ตอนที่ 142 บางทีนี่อาจจะเป็นรักแท้

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 142 บางทีนี่อาจจะเป็นรักแท้

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์มาถึงบ้านของคุณย่าฟางในเวลาอาหารกลางวันพอดี

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางกินอาหารที่ดูไม่สมฐานะเลย

เพราะในจานอาหารไม่มีเนื้อสัตว์เลย มีเพียงแค่ผักใบเขียวและเพ่าฉ่ายที่ทำมาจากผักสวนครัวของพวกเขาเอง

เงินบำนาญแต่ละเดือนของทั้งคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเองก็ไม่น้อยเลยนะ

ทั้งยังมีเงินเก็บมากมาย จนเลี้ยงลูกหลานได้อย่างสบาย ๆ แต่กลับมีความเป็นอยู่ที่ยากจนเสียอย่างนั้น

หลินม่ายรู้สึกเป็นห่วง “คุณปู่คะ คุณย่าคะ ใช่ว่าพวกคุณไม่มีเงินเสียหน่อย อย่าใช้ชีวิตอย่างลำบากแบบนี้เลย ตอนนี้ลูกหลานทุกคนต่างก็เลี้ยงตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องอดออมเพื่อพวกเขาหรอกค่ะ”

บรรดาลูกชายและลูกสาวของทั้งสองไม่ได้มีฐานะลำบากแร้นแค้น ความจริงแล้วสองสามีภรรยาชราไม่จำเป็นต้องจุนเจือพวกเขาด้วยซ้ำ

ลูกชายและลูกสาวของคนชราทั้งสองไม่ได้มีความกตัญญูขนาดนั้น แถมยังใช้ชีวิตในทางที่ไม่สมควร พวกเขาไม่สมควรได้รับความห่วงใยจากคุณปู่ฟางและภรรยาของเขาเลย

คุณปู่ฟางยิ้ม “จั๋วหรานและคนอื่น ๆ มีรายได้เยอะก็จริง แต่ถ้าถามว่าทำไมพวกฉันถึงต้องประหยัด? เพราะเดิมทีฉันกับภรรยาเป็นคนมัธยัสถ์อยู่แล้ว พวกฉันสะดวกเอาเงินตรงนี้ไปช่วยเหลือผู้ยากไร้คนอื่น ๆ ต่างหาก”

หลินม่ายยอมรับฟังโดยไม่ขัดข้อง ซึ่งเธอเองก็เข้าใจพวกเขาดี เพราะเธอก็เป็นคนชอบช่วยเหลือคนเหมือนกัน

แต่ถ้าให้เธอเป็นแบบคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางคงเป็นไปไม่ได้ เธอเป็นคนถือคติที่ว่า ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่ตัวเองพอช่วยเหลือได้

ความจริงแล้วคนที่มีหัวใจดีงามราวทำด้วยทองคำแบบนั้น มีเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้

คุณย่าฟางเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมจานข้าวสำหรับหลินม่าย แล้วพูดว่า “เร็ว ๆ มากินข้าวด้วยกัน”

หลินม่ายไม่ได้ถือสาเรื่องอาหารมากนัก เธอรับจานมาแล้วหยิบตะเกียบกินอาหารตรงหน้าทันที

คุณปู่ฟางถาม “ทำไมวันนี้เธอถึงกลับมาแถวชนบทอีกล่ะ? อย่าบอกนะว่าเมื่อวานขายลูกท้อกับลูกไหนหมดแล้ว”

หลินม่ายพยักหน้า

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางมองเธอด้วยความตกใจ “เธอนี่ขายของเก่งเกินไปแล้ว!”

