บทที่ 140 หลงไหล

” ท่านอ๋อง หากยังไม่เปลี่ยนเสื้อป้าอาจจะเป็นไข้เอานะขอรับ” พ่อบ้านเหมยกล่าวด้วยความรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจ

จากนั้นเย่แจ๋หยิ่งก็ยิ้มออกมาเบาโดยไม่พูดไม่กล่าว พลางมองไปยังเสื้อผ้าที่เปียกโชกไปทั้งตัว ก่อนที่จะโบกมือให้กับพ่อบ้านเหม่ยให้เขากลับไปพักผ่อนก่อน เพราะยังไงเสียตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้ว

หลานเยาเยาที่พอกลับถึงลานซวนซีก็เดินไปปิดประตูหน้าต่างจนหมด จากนั้นก็มานั่งเพลิดเพลินกับการกินปลาตุ๋นอย่างสบายใจ รอจนกินอิ่ม นางก็ถึงเริ่มลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ต้องทำ

สินสอดทองหมั้นเอาไปไว้แห่งใดกันหนา?

ทว่า! หลานเยาเยาที่เริ่มทำการตามล่าหาสินสอดทองหมั้น แต่คงเป็นเพราะเวลามืดเกินไปแล้ว และอาจเป็นเพราะการเสียเลือดไปเยอะเมื่อก่อนหน้านี้เลยทำให้นางรู้สึกวิงเวียน

ทั้งที่จริงแล้วสินสอดทองหมั้นถูกบรรจุไว้ในหีบไม้ใหญ่ แต่นางกลับเดินผ่านหีบไม้ใหญ่นั่นไปมา โดยไม่สนใจ จนทำให้นางเริ่มรู้สึกรำคาญ

“คนโกหก ! ไหนบอกว่าอยู่ที่ลานนี้ไงเล่า ? เหตุใดจึงหาไม่เจอ ? ”

หลานเยาเยานั่งลงด้วยอารมณ์หดหู่ใจ พอเห็นเย่แจ๋หยิ่งปรากฏตัวตรงหน้าประตูห้อง สิ่งแรกที่ถามไปก็คือ “สินสอดทองหมั้นของข้าเล่า?”

“ตามข้ามา”

สำหรับคำถามของหลานเยาเยา เขานั้นเพียงแต่กล่าวตอบไปอย่างเฉยชาเท่านั้นหลานเยาเยาก็เดินสะบัดก้นเดินตามหลังเขาไปเสียแล้ว

ในตอนที่เขาย้ายหีบไม้ใหญ่ที่มีสินสอดทองหมั้นอยู่ข้างในมาวางไว้ในห้อง หลานเยาเยาก็ตามเข้าเช่นกัน

” เจ้าต้องการหาสิ่งใดกันรึ? ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาข้างหูของหลานเยาเยาอย่างเรียบเฉย

นางไม่ได้คิดสิ่งใดมากนัก เพราะรู้สึกค่อนข้างเวียนศีรษะ จึงเพียงแค่หากล่องให้เจอ จากนั้นก็ขึ้นเตียงนอน

“กล่องไร้ค่าใบหนึ่ง!”

ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งหลานเฉินมู๋กล่าวไว้ เพราะกล่องใบนั้นไร้ค่า จึงได้ใช้เป็นสินสอดทองหมั้น

“ใช่อันนี้หรือไม่?”

เย่แจ๋หยิ่งหยิบกล่องที่ลักษณะภายนอกเป็นไม้เคลือบสีแดงที่ดูเขรอะขระจากหีบออกมา แล้วส่งไปยังตรงหน้าของนาง

“คงจะใช่ !”

“เช่นนั้นก็ดี !”

หลานเยาเยาไม่เข้าใจคำว่า ” เช่นนั้นก็ดี”ของเย่แจ๋หยิ่งนั้นหมายถึงสิ่งใด เพียงเห็นแต่เขาที่กำลังปิดหีบแล้วถือกล่องเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเตียง นางจึงเดินตามไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียงเช่นกัน

จากนั้นนางก็เห็นเย่แจ๋หยิ่งที่กำลังถอดเสื้อคลุมและรองเท้าที่เพิ่งเปลี่ยนออกแล้วขึ้นไปบนเตียงแล้วดันตัวราบลงนอนยังข้างใน หลานเยาเยาก็สงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปล้มตัวนอนบนเตียงเช่นกัน

หลังจากที่ล้มตัวลงนอนได้ครู่หนึ่งนางก็หยิบเอากล่องใบนั้นจากมือของเขามาแต่ฉะนั้นก็ไม่ได้เปิดดูเพียงแค่กอดกล่องเอาไว้แล้วหลับตาลงนอน

ทุกอย่างป่านไปอย่างราบรื่น!

