บทที่ 109 อาเหราทำอาหารเป็น

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เหยาซูส่ายหน้า ขอแค่ทักษะทางกายภาพของหลินเหราปรากฏให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นตกปลา ล่าสัตว์ป่า ซักผ้า ทำอาหาร หรือแม้แต่อ่านหนังสือ นำทัพทำสงคราม เขาล้วนมีทักษะฝีมือทั้งสิ้นราวกับเป็นความสามารถที่มีมาตั้งแต่กำเนิด

บางทีนี่อาจจะเป็นทักษะเด่นของพระเอกก็ได้

คำพูดนี้คงพูดกับเขาไม่ได้สินะ

เหยาซูได้แต่พูดว่า “ปลาตัวนี้หากเทียบกับตัวที่ท่านจับมาได้ในครั้งที่แล้ว ยังถือว่าเล็กมาก”

หลินเหราพยักหน้า “ปลาตัวนี้น่าจะเป็นตัวที่จับมาได้จากแม่น้ำข้างนอก ตอนนี้ได้เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ปลากะพงที่อุดมสมบูรณ์ล้วนถูกจับไปจนเกือบหมดเกลี้ยง หากคิดจะหาตัวที่ใหญ่กว่านี้ คงต้องไปยังสถานที่ที่ไร้ผู้คนบนภูเขา”

เหยาซูเห็นเขาจัดการขอดเกล็ดปลา คว้านเครื่องในได้อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบพวกหอม ขิง กระเทียม ก่อนจะเดินไปข้างเตาและถามว่า “ยังอยากได้อะไรอีกหรือไม่? ข้าจะได้ช่วยท่าน”

หลินเหราไม่อยากให้เหยาซูเข้ามายุ่ง แค่หยิบจับอะไรที่สะอาดและให้นางทำงานเล็ก ๆ ง่าย ๆ ก็พอ “ปอกกระเทียม แล้วหั่นเป็นชิ้นก็พอ”

เหยาซูรู้สึกว่าตัวเองไร้เดียงสามาก แต่นางกลับไม่ได้นั่งว่างช่วยปอกกระเทียม เมื่อหั่นเสร็จ น้ำในหม้อบนเตาไฟก็เดือดพอดี

หญิงสาวมองลงไปในน้ำที่กำลังเดือดปุด ๆ “จะนึ่งหรือ? เดี๋ยวข้าไปหยิบหม้อนึ่งให้”

ทั้งสองคนร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่นานก็นำปลาที่ขอดเกล็ดเรียบร้อยแล้วขึ้นนึ่ง จากนั้นก็ออกไปดูผักในบ้าน และเริ่มเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่น

ระหว่างทำอาหารพวกเขาไม่มีการพูดคุยเลยแม้แต่น้อย บางครั้งเพียงสีหน้า การกระทำ อีกฝ่ายก็สามารถเข้าใจได้แล้ว ไม่นานก็ได้ปลากะพงนึ่งหนึ่งจาน ไก่คั่วพริกหนึ่งจาน และก็ยังมีผัดสามเซียนของชาวนาที่เพิ่งยกลงจากกระทะอีกหนึ่งจาน

ในตอนที่กำลังนึ่งปลากะพงนั้นไม่มีการใส่น้ำมัน หลังจากยกลงมาวางบนจาน เนื้อปลาสีขาวเนียนสดก็ถูกตกแต่งด้วยหัวหอมสีเขียวอ่อนและสีขาวหยก ตามด้วยน้ำปรุงรสที่มีสีค่อนข้างเข้ม ด้านบนยังมีน้ำมันจากตัวปลากะพงเคลือบอยู่บางส่วนอีกด้วย

เนื้อไก่ที่ผัดจนสีเหลืองทอง ปลาสามสหายหลากสีสันที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ถือว่ารูป รส กลิ่นครบถ้วนในทุก ๆ ด้าน

หน้าผากของเหยาซูถูกอบจนมีเหงื่อผุดพราย แต่นางกลับไม่รู้สึกร้อนโดยสิ้นเชิง ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “ความสามารถนี้ของท่าน ไปเป็นพ่อครัวในโรงเตี๊ยมหาเลี้ยงตัวเองได้เชียวนะ”

หลินเหรากลับไม่รู้สึกอะไร แค่พูดว่า “เมื่อก่อนเวลาที่ทำอาหารในบ้าน ท่านแม่ไม่เคยใส่น้ำมันที่มากเกินไป อาหารที่ผัดออกมาจึงไม่ค่อยมีกลิ่นหอมเท่าไหร่นัก”

เมื่อเห็นเขาเอ่ยถึงในอดีต เหยาซูเองก็เกิดความประหลาดใจ

เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในตระกูลหลิน หลินเหราก็เป็นคนทำอาหารเช่นนั้นหรือ?

