ตอนที่ 127 ความอึดอัดใจของมู่เชิน แอบฟังมุมกำแพง (3)

หวนคืนชะตาแค้น

นับจากชั่ววินาทีที่ข่าวเรื่องเสียโฉมของมู่ชิงอีแพร่งพรายออกมาไป เกือบทุกคนในจวนซู่เฉิงโหวต่างนึกว่าชีวิตของนางคงจบเห่แล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มู่เชินยังกล้าเสี่ยงสร้างความไม่พอใจต่อมู่ฉังหมิงเพื่อมาบอกกับนาง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ถือว่าไม่ง่ายเลย มู่เชินเอ่ย “น้องหญิงสี่ไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้ ตอนที่ฮูหยินยังอยู่…ก็ถือว่าปฏิบัติต่อข้าและอนุภรรยาเป็นอย่างดี น้องหญิงสี่ สามแม่ลูกสะใภ้ซุนมีใจคิดปองร้ายเจ้ามานานแล้ว ระวังตัวไว้บ้างจะดีกว่า”

มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่เป็นห่วง แต่ว่า…ถ้าหากข้าไม่คิดยอมให้ใครปองร้ายข้า…เกรงว่าบนโลกนี้คนที่คิดวางแผนปองร้ายข้าได้คงมีอยู่ไม่กี่คน อย่างน้อยก็ไม่ได้รวมสามคนนั้นอยู่ด้วยหรอกเจ้าค่ะ”

มู่เชินชะงักไป มองมู่ชิงอีด้วยท่าทีตกใจเล็กน้อยกล่าว “น้องหญิงสี่มีแผนการรับมืออะไรหรือ” เมื่อเห็นแววตาแน่นิ่งของมู่ชิงอี มู่เชินก็รู้ตัวว่าตนพูดผิดไปเลยเอ่ยอย่างละอายใจว่า “พี่ใหญ่ถามมากเกินไป เอาเป็นว่าน้องหญิงสี่ต้องระวังตัวมากๆ”

มู่ชิงอีรับน้ำแกงบำรุงร่างกายมาจากจูเอ๋อร์ จากนั้นนางก็ใช้ช้อนคนช้าๆ พลางกวาดตามองมู่เฉิน “หลายวันมานี้พี่ใหญ่คิดเห็นอย่างไรต่อท่านพ่อและจวนซู่เฉิงโหวบ้างหรือ”

แววตามู่เชินหม่นลงเล็กน้อยฝืนยิ้มเอ่ย “ไม่ว่าข้าจะทำอะไร ก็เกรงว่าคงไม่เข้าตาท่านพ่อเลยกระมัง” เดิมทีนึกว่ามู่หลิงโชคร้ายแล้วท่านพ่อจะเห็นตนอยู่ในสายตาบ้าง ไม่กี่วันก่อนท่านพ่อดีกับเขากว่าเมื่อก่อนไม่น้อย ทว่าผ่านไปได้ไม่นานเท่าไร มู่หลิงก็เริ่มถูกท่านพ่อเรียกเข้าไปคุยเรื่องงานในห้องหนังสือถี่ขึ้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าในใจของท่านพ่อนั้นมู่หลิงก็ยังคงเป็นผู้สืบทอดของจวนซู่เฉิงโหว บุตรชายอย่างเขาก็เป็นแค่สินค้าทดแทนที่ไม่ได้สำคัญอะไร หรือจะพูดได้ว่าสู้ไม่ได้แม้แต่สินค้าทดแทนด้วยซ้ำแต่เป็นแค่คนจัดแจงธุระยามที่ไม่มีใครให้ใช้ก็เท่านั้นเอง มู่หลิงทำผิดมหันต์ขนาดนั้น แต่ในสายตาของท่านพ่อก็ยังคงเป็นบุตรชายที่สำคัญที่สุดเสมอ มู่เชินเชื่อว่าถ้าเรื่องครั้งนั้นเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง เกรงว่าท่านพ่อคงเฆี่ยนตียกใหญ่แล้วขับออกจากจวนไปนานแล้ว

มู่ชิงอีมองเขาด้วยท่าทีเรียบนิ่งแล้วเอ่ย “ข้าเคยบอกนานแล้ว ขอแค่โหรวเฟยยังอยู่แม้แต่วันเดียว…ท่านพ่อไม่มีทางปล่อยมู่หลิงไปแน่นอน”

มู่เชินเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อยว่า “แล้วอย่างไรเล่า หรือน้องหญิงสี่คิดว่าลำพังแค่ลูกอนุคนหนึ่งจะทำอะไรโหรวเฟยได้อย่างนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นคนในจวนซู่เฉิงโหว หากมีเกียรติก็ล้วนได้หน้าได้ตาเหมือนกัน แต่หากเสื่อมเสียก็ล่มจมไปด้วยกันหมด หากเกิดอะไรขึ้นกับโหรวเฟยขึ้นมา ข้าจะได้ผลประโยชน์อะไรเล่า”