เย่แจ๋หยิ่งมองดูดวงตาทั้งสองที่ปิดลงของคนที่อยู่ตรงหน้า แล้วรอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นมาบนใบหน้า

จากกนั้นก็เอื้อมมือไปดึงตัวนางมาไว้ในอ้อมแขน ตอนแรกนางขยับตัวด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่สุดท้ายนางก็นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยรอยยิ้มตรงมุมปาก

และแล้วเช้าตรู่ในวันต่อมา

“อ๊า·····”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นไปทั่วจวนอ๋องเย่

หลานเยาเยารีบจัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง ก่อนจะปีนลงมาจากร่างของเย่แจ๋หยิ่ง ด้วยสีหน้าที่แดงราวกับกุ้งที่ถูกต้มจนสุกอย่างนั้น

พระเจ้าช่วย !

เหตุใดเย่แจ๋หยิ่งจึงได้มานอนที่นอนของข้าได้ ?

แต่นี่ยังไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือในตอนที่ข้าหลับก็ยังปีนไปนอนทับร่างของเขา โดยที่เสื้อผ้าของเขานั้นหลุดออกจนหมด แล้วตัวเองก็ยังไปกอดเขาแน่นเสียอีก

ต้องเป็นเพราะขั้นตอนการตื่นของตัวเองมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?

เพราะนางเป็นคนที่รักนวลสงวนตัวมาก !

เย่แจ๋หยิ่งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงกรีดร้อง ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาเล็กน้อย แล้วมองไปยังหลานเยาเยาที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าแตกตื่น พลางพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มที่ดูเกียจคร้าน

“ตื่นแล้วรึ ?”

” ก็ตื่นแล้วไม่เห็นหรือไง ! เหตุใดท่านจึงมานอนบนเตียงของข้าได้? แล้วทำสิ่งใดต่อข้าหรือไม่ ? ”

ในใจของนางยังมีคำถามอยู่มากมาย แต่สุดท้ายนางก็จับต้นชนปลายแล้วถามออกมาทีเดียว

” เจ้าจำไม่ได้สิ่งที่เจ้าปฏิบัติต่อข้าเมื่อคืนนี้แล้วรึ? ” เย่แจ๋หยิ่งมองนางด้วยท่าทางไร้เดียงสา

“ห๊า?”

สิ่งที่นางถามคือเย่แจ๋หยิ่งทำอะไรนาง? เหตุใดตอนนี้ถึงได้พลิกพันกลายเป็นว่านางไปทำสิ่งใดต่อเย่แจ๋หยิ่งเสียแล้วหล่ะ ?

นี่มันถูกหลักวิทยาศาสตร์นะ !

นางก็เห็นอยู่คาตาแล้วว่า นี่เป็นห้องของนาง เป็นเย่แจ๋หยิ่งต่างหากที่มานอนบนเตียงของนาง ไม่ใช่นางที่ไปนอนบนเตียงของเย่แจ๋หยิ่ง อ๊านี่!

“จำไม่ได้แล้วจริงรึ?”เย่แจ๋หยิ่งถามอีกครั้ง

“จำไม่ได้แล้ว”

พอมองเห็นแววตาที่ไร้เดียงสาของเย่แจ๋หยิ่ง หลานเยาเยาก็ถึงกับตะลึงนิ่งรู้สึกราวกับว่าคนที่โดนรังแกคือเขาเสียอย่างนั้น

เมื่อวานเหมือนนางจะตามหากล่อง จากนั้นเย่แจ๋หยิ่งก็เจ้ามาแล้วก็ยังช่วยนางตามหากล่องอีก จากนั้นก็ไม่มีอะไรเสียหน่อย!

” ดูเหมือนว่า……” เสียงทุ้มอันขี้เกียจดังแทรกขึ้นมาเบาๆ พลางเอื้อมมือไปกุมเอวของนางไว้แล้วดึงเข้ามาให้นางล้มตัวลงไปแล้วตัวเขาก็ลุกขึ้นมานั่งกดร่างของนางเอาไว้ พร้อมกล่าวด้วยเสียงต่ำๆ

“ข้าจะช่วยเจ้าฝื้นความจำแล้วกัน!”

พูดจบ !