นางไม่กล้าถามตรง ๆ จึงถามอ้อมค้อมว่า “ข้าว่าตอนนี้ท่านก็ทำอาหารอร่อยนะ ฝีมือการทำอาหารในยุคสมัยนี้ ฝึกฝนกันอย่างไรหรือ?”

หลินเหราเริ่มเตรียมวัตถุดิบอีกชุด พร้อมทั้งหั่นผักกาดขาวไปพลางและตอบกลับไปพลางว่า “อาจเป็นเพราะข้าทำอาหารให้ที่บ้านบ่อยครั้งจึงคุ้นชิน”

เหยาซูไม่ได้เปิดปากถามสิ่งใดอีก ในใจรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเขา

หลินเหราเป็นลูกชายคนโต ตามกฎระเบียบของต้าเหยียน ลูกชายต้องสืบทอดกิจการต่อจากบิดา

แม้ว่าจะเป็นตระกูลชาวนา แต่บุรุษที่เป็นเช่นนี้ก็มีจำนวนน้อยนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ลูกชายคนโตเข้าครัวทำอาหารให้คนในบ้านเลย

ทว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นในตระกูลหลิน ทั้งยังคงปรากฏให้เห็นวันแล้ววันเล่าอีกด้วย

เมื่อเห็นว่าเหยาซูไม่ปริปากพูดสิ่งใดอยู่ครู่ใหญ่ หลินเหราจึงเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แต่กลับพบกับสายตาที่ดุดันของผู้เป็นภรรยา

เขาพูดขึ้นด้วยความสงสัยว่า “เป็นอะไรไปหรือ? ข้าพูดถึงตระกูลหลิน เจ้าไม่ชอบใจอย่างนั้นหรือ?”

เหยาซูส่ายหน้า กัดริมฝีปากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี

หลินเหรากลับมองไปทางนางอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างทุ้มต่ำพูดขึ้นว่า “หากเจ้าไม่พอใจที่จะฟังเรื่องในตระกูลหลิน ต่อไปข้าจะไม่เอ่ยถึงอีก”

แม้ว่าสีหน้าของเขาจะเย็นชา ไม่ได้แสดงสีหน้ามากมายนัก แต่ดวงตาที่ระยิบระยับดุจน้ำพุร้อนที่ไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่องคู่นั้น กลับบ่งบอกถึงความรู้สึกในใจของเขาได้

เหยาซูพบว่าที่จริงแล้วก้นบึ้งในหัวใจของหลินเหรานั้นอบอุ่นมาก เพียงแต่น้อยนักที่จะแสดงออกมา

ในใจของนางกำลังข่มโทสะที่มีต่อคนในตระกูลหลินไว้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่พอใจ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพ่อแม่ของท่านถึงคิดเช่นนี้ ทำไมถึงได้ลำเอียงจนกลายไปเป็นแบบนั้น หากบอกว่าปวดใจยังน้อยไปด้วยซ้ำ การดูแลน้องสามให้มากขึ้นย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่ทัศนคติที่มีต่อบ้านกลับแข็งกระด้างยิ่งกว่าท่าน ทั้งเรื่องภายนอกและภายในบ้าน ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องมาแบกรับนี่? อีกทั้งยังจบไม่สวยเสียด้วย!”

หลินเหรารู้ว่าเหยาซูไม่ยอมเพื่อตัวเองเป็นแน่ จึงอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้ แววตาที่มองไปยังใบหน้าด้านข้างของเหยาซูเริ่มอบอุ่นไม่น้อย

จากนั้นก็เฝ้ามองนางใช้เครื่องปรุงใส่ลงไปผัดกับผักกาดขาว พลางพึมพำว่า “หลินเหรา ท่านกลัวว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดท่านใช่หรือไม่เล่า?”

หลินเหรานึกขบขันอยู่ในใจ

เมื่อเหยาซูจัดการใส่เครื่องปรุงเสร็จแล้ว เขาก็ละสายตากลับมานำผักกาดที่หั่นแล้วใส่ลงไปอีกด้าน และเริ่มเทน้ำมันลงในกระทะ พลางพูดเรื่อยเปื่อยว่า “บางทีพวกเขาอาจจะไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดข้าโดยแท้จริงก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้คล้ายคลึงกับท่านพ่อท่านแม่เท่าใดนัก”

เมื่อครั้งหลินเหรายังเยาว์วัยก็เคยถามคำถามนี้ เขาเปรียบเทียบหน้าตาของตัวเองอย่างละเอียด ซึ่งไม่คล้ายคลึงกับพ่อเฒ่าหลินและแม่เฒ่าหวังเลยแม้แต่น้อย

