จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 139

เดินพ้นโรงประมูลออกมา เพิ่งผ่านอีก็ทำท่าทางตื่นเต้น

แก่นอสูรสองร้อยแก่นแลกกับมุกอัสนีห้าสิบเม็ดและมุกหลีกวารีอีกสี่เม็ด ราคาที่จ่ายอ อกไปยังน้อยกว่าผู้อื่นอยู่หลายเท่า เวลานี้เขาแทบจะยกฉันเทียนขึ้นเป็นพี่ใหญ่แล้ว

นึกถึงฉากที่ต่างคนต่างประมูลอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว เพิ่งผ่านอีก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

หากแต่นเทียนกลับจมอยู่ในห้วงความคิด ดูท่าเจ้าเมืองอสูรคงต้องการแก่นอสูรอย่างเร่งด่วน ไม่อย่างนั้นคงไม่แลกเปลี่ยนด้วยราคาที่ต่ำแบบนี้แน่”

ราคาสองร้อยแก่นที่เสนอออกไปเป็นเพียงการโยนหินถามทางเท่านั้น

เมื่อเจรจาธุรกิจ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องต่อรองราคาสักหน่อย แต่ฉุนเทียนคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตกลงจริงๆ นี่เป็นเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย แต่ก็ยังเข้าใจได้ ตอนนี้เจ้าเมืองอสูรคงกำลังขาดแคลนแก่นอสูรอย่างหนัก และนั่นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว เจ้าเมืองอสูรกำลังจะทะลวงขั้น!

ไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะระดับชั้นใด แก่นอสูรย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย และสำหรับฉุนเทียนแล้ว แก่นระดับห้าชิ้นหนึ่งจะเทียบได้กับค่าพลังปราณจำนวนสองแสนจุด แก่นระดับหกก็เทียบได้กับค่าพลังปราณสี่แสนจุด

ดังนั้นแก่นแต่ละอันล้วนมีความสำคัญต่อฉุนเทียนอย่างมาก

ตอนนี้แก่นหลายร้อยอันที่ได้รับจากการสังหารหยางซานเหลืออยู่ไม่มากแล้ว แต่เพื่อที่จะเพิ่มเลเวลจนถึงทะลวงระดับไปขั้นสวรรค์แล้วก็นับว่าคุ้มค่ายิ่ง

มุกอัสนีนี้ก็ไม่เหมือนมุกอีสนีทั่วไป แต่ละเม็ดล้วนแผ่รัศมีพลังออกมาลางๆ นับตั้งแต่ที่ได้เห็นคราแรก ฉินเทียนก็ตั้งมั่นว่าจะซื้อมาให้ได้แล้ว

และคุณสมบัติของมุกอัสนีนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง มันสามารถปลดปล่อยสายฟ้าออกมาได้มากกว่าปกติ แม้รัศมีของมันจะเทียบไม่ได้กับเค้ดวิชชุทะลวงฟ้า ทว่าอานุภาพของมันก็ไม่อาจมองข้ามไป เพียงเม็ดเดียวก็สามารถสังหารสัตว์อสูรที่อยู่ตั้งแต่ระดับห้าลงไป ดังนั้นจึงเหมาะในการเก็บเลเวลมากกว่า

การใช้เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าแต่ละครั้งล้วนต้องจ่ายพลังปราณจำนวนหนึ่งแสนจุด ในเขตน่านน้ำอันอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้จะมีอะไรอยู่บ้างก็ยังไม่ทราบ ดังนั้นการเก็บออมพลังปราณไว้ใช้ในช่วงเวลาสำคัญย่อมเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด

อีกทั้งน้ำยังเป็นตัวนำสายฟ้า ดังนั้นการใช้มันใต้มหาสมุทรก็จะส่งผลรุนแรงกว่าเดิม นี่ก็คือสิ่งที่แล่นเข้ามาในความคิดของฉุนเทียนตอนที่เขาได้เห็นมุกอัสนี

เพิ่งผ่านอีตื่นเต้นดีใจจนแทบจะเดินชนกับคนกลุ่มหนึ่งเข้า

คนกลุ่มนั้นพลันชักสีหน้า ยังไม่ทันที่เพิ่งผ่านอีจะทันได้เอ่ยคำขอโทษ คนจำนวนห้าหกคนก็ล้อมเพิ่งผ่านอีเอาไว้อย่างเอาเรื่อง

“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้ คิดจะหาเรื่องกันรึไง?”

“บัดซบ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตแล้วงั้นรึ?”

“รู้รึเปล่าว่าพวกข้าเป็นใคร? เชื่อหรือไม่ว่าบิดาจะทุบตีเจ้าให้ตายอยู่ตรงนี้!”

