บทที่ 139 ทำอาหารไม่เป็น?
เดิมทีนางคิดว่า เย่แจ๋หยิ่งคงจะต้องถามเป็นแน่ว่ายาเหล่านี้มีจำนวนมากใช่หรือไม่
หลังจากนั้น ! หากยาเหล่านั้นมีจำนวนมาก ก็สามารถนำมาใช้ได้ในสนามรบใช้รักษาแผลให้กับเหล่าผู้บาดเจ็บ เช่นนั้นก็จะสามารถลดความเจ็บปวดของผู้คนมากมาย
แต่ทว่า เขากลับไม่ได้ซักถามสิ่งใด
จึงเป็นเหตุให้หลานเยาเยารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
” เหตุใดท่านจึงไม่ถามถึงจำนวนของยานั้นหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับยาเลยเล่า? ”
” เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าทำก่อนหน้านี้นั้นมีจุดมุ่งหมายอื่น ” สำหรับนางแล้วเขาต้องการเพียงความรู้สึกที่บริสุทธิ์ใจเท่านั้น
เมื่อได้ยิน หลานเยาเยาก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
นางรู้ได้อย่างง่ายดายว่าสิ่งที่เย่แจ๋หยิ่งกล่าวนั้นคือเรื่องที่เขาจูบนางกลางสายฝนเมื่อก่อนหน้านี้
นางจึงกระแอมออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ
” แต่ข้าปฏิบัติต่อท่านเพราะมีจุดประสงค์อื่น”
เพราะเพื่อที่จะอัพเกรดระบบ นางจึงไม่มีความลังเลใดๆที่จะใช้ความงามในการยั่วยวนเขา
สำหรับสิ่งเย่แจ๋หยิ่งกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ
” อืม เป้าหมายของเจ้านั้นสำเร็จแล้ว ” ในจุดนี้เขารู้อยู่แล้ว
กล่าวจบ เย่แจ๋หยิ่งก็เอื้อมมือไปยังคอเสื้อของนาง เขาไม่กล่าวสิ่งใดก็จะปลดเสื้อคลุมของนางออก ทำให้หลานเยาเยาตกใจแล้วกำคอเสื้อไว้อย่างแน่น
” ท่านจักทำสิ่งใด ? ข้ามิใช่คนใจง่ายเยี่ยงนั้นหรอกนะ”
แม้แต่คำสารภาพรักก็ไม่มี เพียงจูบนางเท่านั้นก็ต้องการที่จะรวบรัดทำสิ่งนั่นกับนางแล้วหรือ ?
เป็นไปมิได้! เพราะนางเป็นคนที่รักนวลสงวนตัวยิ่งนัก
” เสื้อผ้าของเจ้าเปียกโชกหมดแล้ว หากไม่เปลี่ยนเกรงว่าเจ้าจะเป็นไข้ เจ้าคิดไปถึงแห่งใดแล้ว? หืม? ”
“······”
เออ นี่นางเข้าใจผิดไปงั้นรึ ?
เมื่อเห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มของเย่แจ๋หยิ่ง หลานเยาเยาก็อดที่จะหลบหน้าไม่ได้
น่าอายเสียจริง !
ครู่ต่อมา!
นางถึงได้ปล่อยมือออกก่อนจะกระแอมออกมาเบาๆ แล้วพูดกับเขาอย่างเรียบเฉย
” บาดแผลเพียงนิดเดียว เสื้อผ้าข้าถอดเองได้ ”
กล่าวจบ ทั้งที่เดิมทีเพียงอยากให้เขาหันหลังกลับไปเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะลุกขึ้นแล้วก็เดินจากไป
จนกระทั่งประตูห้องถูกเปิดออกแล้วปิดลง แล้วหลานเยาเยาถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ยังโชคดีที่เขาไม่ได้ดื้อด้าน เพราะหากเป็นเช่นนั้นนางคงไม่รู้จักปฏิเสธอย่างไร ยังไงเสียความคิดของคนจากศตวรรษที่ 21 กับความคิดของคนยุคโบราณนี้ก็ต่างกันอยู่ดี
ในจะเรื่องมีภรรยาหลายคน แล้วไหนจะหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาอีก แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
รอจนนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย นางก็ถีบเตาผิงด้วยเท้า ค่อยๆเตะทีละนิดจนมันออกจากที่กั้นไป หลังจากที่เพิ่งนั่งลง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา
“ต้อกๆๆ······”
“ข้าน้อยคือพ่อบ้านเหมยขอรับ ท่านอ๋องให้นำซุปขิงมามอบให้ท่านขอรับ ” เมื่อสักครู่ทั้งท่านอ๋องและพระชายาต่างก็เปียกฝนกลับมา ไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องออกคำสั่งใดๆ เขาเองก็ไปต้มซุปขิงมาส่งให้เองเสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องก็ได้สอบถามกับเขาเป็นการส่วนตัวอีกด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าเขาจะต้องลงมือทำเสียเอง
เมื่อเห็นท่านอ๋องเป็นห่วงเป็นใยพระชายา เขาก็รู้สึกปลื้มใจแล้ว เพราะท่านอ๋องที่ต้องทุกข์ทรมานมานานหลายปี สุดท้ายก็มีหญิงสาวที่เข้ามาอยู่กับเขา ให้เขาได้รู้ถึงความสุขของคนธรรมดาสักครั้ง
“พ่อบ้านเหมย เข้ามาเถอะ!”