หลังมื้ออาหารกลางวัน หมินม่ายก็ออกไปซื้อลูกท้อและลูกไหนต่อ

เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง หลินม่ายก็แจ้งความจำนงให้ชาวบ้านได้รับทราบ หลังจากนั้นชาวบ้านต่างก็แก่งแย่งกันเพื่อขายลูกท้อและลูกไหนให้กับเธอ

ก่อนหน้านี้ ลูกท้อและลูกไหนไม่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ แต่ปีนี้ทั้งสองอย่างสามารถขายเป็นเงินได้แล้ว ชาวบ้านจึงยินดีขายมันเพื่อแลกกับเงินไม่กี่สิบหยวนในมือหลินม่าย

ในสายตาชาวบ้านแล้ว เงินจำนวนสิบหยวนถือว่ามากโขเลยทีเดียว

ครั้งนี้หลินม่ายต้องการซื้อลูกท้อและลูกไหนอย่างละหนึ่งพันชั่ง

ทว่าต้นท้อแต่ละต้นสามารถให้ผลผลิตเจ็ดสิบถึงแปดสิบผล และต้นไหนให้ผลผลิตต้นละสี่สิบถึงห้าสิบผลเท่านั้น

เพราะมันให้ผลดกแบบนี้ ใครบ้างจะปลูกต้นผลไม้พวกนี้เกินสองสามต้น?

หลินม่ายทำการคัดเลือกอีกที ตอนนี้เธอเลือกผลที่สวยงามจนได้อย่างละหนึ่งพันชั่งครบถ้วน

พอมองเห็นสายตาผิดหวังของคนที่ไม่ได้รับการคัดเลือก หลินม่ายเองก็ทนใจร้ายกับพวกเขาไม่ได้

เธอหันไปพูดกับพวกเขา “พวกคุณสามารถเก็บเอาผลผลิตที่เหลือไปเร่ขายตามท้องถนนในเมืองได้นะ”

ชาวบ้านตอบกลับอย่างสิ้นหวัง “ทำได้ก็จริงแต่จะโดนตำรวจจับเอาน่ะสิ”

หลินม่ายรีบตอบกลับ “ถ้าไปเร่ขายตามชุมชนก็ไม่มีใครมาจับหรอก”

“แต่ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการทำนาของตัวเองอยู่นะ ถ้าต้องสละเวลาหลายชั่วโมงไปขายลูกท้อและลูกไหนก็คงไม่ได้หรอก”

นี่สินะปัญหาของพวกเขา

หลินม่ายรู้ดีว่าคงช่วยอะไรไม่ได้ เธอตัดสินใจขนลูกท้อและลูกไหนกลับเมืองทันที แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะไปกล่าวลาคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง

เธอกลับมาถึงร้านในเวลาพอ ๆ กันกับเมื่อวานนี้

โจวฉายอวิ๋นยกจานอาหารมื้อเย็นในส่วนของหลินม่ายมาให้ทันที ไม่ลืมบอกเธอว่าฟางจั๋วหรานนัดให้เธอขับรถแทรกเตอร์เข้าไปขายผลไม้แถวละแวกหอพักที่เขาอาศัยอยู่

เมื่อรู้ว่าเขากำลังรอเธออยู่

หลินม่ายก็พูดอะไรไม่ออก

แม้ว่ายุคสมัยนี้การจราจรไม่ค่อยติดขัดมากนัก แต่ก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการเดินทาง กว่าจะขับรถแทรกเตอร์ออกจากร้านไปยังถนนเจี่ยเฟิงอันเป็นละแวกชุมชนที่เขาอาศัยอยู่

ในเมื่อเขากำลังรออยู่ที่นั่น เธอจะปล่อยให้เขารอเก้อได้อย่างไร…

หลังกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์พร้อมกับนำผลไม้บางส่วนไปที่หอพักบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลผู่จี้

ขณะเดียวกันฟางจั๋วหรานมายืนรอเธออยู่ที่หน้าประตูแล้ว

เมื่อมองไปยังชายหนุ่มตัวสูงสง่า หลินม่ายก็รู้สึกถึงความวาบหวามในหัวใจขึ้นมา

รู้สึกดีจริงที่มีใครสักคนรอให้ฉันมาหา ชาติก่อน ๆ ที่ผ่านมา ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ

ชีวิตก่อนหน้านี้ เธอทำงานอย่างหนักและเหนื่อยแทบตาย แต่ไม่มีใครสักคนในครอบครัวเลยที่รอให้เธอกลับมากินข้าวด้วยกัน

หนำซ้ำยังเหลือแต่เศษอาหารให้แทบทุกครั้ง

สำหรับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนแล้ว เขาแทบไม่เคยสนใจความเป็นอยู่ของเธอเลยด้วยซ้ำ แต่เขาจะสนใจเธอได้อย่างไรกัน?