มู่ชิงอีเอ่ยอย่างช้าๆ “พี่ใหญ่คิดว่า…กงอ๋องจะชนะหรือไม่”

มู่เชินนิ่งไปสักพักถึงได้สติว่าสิ่งที่นางถามหมายความว่าอะไร เดิมทีเขาไม่อยากตอบ ทว่าพอเห็นสีหน้าแน่นิ่งไม่สะทกสะท้านอะไรของมู่ชิงอีก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดภายในใจถึงค่อยๆ สงบลง ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เดิมทีข้านึกว่ากงอ๋องจะชนะแต่ตอนนี้…” พอนึกถึงเรื่องโชคร้ายที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระยะนี้ของกงอ๋อง รวมถึงท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อจวนกงอ๋องและอวิ๋นผิน ก็เหมือนทรงปรารถนาอยากแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท มู่เชินเองก็เป็นข้าหลวงในราชสำนักเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไรแต่ข่าวคราวในราชสำนักก็พอรู้อยู่บ้าง บัดนี้คนที่มีศักยภาพที่สุดที่พอจะช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทได้ก็มีเพียงกงอ๋องและจื้ออ๋อง ถ้ากล่าวถึงเรื่องแรงกำลังทางฝั่งกงอ๋องมีมากกว่าหน่อย แต่ถ้ากล่าวถึงเรื่องชื่อเสียงมีคนยกย่องทางฝั่งจื้ออ๋องกลับเหนือกว่า ดูท่าในเวลานี้สูสีกันพอสมควร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าระยะนี้จะมีตัวแปรอะไรอีก

มู่ชิงอีมองสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็ผุดยิ้มออกมา “พี่ใหญ่เองก็รู้สึกว่าท่านพ่อเอาเบี้ยต่อรองทั้งหมดไปไว้ที่กงอ๋องออกจะเสี่ยงเกินไปใช่หรือไม่เล่า”

“น้องหญิงสี่หมายความว่า?” มู่เชินเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ภูมิหลังตระกูลที่มีมายาวนานอย่างแท้จริง นอกจากวิสัยทัศน์ที่แม่นยำไม่เหมือนใคร ยังมีอีกจุดหนึ่งก็คือ…ไม่มีทางเอาเบี้ยทั้งหมดไปทิ้งไว้ในตะกร้าเพียงใบเดียวตลอดไปแน่นอน”

มู่เชินสีสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย จับจ้องมู่ชิงอีกล่าว “เจ้าอยากให้ข้าแอบเข้าพวกกับจื้ออ๋องอย่างนั้นหรือ”

มู่ชิงอีเม้มปากยิ้มบางเอ่ย “ชิงอีก็แค่ให้คำแนะนำพี่ใหญ่เท่านั้น ดั่งคำกล่าวที่ว่า…ผู้กระทำการใหญ่สำเร็จในอดีตต้องมีวิสัยทัศน์ เด็ดเดี่ยวและความสามารถซึ่งขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว พี่ใหญ่ลองขบคิดดูว่าหากซุกตัวอยู่ในจวนซู่เฉิงโหวช่วงชิงกับพวกสะใภ้ซุนต่อไปอาจไม่มีหวังจะได้เป็นที่สนใจของท่านพ่อตลอดไปก็ได้ ไม่สู้ไปไขว่คว้าหามาเอง…ไม่แน่ว่าสุดท้ายอาจจะได้เป็นขุนนางรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ก็ได้”

“ถ้าเกิดถูกท่านพ่อรู้เข้า…” มู่เชินยอมรับว่าตนถูกโน้มน้าวจนหวั่นไหวตามไปด้วยแล้ว แต่พอนึกถึงท่าทีของมู่ฉังหมิงใจก็ชาวาบ

ถ้าเกิดท่านพ่อรู้เข้าคงไม่มีทางยกโทษให้เขาเป็นแน่

มู่ชิงอีหลุบตาลงกล่าว “จะเลือกเส้นทางเดินไหนก็เป็นเรื่องของตัวพี่ใหญ่เอง พูดตามตรง…ความจริงข้าก็ไม่ค่อยพอใจผู้สืบทอดของจวนซู่เฉิงโหวเท่าไรนัก”

“น้องหญิงสี่หมายความว่าอย่างไร” มู่เชินไม่เข้าใจ

มู่ชิงอีกล่าว “พี่ใหญ่ก็รู้ว่าตำแหน่งซู่เฉิงโหวของท่านพ่อมีที่มาที่ไปเช่นไร ต้องรู้ว่าถึงแม้ตระกูลมู่จะเป็นตระกูลทรงอิทธิพลตระกูลหนึ่งในเมืองหลวง แต่ภูมิหลังกลับด้อยกว่าตระกูลอื่นอยู่ไม่น้อย”