เดิมที่เพิ่งผ่านอีก็เตรียมตัวจะเอ่ยปากขอโทษ แต่เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ก่นด่าอย่างไม่ไว้หน้าแล้วเพิ่งผ่านอีก็เดือดดาลขึ้นมา ” ชนแล้วอย่างไร? ชนแล้วจะทำไม?”

กลิ่นอายของระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณเริ่มแผ่ซ่านจากร่าง สายตากวาดมองดูกลุ่มคนที่แต่งตัวอย่างหรูหรากลุ่มนี้คราหนึ่งแล้วก็ต้องชะงัก บนอกเสื้อของคนเหล่านี้ล้วนมีสัญลักษณ์เมฆที่พริ้วไหวประดับอยู่

“สำนักเมฆาคล้อย?” หัวใจของเพิ่งผ่านอีกระตุกวูบ เขารีบเก็บกลิ่นอายเข้าร่าง ทว่าสีหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเดิม

“โอ้ ขอทานอย่างเจ้าก็รู้จักสำนักเมฆาคล้อยของพวกเราด้วยงั้นรึ?”

“ไอ้หนูน ดูเหมือนจะยังมีดวงตางอกเงยอยู่บ้าง แล้วรู้หรือไม่ว่าเจ้าเดินชนผู้ใดเข้า? รู้แล้วอย่าตกใจตายไปล่ะ ผู้ที่เจ้าเดินชนก็คือนายน้อยเหยาชิง ทายาทเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสสูงสุด!”

“รีบคำนับขอโทษเสีย ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องตาย…”

ฉินเทียนผงะ คนกลุ่มนี้มีอยู่ห้าคนที่อยู่ในระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณ ขณะที่ชายหนุ่มวิ่งถูกเอ่ยถึงอยู่ในขั้นสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นที่สวมอยู่บนร่างของนายน้อยผู้นั้นยังเป็นสมบัติอมตะขั้นกลาง

ฉินเทียนเดินเข้าไปอยู่ข้างๆเพิ่งผ่านก่อนจะส่งสัญญาณให้ระงับโทสะไว้ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อา เป็นนายน้อยเหยานี่เอง เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว นายน้อยโปรดให้อภัย เป็นพวกเราที่ไม่ระมัดระวังเอง ขออย่าได้ถือสาคนต่ำต้อยอย่างพวกเรา”

เหยาชิงแค่นเสียงเดินเข้ามา สายตาจ้องมองฉันเทียนอย่างเย็นชาก่อนจะกล่าวอย่างดูถูก ”คิดว่าตัวเองเป็นใคร? คิดว่าเป็นศิษย์สำนักเทียนจี้แล้วยิ่งใหญ่นักหรือ? คิดว่าตัวเองสูงส่งจนดวงตางอกเงยอยู่เหนือศีรษะแล้ว?”

“เหอๆ พวกเราสองคนเป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไป ขอนายน้อยใจกว้างอย่าได้ถือสาหาความ” สีหน้าของฉันเทียนเริ่มเขม็งตึง หัวใจกระตุกวูบ

เพิ่งผ่านอีก็แทบไม่อาจสะกดกลั้นได้แล้ว สายตาจ้องไปยังเหยาชิงพลางเกร็งกล้ามเนื้อเตรียมต่อสู้

สำนักเมฆาคล้อยเป็นสำนักอันดับสามของสิบสำนักใหญ่ พวกเขามีขุมกำลังอยู่มหาศาลมีศิษย์อยู่หลายล้านคน อีกทั้งพลังต่อสู้โดยรวมยังแข็งแกร่งกว่าสำนักเทียนจี้ ว่ากันว่าในหมู่ผู้อาวุโสของสำนักเมฆาคล้อยมีผู้ที่กำลังเฝ้ารอคอยโอกาสบรรลุกลายเป็นเซียนอยู่

หากคนผู้นั้นสามารถบรรลุกลายเป็นเซียนได้จริงๆ สำนักเมฆาคล้อยก็จะกลายเป็นสำนักอันดับสอง เป็นรองเพียงสำนักหงฮวง

ที่ผ่านมาเหยาชิงเย่อหยิ่งไม่เห็นผู้ใดในสายตา ยิ่งสำนักเทียนขี้อ่อนแอกว่าสำนักเมฆาคล้อยก็ยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อรู้ว่าเพิ่งผ่านอีเป็นศิษย์จากสำนักเทียนจี ท่าทางเหยืดหยามของเขาก็ยิ่งชัดเจนเหยาขิงหัวเราะเสียงเย็น ”โขกศีรษะขอขมา แล้วข้าจะให้อภัย”

“เจ้า” เพิ่งผ่านอีถลึงตาอย่างโกรธแค้น

หากไม่ใช่เพราะฉินเทียนฉุดรั้งเอาไว้ เพิ่งผ่านอีคงพุ่งออกไปแล้ว

ตอนนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งถือขนมเดินเข้าหาเหยาชิงอย่างนอบน้อม “นายน้อย ขนมขบเคี้ยวขอรับ”

เหยาชิงเปลี่ยนสีหน้า เขาหันไปรับขนมเอาไว้ก่อนจะตบออกไป “ไปซื้อขนมทำไมถึงช้าขนาดนี้ว”

“อีก” ชายคนนั้นรีบลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น ไม่กล้าขยับเคลื่อนไหว

“พี่ใหญ่เฮย!” ฉุนเทียนตกใจจนหลุดปากโพล่งออกมา

ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นก่อนจะตกตะลึง “ฉุนเทียน!”