ในเมื่อแต่ละวันเขาเอาแต่สนใจหลินเพ่ย ทั้งยังนั่งรอคอยความรักจากหล่อน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถอยู่กับหลินเพ่ยได้จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต

ไม่มีแม้แต่ความหวังที่จะได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้ด้วยซ้ำ

ความจริงแล้วหลินเพ่ยไม่ได้รักเขาเลยด้วยซ้ำ

ในสายตาของหล่อน เขาเป็นเพียงผู้ชายไร้ค่า หน้าตาไม่หล่อเหลา ไม่มีเงินทองมากมาย ทั้งยังไม่มีความสามารถหรืออะไรในชีวิตเลย

สรุปว่าทั้งไม่ดีและย่ำแย่มากทีเดียว

แต่เพราะเขาเป็นคนที่เชื่อฟังหล่อนมากราวกับสุนัขที่ซื่อสัตย์ หล่อนจึงตั้งใจเอ่ยคำหวานโปรยเสน่ห์และเกลี้ยกล่อมคนโง่อย่างเขาให้เข้ามาติดกับ

หล่อนรู้สึกตระหนี่ในใจทุกครั้งที่ต้องพูดถ้อยคำที่ไม่ได้มาจากใจจริงเหล่านั้นกับอีกฝ่าย แม้จะรู้แก่ใจว่าเขาไม่คู่ควรเอาเสียเลย

อารมณ์ของหลินม่ายปั่นป่วนไปชั่วขณะ เธอพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งฟางจั๋วหรานเป็นฝ่ายทักทายก่อน

ฟางจั๋วหรานรีบวิ่งเข้ามาแล้วกระโดดขึ้นรถแทรกเตอร์ เพื่อนั่งรถเข้าไปในเขตชุมชนพร้อมกัน เขาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณกินมื้อเย็นมาหรือยัง?”

หลินม่ายพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วค่ะ”

การถามไถ่คนอื่นว่ากินข้าวแล้วหรือยัง ถือเป็นการแสดงความห่วงใยที่น่ารักที่สุด

ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครสนใจเธอเท่าไหร่นัก ดูจากครอบครัวก่อนหน้านี้ของเธอสิ มีใครบ้างที่ดีกับเธอ?

สมาชิกทุกคนในครอบครัวรวมถึงครอบครัวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ไม่เคยมีใครสนใจถามเธอเลยสักครั้งว่าหิวไหม ทำงานเหนื่อยหรือเปล่า

เมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน พวกเขาหาที่เหมาะ ๆ ก่อนจอดรถแทรกเตอร์

ฟางจั๋วหรานหยิบบุหรี่ที่เตรียมเอาไว้ส่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อติดสินบนให้เขาใช้ลำโพงเสียงตามสายประกาศให้บรรดาคณาจารย์และนักศึกษาแพทย์ทุกคนออกมาซื้อผลไม้ของหลินม่าย

ผู้อยู่อาศัยทุกคนในละแวกโรงพยาบาลผู่จี้ล้วนเป็นคนที่มีการศึกษาดีกันทั้งนั้น เมื่อเป็นเรื่องซื้อขาย พวกเขาจะไม่เสียมารยาทต่อราคากับผู้ขายเด็ดขาด

แน่นอนว่าพวกเขามีเงินกินใช้เป็นจำนวนมากและเหลือเฟือ พวกเขาจึงยินดีซื้อในราคาที่หลินม่ายตั้งไว้

นอกจากนี้ ฟางจั๋วหรานยังช่วยพูดโน้มน้าวให้พวกเขาซื้อผลไม้อย่างน้อยคนละห้าชั่งอีกด้วย บางคนก็ซื้อถึงสิบชั่ง

แต่หลินม่ายเองก็กลัวว่าบางคนอาจซื้อไปแล้วกินไม่หมด ทำให้ผลไม้เน่าเสียเอาได้ จึงบอกให้พวกซื้อเท่าที่จำเป็น