มู่เชินย่อมรู้อยู่แล้วเพราะตำแหน่งซู่เฉิงโหวเพิ่งเริ่มมีมาจากมู่ฉังหมิง ตอนนั้นมู่ฉังหมิงเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้เลยได้รับการแต่งตั้งเป็นรางวัล หากให้พูดก็คงถือว่าเป็นการแต่งตั้งเพราะบุญคุณ ถึงแม้มู่ฉังหมิงจะมีอำนาจทหารในมือแต่ถ้าเทียบความสามารถทางการทหารกับจวิ้นอ๋องรุ่นแรกอย่างจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง จวนอานซีจวิ้นอ๋องไม่กี่รุ่นก่อนและจ้าวจื่ออวี้อานซีจวิ้นอ๋ององค์ปัจจุบันนั้นกลับสู้ไม่ได้เลยสักนิด หากมีความสามารถทางการทหารแล้วถูกแต่งตั้งเพราะความดีความชอบ นอกเสียจากต้องโทษร้ายแรงก็จะไม่ถูกถอดถอนแน่นอน แต่การแต่งตั้งเพราะบุญคุณไม่เหมือนกัน หากวันใดฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยในตำแหน่งนี้อาจจะถอดถอนก็ได้ และเพราะเหตุนี้จนถึงตอนนี้จวิ้นอ๋องที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ในแคว้นหวาก็มีเพียงตระกูลจูและตระกูลจ้าวสองตระกูลนี้เท่านั้น เพราะคุณงามความดีในสงครามของบรรพบุรุษมีมาก ส่วนเหล่าจวิ้นอ๋องคนอื่นๆ ไม่แน่ถ้าฮ่องเต้อยากลดค่าใช้จ่ายอาจจะถูกถอดตำแหน่งออกหมดก็ได้

มู่ชิงอีเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งสงบ “ตอนนี้ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่ได้ถือว่าเป็นคนใจดำไร้ความปรานี แต่พูดตามความจริง…ก็ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่มีจิตใจเมตตาอะไร…”

“น้องหญิงสี่!” ครั้นได้ยินมู่ชิงอีเอ่ยด้วยท่าทีเรียบเฉย มู่เชินกลับรู้สึกมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาตรงหน้าผากเพราะกำลังนินทาเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์

หากถูกได้ยินเข้าคงต้องโทษประหารแน่นอน!

มู่ชิงอีมองเขาแล้วอมยิ้ม “พี่ใหญ่ไม่ต้องกลัวไป ที่นี่ไม่มีคนนอก คำที่ข้าพูดพี่ใหญ่ลองไตร่ตรองดู…พูดตามความจริงข้าคิดว่าตำแหน่งของจวนซู่เฉิงโหวคงจบลงที่รุ่นนี้แล้วกระมัง”

มู่เชินสีหน้าเปลี่ยน เอ่ยเสียงขรึม “คำพูดของน้องหญิงสี่มีหลักฐานอะไรหรือไม่”

มู่ชิงอีฉีกยิ้มกว้าง “เหมือนว่าท่านพ่อและพี่หญิงใหญ่แอบทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมเรื่องหนึ่งลับหลังฮ่องเต้ หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง เกรงว่า…บนโลกนี้คงไม่มีจวนซู่เฉิงโหวแล้ว”

มู่เชินตกใจจนพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน เขาก็แค่เห็นว่าทางสะดวกเลยมาบอกข่าวมู่ชิงอีเฉกเช่นปกติซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์ ในเมื่อมู่เชินรู้มาตลอดว่าน้องหญิงสี่ผู้นี้ไม่ใช่คนใสซื่อเรียบง่ายอะไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าน้องหญิงสี่ที่พูดน้อยมาตลอดจะโพล่งบอกข่าวที่ชวนให้ตกตะลึงเช่นนี้ได้

“เจ้า…เจ้าไม่กลัวข้าไปบอกท่านพ่อหรือ” มู่เชินเอ่ยเสียงทุ้มต่ำพลางจับจ้องมู่ชิงอี

มู่ชิงอียักคิ้วยิ้มเล็กน้อยกล่าว “บอกท่านพ่อ…แล้วมีผลดีอะไรต่อพี่ใหญ่? พี่ใหญ่คิดว่าท่านพ่อจะเห็นพี่ใหญ่สำคัญขึ้นมาบ้าง? หรือว่าระแวงพี่ใหญ่ที่ล่วงรู้เรื่องแล้วจะทำเรื่องจนตรอกอะไรแบบนั้นกันแน่เจ้าคะ” พูดถึงตรงนี้ มู่ชิงอียกมือแตะผ้าคลุมบนหน้าตนอย่างไม่ใส่ใจ มู่เชินใจเต้นแรง

ทำเรื่องจนตรอก…ใบหน้าของน้องหญิงสี่เป็นเรื่องที่ท่านพ่อทำด้วยความจนตรอกอย่างนั้นหรือ

ตอนต่อไป