เย่แจ๋หยิ่งก็โน้มตัวลงค่อยๆจูบใบหูของนางอย่างเบาบาง พลันสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในเสื้อรอบเอวของนางแล้วค่อยๆขยับไปรอบๆอย่างอ่อนโยน

หลานเยาเยาถึงกับเบิกตากว้างในทันทีด้วยท่าทางที่ไม่ยากเกินจะเชื่อ แล้วรีบห้ามมือใหญ่ที่อยู่ไม่สุขของเขา พร้อมกล่าวด้วยลมหายใจที่ไม่ค่อยคงที่

“ท่านๆๆ ….ท่านจะทำสิ่งใด?”

นี่เย่แจ๋หยิ่งกำลังลวนลามนางโจ่งแจ้งเช่นนี้เลยหรือ ?

ทั้งมือใหญ่นั่นของเขาที่ติดอยู่ข้างเอวของนางแน่น ด้วยอุณหภูมิบนมือทำให้นางรู้สึกราวกับว่าผิวใกล้จะไหม้เสียก็ไม่ปาน

“ข้ากำลังช่วยให้เจ้ารำลึกถึงสิ่งที่เจ้าทำกับข้ายังไงเล่า เหตุใดต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วย? อายอย่างนั้นรึ? ”

สวรรค์ !

เมื่อคืนนี้นางไร้สติขนาดไหนกัน ? ถึงขนาดที่หลับแล้วไม่สามารถควบคุมตัวเอง

“ล้อ..ล้อเล่นหน่ะ ข้าหาได้ทำเกินจริงตรงไหน ? ข้าเพียงกลัวจั้กจี้เท่านั้น”

อาย ?

ล้อเล่นอะไรกัน?

นางเป็นถึงวิญญาณจากศตวรรษที่ 21 เชียวนะ นางมีความคิดที่เปิดกว้าง ถูกลูบเอวแค่นี้ก็เรียกตอบสนองแรงขนาดนี้ ?

“อ๋อ ใช่หรอ?”ราวกับว่าเย่แจ๋หยิ่งไม่เชื่อ

เขาขยับปากลงมายังมุมปากของนางแล้วหยุดนิ่งลง

ในครานี้ ! หลานเยาเยาก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่ผิดปกติไป

ลมหายใจของเย่แจ๋หยิ่งค่อนข้างเร่าร้อน พร้อมทั้งริมฝีปากบางที่แนบอยู่ตรงมุมปากของนางก็ร้อนแผ่วเช่นกัน

หลานเยาเยาค่อยๆกลืนน้ำลาย พลางมองเห็นแววตาของสัตว์ร้ายในแววตาลึกล้ำของเขา จนนางรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแย่แล้ว

“เย่แจ๋หยิ่งมีสิ่งใดเราค่อยๆคุยกันดีกว่านะ…ข้า….อือ….”

ยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของนางก็ถูกกดไว้เสียแล้ว

แย่แล้วๆ เช้าตรู่เช่นนี้ ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้นะ!

ทว่า !

รอยจูบของเย่แจ๋หยิ่งทั้งเร่าร้อนและอ่อนโยน ทำให้นางควบคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วสติของนางก็ค่อยหายไปทีละน้อยๆจนหมด ในตอนแรกที่พยายามขัดขืน ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสับสนแล้วหลงไหล ก่อนจะหยุดดิ้นรนไปในที่สุด

และแล้วในขณะที่นางกำลังคิดเรื่องจะหนีออกจากจวน นางกลับรู้สึกถึงมือใหญ่อันร้อนแผ่วที่ขยับตามรอบเอวของนางค่อยๆเลื่อนขึ้นมาด้านบน ในทุกครั้งที่เขาสัมผัสมันทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมา

รอยจูบของเขาที่ยิ่งนานก็ยิ่งเร่าร้อนยิ่งขึ้น แล้วยังใช้แรงให้นางเปิดปากแล้วเพิ่มความรุนแรงในการจูบของนางให้มากขึ้น

จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว แต่แล้วจู่ๆหลานเยาเยาก็ได้ยินครวญครางของมาจากปากของตัวเองดังขึ้นมา !

สิ่งนี้ทำให้เลือดของนางสูดฉีด จนถึงตกใจขีดสุด

แล้วในตอนนั้นเอง นางก็รู้สึกถึงมือใหญ่อันร้อนแผ่วของเย่แจ๋หยิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าอกของตัวเอง แล้วนางก็ถึงกับตัวแข็งทื่อ

แต่คนที่แข็งทื่อไม่ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เย่แจ๋หยิ่งก็นิ่งไม่แพ้กัน

จึงอดไม่ได้ที่จะละรอยจูบมามองตำแหน่งที่มือตัวเองวางอยู่….