ตอนที่ 126 ความอึดอัดใจของมู่เชิน แอบฟังมุมกำแพง (2)

หวนคืนชะตาแค้น

เมื่อถูกสายตาของมู่เชินจับจ้องจนทำตัวไม่ถูก มู่ฉังหมิงเลยอดกระแอมไอออกมาไม่ได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่คิดอะไรอยู่ แต่ก็พอจะคาดเดาออกได้บางส่วน ทำให้มู่ฉังหมิงรู้สึกอับอาย

พอถูกมู่ฉังหมิงด่าทอด้วยความโกรธต่อหน้าบุตรสาว สีหน้าของสะใภ้ซุนก็ดูไม่ดีเท่าไหร่นักเถียงขึ้นข้างๆ คูๆ ว่า “ข้าพูดอะไรไม่ถูกอย่างนั้นหรือ ถึงอย่างไรเสียคุณหนูสี่ก็แต่งออกเรือนไม่ได้อยู่แล้ว หรือว่าจะทำร้ายหรงเอ๋อร์ของข้าอย่างนั้นหรือ”

มู่เชินกลอกตาใส่อย่างเงียบๆ พอไม่แต่งออกเรือนแทนก็ถือโทษว่าเป็นการทำร้ายนางเอาเสียได้ เรื่องแต่งงานในตอนแรกเขาก็ไม่ได้ร้องขอให้นางเป็นคนแย่งไปสักหน่อย มู่เชินกระแอมเสียงเบาแล้วเอ่ย “โปรดฮูหยินไตร่ตรองดูเถิด เกรงว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์คงไม่เห็นด้วยหากพวกเราจะเปลี่ยนตัวเจ้าสาวตามใจชอบ”

สะใภ้ซุนแค่นเสียงเบาอย่างดูแคลน “แค่ขอให้พระสนมช่วยกราบทูลต่อฮ่องเต้ก็ได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย เพราะตอนนี้พระสนมทรงพระครรภ์หน่อเนื้อเชื้อไขของพระองค์อยู่”

ภายในใจของมู่เชินดูแคลนนางอย่างมาก

เจ้าคิดว่าในท้องของมู่เฟยหลวนกำลังมีบัลลังก์กษัตริย์อยู่หรือย่างไร ถึงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่อย่างน้อยในสายตาขององค์ไทเฮา หนิงอ๋องก็ย่อมสำคัญกว่าเด็กในครรภ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิงอยู่แล้ว

“พอแล้ว! เรื่องนี้ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ส่วนความคิดเหลวไหลพวกนั้นของเจ้าก็รีบเก็บกลับไปเดี๋ยวนี้เลย” มู่ฉังหมิงกวาดตามองสะใภ้ซุนแวบหนึ่งแล้วตวาดใส่ เวลานี้พวกเขากำลังหลีกเลี่ยงไม่ให้ฮ่องเต้แคว้นหวานึกถึงมู่ชิงอีแล้วตนจะทำเรื่องแบบนั้นได้เช่นไร ถึงแม้ตอนนี้มู่ชิงอีจะเสียโฉมไปแล้ว แต่เวลานี้มันประจวบเหมาะมากเกินไปจริงๆ ถ้าฮ่องเต้แคว้นหวายังไม่ทรงปล่อยวางแล้วส่งคนไปตามสืบต่อ ไม่ว่าจะจวนซู่เฉิงโหวหรือทางฝั่งโหรวเฟยก็คงชดใช้ไม่ไหว

สะใภ้ซุนชะงักงัน พอรู้สึกตัวก็ร้องไห้ตะโกนดังลั่นยิ่งกว่าเดิม “หรือว่าข้าทำเพื่อตัวเองอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เพื่อบุตรสาวหรืออย่างไรกัน! หรือว่าหรงเอ๋อร์ไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของท่านพี่? ท่านโหว…ท่านช่างใจดำยิ่งนัก”

มู่อวิ๋นหรงเองก็ปล่อยโฮร่ำไห้ตามเช่นกัน “ท่านแม่ ฮือๆ…ชีวิตของลูกช่างทุกข์ระทมนัก…”

จากห้องหนังสือที่เดิมทีใช้ปรึกษาหารือเรื่องงาน ในเวลานี้กลับมีเสียงดังโวยวายราวกับตลาดสดก็ไม่ปาน มู่หลิงขมวดคิ้วอย่างนึกรำคาญใจโดยไม่พูดอะไร มู่ฉังหมิงมองสองแม่ลูกที่ร่ำไห้ยกใหญ่ราวฟ้าถล่มดินทลายเบื้องหน้าแล้วหยัดกายลุกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เดินออกจากห้องไปด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว เหวี่ยงประตูห้องหนังสือปิดเสียงดัง ปัง!