สำหรับความประทับใจของพ่อบ้านเหมยต่อหลานเยาเยาในสมองของนางแล้วนั้นดีกว่าตาเฒ่าเย่นไม่รู้กี่เท่า นางทำดีกับตาเฒ่าเย่นอย่างมาก สำหรับสิ่งที่นางปฏิบัติต่อกับพ่อบ้านเหมยก็จึงเหมือนกับผู้ที่ใต้บังคับบัญชาเลย
หลังจากที่พ่อบ้านเหมยเข้ามาก็วางซุปขิงลงบนโต๊ะ
“พระชายา ซุปขิงต้องดื่มยามที่ร้อนๆอยู่ถึงจะออกฤทธิ์นะขอรับ”
“ทราบแล้ว ขอบใจพ่อบ้านเหมยเป็นอย่างยิ่ง” หลานเยาเยายิ้มหวานให้กับเขา
พ่อบ้านเหมยก็ยิ้มตามทันที ก่อนที่จะพยักหน้า พลางตอบด้วยความยินดี
” พระชายาอย่ากล่างขอบคุณเลยขอรับ นี่เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้ว”
พูดจบ เหมือนพ่อบ้านเหมยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะนิ่งเงียบไป
หลานเยาเยาที่เห็นท่าทางและการกระทำของเขาก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
” มีเรื่องอันใดก็กล่าวมาเถิด ข้าเป็นคนที่พูดคุยได้ดี”
นอกเหนือจากการแบ่งทรัพย์สิน อาหารและยา เรื่องอื่นก็สามารถคุยได้หมด
“ไม่มีอันใดขอรับๆ ข้าน้อยขอตัวก่อน ”
“อ๋อ!”
ทั้งที่พ่อบ้านเหมยมีเรื่องที่อยากพูด แต่กลับนิ่งไม่พูด อะไรคือเหตุผลที่แท้จริงกันแน่?
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลานเยาเยาก็รู้คำตอบ
เพราะในกลางคืนเย่แจ๋หยิ่งไม่ได้นอนหลับ แต่กลับวิ่งเข้าไปยังห้องครัว โดยไม่รู้ว่าจักทำสิ่งใด
ตอนนี้ค่ำมากแล้ว คนที่เดิมทีอยากนอนหลับอย่างหลานเยาเยา ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ จึงลุกขึ้นมาเดินไปยังห้องครัว
แท้จริงแล้ว ! เหตุผลที่มากไปกว่านั้นก็คือเพราะว่าอยู่ๆนางก็คิดถึงสาเหตุที่กลับจวนขึ้นมาได้
กล่อง!
เมื่อถูกเย่แจ๋หยิ่งขัดขวางกลางทางจนเกือบจะลืมไปจนหมดแล้ว
ด้วยแสงเทียนไขที่ส่องสว่างออกมาจากข้างในห้องครัว ทำให้หลานเยาเยาเดินเข้าไปดูก่อนจะมองอย่างอดแปลกใจไม่ได้
บนชั้นวางของห้องครัวมีการวางจานใหญ่และจานเล็กอยู่ โดยทุกจานมีอาหารเป็นชนิดเดียวกันเลยก็คือ…..ปลา
แต่!ปลาเหล่านี้ก็มีสภาพที่ค่อนข้างยากที่จะอธิบาย ไหม้บ้าง ไม่สุกบ้าง บางตัวก็ดำสนิทไปเลย
หลานเยาเยาจึงหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดไม่ได้
ราวกับว่านางได้พบเจอกับสิ่งแปลกใหม่ เย่แจ๋หยิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ แต่กลับผัดอาหารไม่เป็น
“รูปลักษณ์อาหารของท่านดูไม่ได้เลย !”
อยากกินก็แค่บอกให้พ่อครัวทำก็พอแล้ว ตัวทำไม่ได้แล้วก็ยังคิดที่จะไปอยู่ตรงนั้นอีก
“แค๊กๆๆ ไม่เป็นไร”
พูดไป เย่แจ๋หยิ่งก็อดไม่ได้ที่จะปิดปลาเหล่านั้น แม้แต่ปลาที่กำลังจะเอาลงกระทะเขาก็ปิดเอาไว้เช่นกัน
“อยากกินปลาไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าจะสอนท่านเอง!”
