เด็กทั้งสองวิ่งโร่เข้ามาในห้องโถงกลาง จากนั้นก็พูดเรื่อง ‘สาบานเป็นพี่น้อง’ ของพวกเขาให้พวกผู้ใหญ่ฟัง
เหยาต้าหลางพูดกับแม่เฒ่าเหยาอย่างลำพองใจ แม้ว่าอาจื้อจะรู้สึกจนปัญญาอยู่ในใจ แต่กลับต้องพยักหน้าหงึกหงักอยู่อีกด้าน สนับสนุนญาติผู้พี่อย่างเต็มที่
เมื่อแม่เฒ่าเหยาฟังจบก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ ก่อนถามเหยาต้าหลางว่า “ความคิดนี้ เป็นของเหยาเอ้อหลางใช่หรือไม่?”
เหยาต้าหลางส่ายหน้า “ท่านย่า เป็นความคิดของข้าและอาจื้อขอรับ!”
เหยาซูโน้มตัวพลางยิ้มให้กับความคิดที่น่าประหลาดใจของเด็ก ๆ อย่างพวกเขา ก่อนจะพูดเตือนแม่เฒ่าเหยาอีกครั้งว่า “เอ้อหลางไม่อยู่ จะกลายเป็นความคิดของเอ้อหลางได้อย่างไรเจ้าคะ? ผู้เป็นย่าคงจะไม่ลำเอียงเช่นนี้หรอกกระมัง”
เมื่อแม่เฒ่าเหยาถูกนางพูดจาหยอกล้อ เด็ก ๆ เหล่านั้นต่างก็พร้อมใจกันผสมโรง
เหยาเอ้อหลางเป็นเด็กร่าเริง สมองปราดเปรียวโดยธรรมชาติ แต่พวกเด็ก ๆ มักจะผุดความคิดที่เกิดขีดจำกัดและไม่น่าเชื่อถือออกมาเสมอ ปฏิกิริยาแรกของแม่เฒ่าเหยาคือจุดเริ่มต้นของหลานทั้งสอง ครั้งนี้ไม่มีข้อยกเว้นเป็นแน่
เมื่อแม่เฒ่าเหยาเห็นหลานชายคนโตผู้สุขุมกลับโวยวายออกมาเช่นนี้ จึงถามเขาด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า “พวกเจ้าสองคนเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน เหตุใดต้องกุเรื่องโกหกเหล่านี้ขึ้นมาเล่า?”
อาจื้อที่อยู่ด้านข้างรีบส่ายหน้าทันใด จากนั้นก็ตอบกับต้าหลางว่า “พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าที่ท่านยายพูดก็มีเหตุผลนะขอรับ เดิมทีเราก็เป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องสาบานก็เป็นเพื่อนและครอบครัวที่ดีที่สุดกันได้!”
เหยาต้าหลางเห็นทุกคนคัดค้าน จึงอดผิดหวังไม่ได้
เหยาซูยิ้มพลางดึงตัวของหลานชายตัวน้อยมาข้างกาย กุมมือของเขาไว้และถามเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เหตุใดต้าหลางถึงอยากสาบานเป็นพี่น้องกับน้องเจ้าเล่า? ไปได้ยินเรื่องอะไรมาหรือ?”
ความคิดของเด็ก ๆ เดิมทีมักจะผุดออกมาทีละเรื่อง เหยาซูจะถามเช่นนี้ก็ไม่แปลก
เหยาต้าหลางพยักหน้า “ก็หนังสือบทละครพื้นเมืองที่ท่านพ่อนำกลับมาด้วยเมื่อวานอย่างไรเล่าขอรับ ในนั้นกล่าวถึงเพื่อนที่สาบานกลายเป็นพี่น้องต่างสกุลกัน…”
ในขณะที่พูด สะใภ้ใหญ่เหยาก็เดินเข้ามาเห็นทุกคนกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงหัวเราะบางอย่างจากในห้อง เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
ดวงตาคู่นั้นของเหยาต้าหลางเปล่งประกายระยิบระยับ ก่อนจะกล่าวทักทายมารดาของตน “ท่านแม่!”
เหยาซูยิ้มพลางเอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อครู่เด็ก ๆ บอกว่าพวกเขาทั้งสามจะสาบานเป็นพี่น้องกันเจ้าค่ะ!”