ผู้อยู่อาศัยทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี คนหลัง ๆ จึงเลือกซื้อกันไม่เกินคนละห้าชั่ง

แน่นอนว่าเรื่องนี้หนีไม้พ้นคำนินทาของชาวบ้าน

หลังจากพวกเขาซื้อผลไม้แล้ว ก็เดินเข้ามาซุบซิบกันทันที

“ดูเหมือนว่าคุณหมอฟางจะช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้นเป็นพิเศษเลยนะ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต้องมีอะไรลึกซึ้งมากกว่านี้แน่ ๆ”

“ต้องเป็นความสัมพันธ์แบบคู่รักแน่นอน ฉันได้ยินคนไข้หลายคนพูดถึงกันเยอะมากว่าผู้หญิงคนนี้เอากับข้าวมาส่งให้คุณหมอฟางตั้งหลายครั้ง”

“พวกเธอพูดอะไรไร้สาระ เขากำลังคบหากับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นอยู่ไม่ใช่หรือไง? คนอย่างคุณหมอฟางเนี่ยนะจะคบหากับผู้หญิงคนนี้?”

“แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาออกปากว่าคบกับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นซะหน่อย พวกเธอคิดเองเออเองแบบนี้ไม่ดีเลยนะ…”

เมื่อซุบซิบจนพอใจแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน ขณะเดียวกันหลินม่ายก็จดจ่ออยู่กับการขายผลไม้ตรงหน้า จึงไม่ได้สนใจคำนินทาของคนรอบข้างเลย

เนื่องจากหอพักนี้เป็นอาคารใหญ่ที่สูงถึงห้าชั้น แถมยังเป็นที่พักอาศัยของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลผู่จี้ แน่นอนว่ากำลังซื้อของพวกเขามีมากพอสมควร

เธอขายผลไม้ต่อจนถึงสามทุ่ม สรุปแล้วคืนนี้เธอขายผลไม้ไปได้ทั้งหมดหกร้อยกว่าลูก

ตอนนี้ก็ค่ำมากแล้ว จวนได้เวลากลับบ้านเสียที

แต่ฟางจั๋วหรานต้องการไปส่งเธอถึงบ้าน

คืนนี้เขาเสนอเข้ามาช่วยขายผลไม้ให้หลินม่ายอยู่นาน ดูเหมือนเขายังไม่ได้พักผ่อนเลยด้วยซ้ำ แล้วเธอจะยอมให้เขาตามกลับไปส่งได้อย่างไร?

การเดินทางกลับไปกลับมาต้องใช้เวลามากพอสมควรเชียวนะ

หลินม่ายรีบห้ามเขาทันที “ฉันขับรถแทรกเตอร์กลับเองได้ คุณรีบกลับไปพักผ่อนเอาแรงเถอะค่ะ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณในคืนนี้มาก ๆ นะคะ!”

ความจริงแล้วต่อให้ขายในเขตชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลผู่จี้ เธอก็สามารถขายผลไม้ได้หลายร้อยชั่งไม่แพ้ที่นี่เหมือนกัน

เพราะการมาขายที่นี่ ทำให้เธอเสียเวลาสำหรับพูดคุยกับเขาไปมากพอตัว

ฟางจั๋วหรานเห็นว่าเธอกำลังแสดงท่าทีสุภาพกับเขาอย่างนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย

อีกมุมหนึ่งเขารู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้า กำลังขีดเส้นกั้นไม่ให้เขาเข้าใกล้มากเกินไปหรือเปล่า แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงพยักหน้า แล้วโบกมือลาอย่างจำยอม

ฟางจั๋วหรานคิดว่าตัวเขาเองคงยังชัดเจนไม่มากพอ แต่ทุกครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับหลินม่าย เขากลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องยอมเธอทุกครั้งไป ทั้งได้กำไรและขาดทุนในเวลาเดียวกัน

บางที… นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่ารักแท้ก็เป็นได้

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รู้ใจตัวเองแล้วทำไงต่อดีคะ จะรุกหรือถอยดี

ไหหม่า(海馬)