้าที่อย่างเต็มความสามารถจริง ๆ

หลังจากปิดแผง หลินม่ายก็หาซื้อบุหรี่ดี ๆ ให้เขาหนึ่งซองเป็นการขอบคุณก่อนจะจากไป

เมื่อวานนี้ฟางจั๋วหรานมาที่ร้านเพื่อกินอาหารมื้อเย็นแต่กลับไม่เจอหลินม่าย เขารู้สึกโหวง ๆ เสมอเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป แม้แต่หัวใจก็พลอยว่างเปล่า

กระทั่งเช้าวันนี้เขาก็ยังไม่เจอหน้าหลินม่าย ในที่สุดถึงได้เข้าใจจากก้นบึ้งของความรู้สึกว่า ‘ไม่เจอหนึ่งวัน เหมือนผ่านไปสามฤดูสารท’ นั้นเป็นอย่างไร

เขาอดถามโจวฉายอวิ๋นไม่ได้ “ม่ายจื่อล่ะ เมื่อวานนี้เธอไม่ได้กลับมาหรอกหรือ?”

“กลับมาแล้ว” โจวฉายอวิ๋นเสิร์ฟอาหารเช้าให้เขา “รอบนี้หล่อนรับซื้อผลไม้มาเยอะเกินไป ก็เลยขับรถแทรกเตอร์ออกไปขายผลไม้แต่เช้า”

ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้ว “คุณรู้หรือเปล่าว่าหล่อนออกไปขายผลไม้แถวไหน?”

“ย่านตลาดมืดค่ะ”

“แล้ววันนี้ตอนเที่ยงหล่อนจะกลับมากินอาหารกลางวันไหม?”

โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่น่าจะกลับมานะคะ ก่อนที่หล่อนจะขับรถออกไปเมื่อเช้า หล่อนบอกว่าถ้าขายผลไม้หมดก็จะขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่หมู่บ้านแถบชนบทเพื่อรับซื้อผลไม้มาขายอีก”

คิ้วของฟางจั๋วหรานขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม “ถ้าม่ายจื่อกลับมาแล้ว ช่วยบอกหล่อนให้ขับรถแทรกเตอร์ออกไปขายผลไม้ในละแวกหอพักของผมด้วยนะ ผมจะช่วยหล่อนประกาศขายเอง”

โจวฉายอวิ๋นตอบรับอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ก็แอบกลอกตาพลางคิดในใจ ‘ในเมื่อคุณสนใจเรื่องของม่ายจื่อมากนัก ทำไมถึงไม่ยอมสารภาพรักกับหล่อนเสียทีล่ะ?’

พอไม่เห็นหน้าหลินม่ายตั้งแต่เมื่อวานเย็น ฟางจั๋วหรานก็ถึงกับกินข้าวไม่อร่อย

เขาจำใจกลืนอาหารเช้าอย่างฝืดคอ ก่อนจะขอตัวจากไปอย่างเงียบ ๆ

………………………………………………………………………………………………………………………….สารจากผู้แปล

ต่อราคากันโหดจัง กะให้หลินม่ายไม่ได้กำไรมั่งเลยเหรอ

ไม่เห็นหน้าคนในใจแล้วกินอาหารไม่อร่อยสินะพี่หมอ

ไหหม่า(海馬)