สะใภ้ใหญ่เหยาแสดงสีหน้าจนปัญญา “พวกเขาสามคนจะสาบานเป็นพี่น้องกัน? ความคิดของต้าหลางงั้นหรือ? มิน่าเล่าวันนี้ตอนเช้าถึงได้ทำตัวมีลับลมคมใน ทั้งยังถามหากระถางธูปและข้าวหอมจากข้า…”
เหยาต้าหลางเห็นพวกผู้ใหญ่พากันหัวเราะจึงหน้าแดงขึ้นมาพลันใด ก่อนจะพึมพำเบา ๆ ว่า “พวกท่านไม่เข้าใจหรอก”
วีรบุรุษและชายชาตรีในบทละครพื้นเมืองที่เดินทางท่องยุทธภพอย่างกล้าหาญ ล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น ทุกคนไม่ต้องการวันเกิด แต่ต้องการวันตาย ยอมเสียสละเลือดและพลีชีพให้กันและกัน นี่สิถึงจะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบพี่น้องของเหล่าบุรุษ!
สะใภ้ใหญ่เหยาชำเลืองไปทางเขาแวบหนึ่ง ไม่มีใครเข้าใจลูกได้ดีกว่ามารดา พลันรู้ว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน “ช่วงนี้คงจะอ่านหนังสือเหนื่อยละสิท่า ข้าจึงไหว้วานให้พ่อเจ้าซื้อบทละครพื้นเมืองกลับมา คงจะไม่ใช่เพราะอ่านหนังสือบทละครพื้นเมืองมากเกินไป จนอยากเลียนแบบตัวละครด้วยการออกไปท่องยุทธภพข้างนอกหรอกนะ?”
เมื่อแม่เฒ่าเหยาได้ยินว่าเป็นบทละครพื้นเมือง จึงอดตื่นตกใจไม่ได้ “บทละคร? บทละครอะไรหรือ?”
เหยาต้าหลางเห็นผู้เป็นย่าถามขึ้นจึงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก็หนังสือที่ท่านพ่อเอากลับมาด้วยอย่างไรละขอรับ ล้วนเขียนถึงเรื่องราวของวีรบุรุษที่ถือกระบี่ไปทั่วหล้า ช่างสนุกยิ่งนัก”
แม่เฒ่าเหยาเป็นกังวลในทันที รีบพูดกับเหยาต้าหลางว่า “เก็บไว้ดี ๆ ละ อย่าให้น้องชายเจ้าเห็นเด็ดขาดเชียว!”
สะใภ้ใหญ่เหยาและเหยาซูได้แต่ยิ้ม ส่วนหลินเหราก็ยืนฟังงง ๆ อยู่อีกด้าน “เหตุใดถึงให้เอ้อหลางรู้ไม่ได้?”
แม่เฒ่าเหยาส่ายหน้า “ไม่ได้ ๆ ไม่ได้โดยเด็ดขาด! เอ้อหลางเด็กคนนั้น มีความทะเยอทะยานสูงมาก หากให้เขาอ่านบทละครพื้นเมืองที่เกี่ยวกับผู้กล้าถือกระบี่อะไรนั่น วันต่อมาคงได้ออกจากบ้าน ถือกระบี่ของเขาไปท่องยุทธภพเป็นแน่…”
หลินเหราลังเล นัยน์ตาฉายแววไม่แน่ใจ “เรื่องนี้ ร้ายแรงเพียงนั้นเลยหรือ?”
เหยาซูหัวเราะจนปวดท้องไปหมด ดวงคู่นั้นเปล่งประกายระยิบระยับจากหยดน้ำตาแห่งความสุข จากนั้นก็พูดกับหลินเหราว่า “ท่านไม่รู้เสน่ห์ของบทละครพื้นเมืองนั้นหรืออย่างไร ขนาดต้าหลางเด็กชายผู้สุขุมหลังจากอ่านแล้วยังอยากทำพิธีสาบานกับพี่น้องของตนเลย! หากเป็นเอ้อหลางจะต้องสร้างเรื่องเหล่านี้ออกมาเป็นแน่”
สะใภ้ใหญ่เหยาเองก็จนปัญญา “ไม่รู้ว่าพ่อของเขาซื้อของเหล่านี้มาด้วยเหตุใดกัน หรือคิดว่าเด็ก ๆ เหล่านี้เลี้ยงดูกันง่ายเกินไป?”
ทุกคนพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนานจนใกล้ถึงเวลากินข้าว สะใภ้ใหญ่เหยาลุกขึ้นไปทำกับข้าว ทว่าเหยาซูกลับขวางนางไว้ “พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้ท่านพักผ่อนเถอะ ข้ากับอาเหราจะทำมื้อค่ำเอง
สะใภ้ใหญ่เหยาแสดงสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะยิ้มพลางพูดว่า “จะมาไม้ไหนอีกล่ะ? พวกเจ้าสองคนเนี่ยนะจะทำอาหาร? สมาชิกในบ้านของเรามีมากมายเพียงนี้ เกรงว่าคงจะเหนื่อยพวกเจ้าสองคน…”
แม่เฒ่าเหยาส่ายหน้าและโน้มน้าวนางต่อว่า “ปล่อยพวกเขาไปเถิด เห็นบอกว่าวันนี้จะประกาศเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทำตัวมีลับลมคมใน ไม่ยอมปริปากพูดแม้แต่คำเดียว”
เหยาต้าหลางและอาจื้อมองหน้ากัน สายตาของเขาราวกับกำลังถามอาจื้อว่า ‘เรื่องย้ายบ้านใช่หรือไม่?’
อาจื้อพยักหน้า จากนั้นก็ยกนิ้วมือขึ้นมาทาบปาก ส่งสัญญาณให้เขาหยุดพูด
พวกผู้ใหญ่ไม่ได้สังเกตเห็นถึงการเคลื่อนไหวของเด็กทั้งสอง แต่อาซือกลับมองเห็น
เด็กหญิงขยับเข้ามาใกล้พี่ชายทั้งสองและถามว่า “พวกพี่กำลังพูดอะไรกันเจ้าคะ?”
ซานเป่าเองก็ไม่ยอมง่าย ๆ จึงปีนขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ดวงตาดำขลับที่ระยิบระยับนั้นเบิกกว้างคล้ายกับตาของลูกกวางน้อย จ้องเขม็งไปยังพี่ชายอย่างไม่วางตา
เหยาต้าหลางกระแอมออกมา ดึงตัวซานเป่ามาข้างกาย เด็ก ๆ ทั้งสี่จึงล้อมเข้ามากลายเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เริ่มกระซิบกระซาบอย่างเงียบ ๆ
ต้าหลางถามขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เอ้อเป่า พวกเจ้าจะย้ายบ้านจริง ๆ หรือ?”
เด็กสาวพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจและก่อนจะส่ายหัวพร้อมกับพูดด้วยเสียงเบา ๆ “ข้าไม่รู้ วันนี้ท่านพ่อและท่านแม่เข้าเมืองไปดูบ้านกันมาแล้ว”
อาจื้อจึงพูดเสริมขึ้นว่า “ท่านพ่อและท่านแม่ไม่ให้พวกเราพูดเรื่องนี้ รอจนกว่าจะดูบ้านเสร็จ จึงค่อยเรียกท่านยายกับท่านตามารับรู้”
เหยาต้าหลางคาดเดาได้ว่า “ท่านอากับท่านอาเขยจะเข้าครัวเอง ทั้งยังบอกว่าจะประกาศข่าวดีอะไรสักอย่างด้วย มั่นใจได้เลยว่าวันนี้จะต้องไปดูบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ตัดสินใจจะย้ายบ้านเป็นแน่”
เด็กทั้งสองคนล้วนเชื่อญาติผู้พี่ ได้ยินดังนั้นก็พากันพยักหน้าเป็นตุเป็นตะ
ซานเป่ายังอ้อแอ้จอแจอยู่ข้างกาย ราวกับอยากมีส่วนร่วมในบทสนทนาของพวกเขาด้วย
แม่เฒ่าเหยาที่อยู่อีกด้านก็ได้พูดเรื่องสัพเพเหระกับสะใภ้ใหญ่เหยา วนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวพวกเด็ก ๆ ไม่มากก็น้อย
“ต้นฤดูใบไม้ผลินี้ อาเฟิงวางแผนจะทำอะไร?”