เสียงดังสนั่นทำให้สองแม่ลูกพลันชะงักไปจนกระทั่งลืมร้องไห้ พอมู่เชินดูแล้วไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตนจึงลุกขึ้นเดินตามออกไป ตอนที่เดินเข้าใกล้สะใภ้ซุนและมู่อวิ๋นหรงก็ชะลอฝีเท้าลงแล้วยกยิ้มอย่างแผ่วเบามองสะใภ้ซุนพลางกล่าว “ฮูหยิน บุตรสาวแท้ๆ ของท่านพ่อก็ไม่ได้มีแค่น้องหญิงสามคนเดียว น้องหญิงสี่เองก็เป็นลูกแท้ๆ ของท่านพ่อเช่นกัน” พอมู่เชินพูดจบก็ไม่ได้สนใจว่าสะใภ้ซุนจะมีสีหน้าเช่นไร รีบเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องหนังสือไป ตามที่คิดไว้ เพิ่งเดินออกจากห้องหนังสือมาก็ได้ยินเสียงสบถด่าอันแหลมสูงของซุนฮูหยินดังแว่วออกมาจากข้างใน “จะเปรียบเทียบอะไรกับคนอย่างนางได้ ก็แค่นังสารเลวคนหนึ่งเท่านั้นแหละ!”

มู่เชินหันหน้าไปมองอีกทางก็เห็นมู่ฉังหมิงยืนอยู่ตรงชายคาเรือนที่อยู่ห่างไม่ไกลออกไปพร้อมสีหน้าเดือดดาล เห็นได้ชัดว่าเสียงสบถด่าที่สะใภ้ซุนพ่นออกมาเขาได้ยินชัดเต็มสองหู

ท่านพ่อ นี่ก็คือหญิงคนโปรดปรานของท่านพ่อ ท่านดูเอาเองเถิด

“ท่านแม่…ข้าควรทำอย่างไรต่อไปดี” มู่อวิ๋นหรงกล่าวพลางร่ำไห้แล้วล้มตัวใส่อ้อมอกของสะใภ้ซุน สะใภ้ซุนรีบเอ่ยปลอบโยนบุตรสาว “หรงเอ๋อร์อย่ากลัวไปเลย ไม่ต้องกังวลไป อีกสองวันแม่จะเข้าวังไปร้องขอกับพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเอง พวกเจ้าสองคนเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน พี่หญิงใหญ่ของเจ้าจะทนดูเจ้าโดนรังแกได้เชียวหรือ”

แต่มู่อวิ๋นหรงยังคงเอ่ยด้วยความกังวลใจว่า “ถ้าเกิดองค์ไทเฮาทรงรั้นจะจัดงานเพื่อลบล้างเรื่องเลวร้ายให้ได้เล่า…” มู่อวิ๋นหรงไม่ได้โง่เขลา ถึงแม้บ่อยครั้งนักที่นางจะแสดงท่าทีดูไม่ค่อยหลักแหลมสักเท่าไร แต่ยามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และอำนาจของตนกลับมีสติรู้ตัวดีอย่างน่าอัศจรรย์

ต่อให้พี่หญิงใหญ่จะเก่งกาจเพียงใดก็สู้องค์ไทเฮาไม่ได้อยู่ดี

มู่หลิงเอ่ยพลางยิ้มเย็นชา “ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตไม่ใช่หรือ ต้องไปร้องขอกับพี่หญิงใหญ่ด้วยหรือ ยิ่งไปกว่านั้นท่านแม่เองก็อย่าเสียเวลาไปร้องขอนางเลย พี่หญิงใหญ่ไม่เห็นด้วยแน่นอน”

สะใภ้ซุนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “เจ้าพูดอะไรกัน หลวนเอ๋อร์รักหรงเอ๋อร์ที่สุดตลอดมาอยู่แล้ว”

มู่หลิงแค่นเสียงเบาเอ่ย “ต่อให้รักแต่หากโยงไปถึงสถานะของพี่หญิงใหญ่แล้วนางจะตกปากรับคำหรือ เพื่อทำให้ฮ่องเต้ไม่เห็นน้องหญิงสี่ พี่หญิงใหญ่เปลืองแรงใช้ความคิดไปตั้งมาก ทว่าตอนนี้ท่านแม่กลับให้พี่หญิงใหญ่กราบทูลพูดถึงน้องหญิงสี่กับฮ่องเต้ นี่ไม่ได้เป็นการเสียแรงเปล่าหรอกหรือ หากถึงตอนนั้นฮ่องเต้ทรงกริ้วขึ้นมาหรือเกิดนึกสนใจชั่วขณะแล้วตามสืบว่าเหตุใดน้องหญิงสี่ถึงเสียโฉมขึ้นมา ใครจะแบกรับโทษนั้นไหวกัน”

“คือว่า…” ทั้งสองคนถึงเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นได้ ถึงแม้ด้านนอกจะพากันเล่าลือว่ามู่ชิงอีทานอาหารผิดสำแดงเอง แต่ของที่ในจวนซื้อมาทำส่งไปให้มู่ชิงอีก็ส่งต่อกันมาหลายมือ หากมีคนตั้งใจจะสืบหาจริงๆ คิดว่าคงสืบหาไม่เจอแน่นอน

สะใภ้ซุนลังเลอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “หลิงเอ๋อร์ เจ้าพูดเช่นนี้…มีวิธีอื่นอย่างนั้นหรือ”