ชายคนนี้ก็คือเฮยหยาน ผ่านมาไม่กี่ปี ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นช่วงใหญ่ หากแต่จิตใจอันทรนงกลับหายไป แววตาที่มักจะมุ่งมั่นอยู่เสมอก็กลายเป็นหมองมัว สภาพอันน่าอดสูของเฮยหยานทำให้ฉันเทียนนิ่งเงียบจมอยู่ในห้วงความคิด “นี่ยังใช่พี่ใหญ่เฮยที่ข้ารู้จักอยู่เปล่า?

ฉินเทียนรีบเกินเข้าไป หวังช่วยพยุงเฮยหยานขึ้นมา

ทว่าร่างกายของเฮยหยานกลับไม่ขยับเขยื้อน ปฏิเสธไม่ยอมขยับ “ฉินเทียน ไม่ต้องสนใจข้า”

” พี่ใหญ่เฮย เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?” ฉุนเทียนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาถึงได้ทำให้บุรุษเหล็กอย่างเฮยหยานเปลี่ยนไปจนกลายเป็นแบบนี้ได้ ในใจของเขารู้สึกโกรธมาก

เหยาชิงแค่นเสียงก่อนจะกล่าวว่า “ทาสสุนัข คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีสหายอยู่ที่สำนักเทียนจี้ หรือที่จริงแล้วเจ้าเป็นสายลับที่แฝงตัวเข้ามาสอดแนมสำนักเมฆาคล้อยของพวกเรา? ใครก็ได้ ลากเจ้านี่ออกไปจัดการหน่อย”

” ขอรับ!”

หลายคนที่โอบล้อมเพิ่งผ่านอีอยู่รีบเข้ามาจับมัดเฮยหยานก่อนจะกระชากลากถูเขาออกจากเมือง ดวงตาของเฮยหยานค่อยๆปิดลงช้าๆ สีหน้าทอแววสิ้นหวัง หากแต่ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด

” พี่ใหญ่เฮย…” ฉุนเทียนตะโกนเรียก

“ฉุนเทียน เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ไปซะ” เฮยหยานตะโกนบอก แต่ในใจเริ่มบังเกิดความกังวล

ฉินเทียนหน้าเปลี่ยนสี เขากู่ร้องพลางชี้มือไปยังเหยาชิง “หากมีความกล้าก็มาสู้กับข้า ดูว่าผู้ใดที่จะตกตาย!”

จิตสังหารพรั่งพรูจากร่าง ทุกเท้าที่ก้าวออกหนักแน่นดุจช้างสาร ผู้คนที่เดินผ่านไปมาล้วนแต่ชะงักเท้าก่อนจะมองฉันเทียนอย่าเหม่อลอย

ผู้บ่มเพาะระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณกลับมีกลิ่นอายที่ลึกล้ำถึงเพียงนี้

ท่าทางอันแข็งกร้าวของฉันเทียนได้ปลุกกระตุ้นโทสะของเหยาชิงขึ้นมาแล้ว

กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือพร้อมจิตกระบี่แผ่กระจายจากร่าง เหยาชิงตวัดกระบี่คราหนึ่งที่บนฟ้าก็ปรากฎกระบี่ปราณพุ่งเข้าใส่ฉินเทียน

ละเลยกฎห้ามลงมือภายในเมืองอสูร?

ฉินเทียนแค่นเสียง ก่อนจะหันไปมองเพิ่งผ่านอี “ช่วยสหายข้าที่ เหยาชิงผู้นี้ข้ารับมือเอง”

“วางใจเถอะ” เพิ่งผ่านอีพยักหน้าก่อนรีบพุ่งร่างไปทางประตูเมือง

เผชิญกับกระบี่ปราณนี้ ฉุนเทียนก็ร้องในใจ เขาเรียกใช้บ้าคลั่งขั้นที่หนึ่ง และใช้พลังมังกรพิสุทธิ์ปกคลุมร่าง บนร่างกายยังปรากฏเกราะปีศาจโลหิตสงครามขึ้นสวมใส่ พลังสีดำปรากฏขึ้นในมือก่อนจะค่อยๆม้วนพันอยู่รอบแขน…..

การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!