สะใภ้ใหญ่เหยาตอบกลับว่า “เห็นว่าจะลงไปท่องทิศใต้สักสองสามวันเจ้าค่ะ ตั้งใจว่าเอาผ้าผืนใหม่ของปีนี้กลับมาบางส่วนด้วย ร้านขายผ้าฝั่งนั้นส่งข่าวมา บอกว่าผ้าผืนบางไม่พอใช้แล้ว”
แม่เฒ่าเหยาพยักหน้าด้วยความเป็นกังวลว่า “ฉลองปีใหม่เสร็จอาเฟิงจะอยู่ที่นี่แค่สองสามเดือน พวกเด็ก ๆ ก็มักจะตามเขาไปอ่านหนังสือ ถือว่าปลอดภัย… แต่ตอนนี้อาเฉาก็ไม่อยู่บ้าน หากพี่ใหญ่จะลงใต้ ไปกลับอย่างน้อยก็น่าจะเดือนเศษ เจ้าลิงซนกลุ่มนี้จะอยู่ในเมืองได้อย่างไรล่ะ?”
สะใภ้ใหญ่เหยาเองก็เป็นกังวลเรื่องนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นต้าหลางและเอ้อหลางก็จะอายุครบเก้าขวบแล้ว ควรจะต้องวางแผนหลังสำหรับภายภาคหน้า
นางปรึกษากับแม่เฒ่าเหยาว่า “อาเฟิงสอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ อยู่ที่บ้าน ไม่เกินครึ่งวันทุกวัน เขียนคำศัพท์ อ่านหนังสือแค่นั้น สู้เรียนในสำนักศึกษาไม่ได้ ท่านแม่ว่าสมควรต้องส่งต้าหลางและคนอื่น ๆ ไปเรียนในสำนักศึกษาหรือไม่เจ้าคะ?”
แม่เฒ่าเหยาเองก็เคยคิดเรื่องนี้ แต่ละแวกใกล้เคียงหมู่บ้านตระกูลเหยาไม่มีสำนักศึกษา ใกล้สุดก็ต้องขึ้นเขาทางทิศตะวันตก หญิงชราส่ายหน้า “สำนักศึกษาไกลเกินไป พวกเด็ก ๆ ก็ยังเล็กนัก ตอนนี้ปล่อยให้อยู่บ้านก็ยังไม่อาจวางใจได้เลย ได้ยินว่าในสองปีนี้มีสถานศึกษาในเมืองที่ไม่เลวเลยแห่งหนึ่ง อาจารย์ก็เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง ทั้งยังเป็นบัณฑิตซิ่วไฉอีกด้วย สู้ส่งไปยังสถานศึกษาดีกว่า”
ทั้งสองคนปรึกษากันอีกชั่วครู่ แม่เฒ่าเหยาเห็นว่าไม่ได้ผลสรุปที่แน่นอนจึงพูดขึ้น “คืนนี้รอให้พ่อเจ้าและอาเฟิงกลับมาก่อน เราค่อยมาว่ากันอีกทีเถอะ”
สะใภ้ใหญ่เหยาพยักหน้า ทั้งสองคนจึงพูดเรื่องอื่น
อีกด้านหนึ่ง หลินเหราและเหยาซูทั้งสองกำลังง่วนอยู่ในห้องครัวและเพิ่งจะก่อไฟในเตาได้
ทั้งสองคนซื้อไก่งวงมาหนึ่งตัว และปลาตะเพียนอีกหนึ่งตัวมาจากในเมือง
เหยาซูกำลังต้มน้ำ เมื่อเห็นหลินเหราจัดการขอดเกล็ดปลาตะเพียน ควักเครื่องในอย่างชำนาญ จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ “ท่านชักจะเก่งเกินไปแล้ว”
หญิงสาวที่ทำอาหารตลอดทั้งปีส่วนใหญ่ ไม่ชำนาญกับการขอดเกล็ดปลาเช่นเขา
บางทีอาจเพราะพละกำลังที่ค่อนข้างมาก หลินเหราจึงสามารถกำจัดเกล็ดปลาทั้งตัวจนสะอาดเกลี้ยงเกลาได้ภายในสองสามนาที
เขาได้ยินจึงเงยหน้าขึ้น ก่อนจะถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “ว่าอย่างไรนะ?”
………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บรรดาเด็กพวกนี้นี่โตขึ้นน่าจะเป็นกลุ่มเด็กแสบกลุ่มหนึ่งแน่ ๆ
อาเหราอยู่เป็นพ่อบ้านมานานก็ย่อมเชี่ยวชาญงานครัวเป็นธรรมดาน่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)