“เจ้าทำได้?”เย่แจ๋หยิ่งมองไปที่นางด้วยความสงสัย
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นถึงนักกิน ไม่เข้าใจเรื่องทำอาหาร จะเป็นนักกินมืออาชีพได้อย่างไรเล่า?”
หลานเยาเยาเดินถึงยังข้างกายของเย่แจ๋หยิ่ง กำลังจะลงมือ แต่กลับถูกเขาหยุดไว้เสียก่อน
” เจ้าไม่ต้องลงมือ ! ”
” ก็ได้ ไม่ขยับมือ งั้นข้าขยับปากแล้วกัน ”
จากนั้น หลานเยาเยาก็สอนเขาว่าทำปลาตุ๋นควรใช้ไฟร้อนหรือไฟเบา แล้วส่วนผสมพวกนั้นก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย
และแล้ว!หลังจากรอจนปลาตุ๋นออกจากหม้อ หลานเยาเยาก็รู้สึกเสียใจ
เพราะหลังจากที่นางลิ้มลองไปคำเดียว ก็รู้สึกตื้นตันจนอยากร้องไห้
แม่เจ้า!
เย่แจ๋หยิ่งใช่คนหรือเปล่าเนี่ย?
สอนเพียงครั้งเดียวก็ทำได้แล้ว ทั้งยังรสชาติที่อร่อยกว่าที่นางทำเสียอีก นางอุตส่าห์ร่ำเรียนมาหลายปีเลยนะ !
ความรู้สึกไม่ดีก็เกิดขึ้นมาชั่วขณะ ด้วยความรู้สึกถูกขโมยความรู้เสียอย่างนั้น แล้วยังหลังจากที่ขโมยความรู้แล้วยังจะทำให้นางรู้สึกไม่ดีอีก
“ทำไม ยังไม่อร่อยอีกรึ?”เย่แจ๋หยิ่งอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
“แน่นอนว่าไม่อร่อยอยู่แล้ว เอ๊ะ ไม่เป็นไร ก็เรียนครั้งแรกมันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ท่านทำใหม่อีกสักครั้งคาดว่าน่าจะอร่อยแล้ว ”หลานเยาเยาพูดเทไทไปมาอย่างจริงจัง
“ได้ ถ้างั้นเจ้าก็ทิ้งจานนี้ไปเถิด ! ข้าจะทำใหม่อีกครั้ง”
พอพูดอย่างนั้น เย่แจ๋หยิ่งก็ถือจานปลาไปเททิ้ง แต่หลานเยาเยาก็รีบห้ามเอาไว้
“เอ๊ะๆๆ เดี๋ยวๆๆๆ ท่านตั้งใจทำจานใหม่ก็พอแล้วทิ้งอาหารเรื่องเล็กแค่นี้ให้ข้าจัดการเถิด !!”
นางไม่สนว่าเย่แจ๋หยิ่งจะตกลงหรือไม่ นางก็เอาจานปลาตุ๋นจากเขามาไว้ในมือของตัวเองแล้ว
ในตอนที่เดินออกมายังประตูห้องครัว นางก็หันหน้ากลับไปถาม
” สินสอดทองหมั้นของข้าเอาไปวางไว้ที่ไหนแล้ว ? ”
หลังจากแต่งเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องเย่ นางก็ไม่เคยได้ถามเลยว่าสินสอดทองหมั้นของนางอยู่ที่ไหน
เพราะยังไงเสีย! ในเวลานั้นเรื่องสินสอดทองหมั้นของนางมีนิ่งซื่อเป็นคนจัดเตรียมให้ ซึ่งนิ่งซื่อเกลียดชังในตัวนางเป็นอย่างมาก คาดว่าสินสอดเหล่านั้นคงจะไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย ดังนั้นนางจึงไม่ได้สนใจที่จะดูมัน
“ก็อยู่ที่ลานซวนซี!”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว ท่านก็พยายามเข้า ข้าดูท่านอยู่นะ ! ”
พูดจบนางก็เหลือบลงไปมองปลาตุ๋นในมือด้วยความตะกระ แล้วก็ก้าวเท้าจากไปด้วยความรวดเร็ว
ทันทีที่หลานเยาเยาเดินจากไป
มุมปากของเย่แจ๋หยิ่งของยกขึ้น พ่อบ้านเหมยที่เดินเข้ามาเห็นเขายิ้ม ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
เพื่อพระชายา ท่านอ๋องถึงกับต้องแสร้งทำเป็นทำอาหารไม่เป็น ลำบากท่านอ๋องเสียแล้ว…..