ทว่าเพียงใบหน้าก็คงจะบ่งบอกอะไรไม่ได้ ไม่มีครอบครัวใดรับเลี้ยงลูกของครอบครัวอื่นในฐานะลูกชายคนโตโดยไม่มีเหตุผลหรอก อย่าว่าแต่ภรรยาตระกูลหลินคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวและใจดำอำมหิตเลย

เหยาซูถือโอกาสพูดต่อ “ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดก็ดีน่ะสิ! มีบิดามารดาเช่นนี้…เฮ้อ ข้าเพียงจะพูดว่า พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะเป็นพ่อแม่ ท่านจึงได้รับความไม่เป็นธรรม”

หญิงสาวเกือบพูดคำวิจารณ์ที่มีต่อพ่อแม่ตระกูลหลินในใจออกมาแล้ว ซึ่งนั่นไม่ใช่คำพูดที่ดีเท่าไรนัก โชคดีที่นางอดกลั้นไว้ก่อนที่จะพลั้งปากออกไป

หลินเหราไม่แสดงความคิดเห็นใด ส่วนอาการไม่พอใจเหยาซูนั้น เขาไม่ได้โต้เถียงแทนสามีภรรยาตระกูลหลิน และไม่คิดตัดสินเจตนาของนางด้วย

“มันผ่านไปแล้ว ข้าเองก็โตแล้ว จำไม่ได้หรอกว่าเรื่องไหนไม่เป็นธรรมเรื่องไหนเป็นธรรม เราอยู่บ้านเดียวกัน ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็เพียงพอแล้ว”

น้ำเสียงของฝ่ายชายแหบแห้งและเคร่งขรึมมาก เหมือนกับตอนที่เปิดฝาเหล้าที่บ่มมานาน กลิ่นหอมฉุยได้ตลบอบอวลขึ้นมา ทำให้มึนเมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เหยาซูมองไปทางใบหน้าด้านข้างที่มีโครงหน้าอย่างชัดเจนของหลินเหรา ในใจเริ่มก่อเกิดความรู้สึกอ่อนโยนขึ้น

วินาทีนี้นางสัมผัสได้ว่า ฝ่ายชายเห็นตนเป็นคนในครอบครัวอย่างแท้จริง

เหยาซูตอบรับเสียงต่ำ “อื้อ พวกเรามาใช้ชีวิตให้ดี ๆ กันเถอะ”

เมื่อน้ำมันในกระทะร้อนแล้ว พริบตาเดียวผักกาดที่อยู่ในหม้อก็เริ่มส่งเสียงฉ่า ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานกับเสียงไม้พายกระทบกับก้นกระทะในตอนที่หลินเหรากำลังผัด

เขานำน้ำปรุงรสที่อยู่ในถ้วยเล็กใส่ลงไปในกระทะ วัตถุดิบและเครื่องปรุงรสได้ทำปฏิกิริยาต่อกัน ไม่นานก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่วพื้นที่

เสียงนี้ กลิ่นหอมนี้ นำพาความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนมาให้กับเหยาซู

มื้อค่ำของชาวนาไม่ซับซ้อนนัก เหยาซูและหลินเหราทั้งสองคนทำอาหารออกมาสี่จาน ต้มน้ำแกงหนึ่งหม้อ และคั่วถั่วอีกบางส่วน ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น

เหยาซูเรียกพวกเด็กมาช่วยกันยกอาหาร และล้างมือ

พ่อเฒ่าเหยาและเหยาเฟิงทั้งสองคนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก บังเอิญเห็นหลินเหราเดินออกมาจากครัวพอดี มีเม็ดเหงื่อละเอียดจากไอร้อนในห้องครัวผุดขึ้นเต็มหน้าผาก

พ่อเฒ่าเหยาพูดขึ้นอย่างแปลกใจว่า “อาเหรา? เหตุใดเจ้าถึงเดินออกมาจากในครัวได้เล่า?”

เหยาต้าหลางถือจานผักกาดผัดที่เพิ่งเทออกจากกระทะได้ไม่นานอยู่ในมือ ขาเล็ก ๆ วิ่งเยาะออกไปข้างนอก จนเกือบชนหลินเหราเลยทีเดียว

เมื่อเห็นอาวุโสทั้งสองคน ใบหน้าของต้าหลางก็แย้มยิ้ม “ท่านปู่ ท่านพ่อ! วันนี้ท่านอาและท่านอาเขยเป็นคนทำอาหารมื้อค่ำนี้!”

ทั้งสองคนมองหน้ากัน พ่อเฒ่าเหยาถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อาเหราทำอาหารเป็นด้วยหรือ?”

…………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ก็ว่าอยู่นะคะว่าอาเหราอาจไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของสองสามีภรรยาตระกูลนั้น ดูวิธีปฏิบัติต่ออาเหราตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วปวดใจมาก

ไหหม่า(海馬)