มู่หลิงเอ่ย “ถ้าไม่มีเรื่องนี้ย่อมเป็นการดีอยู่แล้ว หากองค์ไทเฮาทรงอยากจัดงานมงคลมาลบล้างเรื่องเลวร้ายจริงๆ…ถึงตอนนั้นคิดหาวิธีเอาตัวมู่ชิงอียัดใส่เกี้ยวไปก็จบ รอจนส่งตัวเข้าจวนหนิงอ๋องแล้วจะยังเปลี่ยนตัวเจ้าสาวได้อีกหรือ ถึงเวลานั้นก็ให้ท่านพ่อไปพูดจาดีๆ กับทางกงอ๋องล่วงหน้าก่อนสักหน่อยเรื่องนี้ก็ผ่านพ้นได้แล้ว ส่วนน้องหญิงสามก็คิดหาวิธีเปลี่ยนสถานะในภาคภายหน้าก็จบ ถึงอย่างไรเสียชั่วชีวิตนี้สถานะของมู่อวิ๋นหรงก็ไม่มีหวังอะไรอยู่แล้ว” ถ้าไม่กลายเป็นหญิงหม้ายเฝ้าเรือนก็ต้องแต่งเข้าจวนหนิงอ๋องเพื่อช่วยลบล้างเรื่องเลวร้ายแล้วรอเป็นหญิงหม้ายอยู่ดี

ได้ฟังน้ำเสียงเฉยชาของมู่หลิง มู่อวิ๋นหรงก็ปาดน้ำตาด้วยความโกรธอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ แต่นอกจากวิธีการของมู่หลิง นางเองก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน มู่หลิงพูดไม่ผิดเลยสักนิด สถานะของมู่อวิ๋นหรงได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าชั่วชีวิตนี้คงโผหน้าไปไหนไม่ได้อีกต่อให้จะถูกจับแต่งงานเพื่อลบล้างเรื่องเลวร้ายก็ไม่เป็นไรสักนิด

แต่ขอแค่สุดท้ายคนที่ถูกจับส่งเข้าจวนหนิงอ๋องไปไม่ใช่นางก็พอ

“ทำแบบนี้…ได้ด้วยหรือ” สะใภ้ซุนเอ่ยด้วยท่าทีลังเลใจอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าท่านโหวคงไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้เลย อีกทั้งยังดูแน่วแน่แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะนางมักจะชอบทำเรื่องที่ไม่ควรทำลับหลังมู่ฉังหมิงบ่อยๆ แต่สะใภ้ซุนกลับไม่เคยกล้าทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับมู่ฉังหมิงอย่างชัดเจน

มู่หลิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “มีอะไรที่ทำไม่ได้กัน ปกติท่านพ่อยุ่งจะตาย เรือนหลานจื่อก็มีกันอยู่แค่ไม่กี่คน ขอเพียงพวกเราระวังตอนส่งตัวเข้าเกี้ยวอย่าถูกจับได้ก่อนก็พอ รอจนจัดการสำเร็จแล้ว ท่านพ่อคงไม่ทำอะไรเราเพื่อมู่ชิงอีหรอกกระมัง”

ต่อให้นับตามจำนวน พวกเขาสามคนแม่ลูกย่อมสำคัญกว่ามู่ชิงอีคนเดียวอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีโหรวเฟยหนุนหลังอยู่อีกคน ขอแค่ท่านพ่อไม่อยากเกิดเรื่องผิดใจกับโหรวเฟยคงไม่ทำอะไรพวกเขาแน่นอน

สะใภ้ซุนขบคิดอย่างจริงจัง ก็พลันรู้สึกว่าคำพูดของมู่หลิงนั้นมีเหตุผล “หลิงเอ๋อร์พูดถูก ถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นย่อมเป็นการดี ถ้าเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงๆ…ก็จับตัวมู่ชิงอีนังเด็กนั่นส่งไปก็สิ้นเรื่อง!”

ยามที่แผนการของสะใภ้ซุนดังไปถึงหูของมู่ชิงอีกลับกลายเป็นเรื่องขบขัน คนฉลาดไม่น่ากลัว คนโง่ก็ไม่น่ากลัว คนที่น่ากลัวคือคนโง่ที่นึกว่าตัวเองฉลาดต่างหาก

มู่เชิงมองมู่ชิงอีที่แสดงท่าทีเหมือนไม่ยี่หระอะไรก็ขมวดคิ้วมุ่นเอ่ย “น้องหญิงสี่ เจ้าไม่กังวลสักนิดเลยหรือ”

ใบหน้าของมู่ชิงอีถูกปกปิดอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าจึงทำให้เห็นสีหน้าไม่ชัดเจนนัก ทว่านัยน์ตาสองทั้งข้างที่เผยให้เห็นนั้นแฝงความขบขันปนผ่อนคลาย มู่ชิงอีเงยหน้ามองมู่เชินแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้น “ขอบคุณท่านพี่มากนะเจ้าคะที่ในยามนี้…มาบอกเรื่องนี้กับข้าด้วยตัวเอง”

ตอนต่อไป