บทที่ 153 วิถีคุณธรรม

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 153 วิถีคุณธรรม

บทที่ 153 วิถีคุณธรรม

สาวน้อยส่งเสียงอืม ก่อนจะหันหลังกลับไปอีกครั้ง สายตาจับจ้องสตรีในหอคอย

นางมารร้ายที่กำลังคุกเข่ากับพื้นเงยหน้าขึ้น เมื่อสบตากับมัจจุราชเบื้องหน้า กายาพลันขนลุกชูชันไปทั่วร่าง

ร่างเล็กยังคงดูไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตใด แต่พลังมารที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นรอบตัวกำลังกดข่มสตรีให้ถึงแก่ความตายได้

นางมารร้ายพลันร่วงลงไปกองกับพื้น ยกแขนขึ้นพลางยันตัวถอยหลังราวกับคนถูกจับไปขังในกรงสัตว์ร้าย ทว่าร่างเล็กกลับเดินตาม พร้อมแผ่แรงกดดันในทุกย่างก้าว ทีละก้าว ทีละก้าว

“อย่าฆ่าข้า ไม่ อย่าข้าข้านะ!”

สตรีผู้ถูกจองจำตะคอกเสียงด้วยความสิ้นหวัง หลังจากถอยไปสองสามก้าว แผ่นหลังของสตรีพลันชิดติดกับผนังหอคอย สายตาของสาวน้อยไม่สั่นคลอนแต่อย่างใด เงาร่างที่เหมือนกับเทพแห่งความตายปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของสาวน้อยช้า ๆ

กลิ่นอายจากนรกปกคลุมนางมารร้ายอย่างสมบูรณ์ ความรู้สึกหายใจไม่ออกปกคลุมนางเอาไว้จนหมดสิ้น

ลู่หยวนผู้อยู่ด้านข้างมองฉากตรงหน้าอย่างเย็นชา ถึงแม้จะไม่รู้จุดกำเนิดของสาวน้อยคนนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คล้ายกับกำลังบอกเขาบางอย่าง

สาวน้อยคนนี้คือมารที่ถูกจองจำในหอคอยอสูรสวรรค์เช่นกัน

เพียงแต่ว่า…

คุณชายลู่แห่งตำหนักธารสุญญะหรี่ตา เขาจำได้ว่า หลังจากหอคอยอสูรสวรรค์กลืนกินทัณฑ์อัสนีและบันไดสวรรค์ในตอนนั้น ชั้นบนสุดของหอคอยก็ได้รับการซ่อมแซม

หรือก็คือ มารที่ชั้นบนสุดถูกปลดปล่อยออกมาเช่นกัน

แต่เพราะหอคอยอสูรสวรรค์มีเพียงชั้นบนสุดและล่างสุดเท่านั้น ส่วนชั้นกลางพังทลาย ทำให้เวลาที่ชายหนุ่มเข้ามาในหอคอย จึงเข้าไปได้เพียงชั้นล่างสุด ไม่มีทางขึ้นไปได้

เดิมทีเขาวางแผนจะรอให้หอคอยอสูรสวรรค์ซ่อมแซมเสร็จก่อน แล้วจะขึ้นไปอีกครั้ง

แต่พอมาถึงวันนี้ ดูท่าว่าชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องขึ้นไปหา มารตนนี้กลับลงมาพบเขาด้วยตัวเองแล้ว

สาวน้อยคนนี้น่าจะเป็นมารยอดหอคอย!

ทว่าสิ่งที่ลู่หยวนไม่คาดคิดคือ มารจากยอดหอคอยเชื่อฟังเขามากกว่าสตรีที่กำลังคุกเข่าบนพื้น ที่วัน ๆ คิดแต่จะพรากชีวิตเขา ดูดกลืนพลังราวกับปรสิตสูบเลือดเนื้อรอวันเติบใหญ่ และกลืนกินชีวิตเจ้าของร่าง แต่สาวน้อยคนนี้ต่างออกไป พอลู่หยวนออกคำสั่ง นางก็ทำตามทุกอย่าง!

อย่างเมื่อครู่นี้ เขาอยากให้สาวน้อยสังหารนางมารร้าย นางก็ลงมือ

ส่วนสาเหตุที่ทำไมสาวน้อยคนนี้เซื่องซึม นั่นเป็นเพราะลู่หยวนส่งสารลับหานาง

ถึงแม้นางมารร้ายจะไม่มีอะไรดี แต่การฆ่านางทั้งอย่างนี้ก็ดูจะเสียของเกินไปหน่อย ถึงอย่างไรสตรีคนนี้ก็มีพลังมารมหาศาลอยู่ในร่างกาย

รอให้ลู่หยวนมีเวลาก่อน แล้วเขาจะมาดูดกลืนนางมารร้ายเสีย!

ด้านหนึ่ง การกดดันของสาวน้อยที่มีต่อสตรีแทบจะถึงขีดสุด ร่างเล็กยกมือขึ้น ดวงแสงพลังสีดำปรากฏขึ้นจากมือขนาดเล็กที่ขาวนวลราวกับหยก

เมื่อดวงแสงสีดำปรากฏขึ้น ทั่วทั้งหอคอยอสูรสวรรค์พลันสั่นสะท้านราวกับแผ่นดินไหว

สายตาของสตรีจับจ้องดวงแสงสีดำ ในใจรู้ดีว่า หากโดนการโจมตีเข้าใส่ ชีวิตนางต้องจบสิ้นภายในเสี้ยวลมหายใจแน่นอน!

สายตาของนางมารร้ายเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความตายอยู่ห่างจากนางเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!

พริบตานั้นเอง ลู่หยวนกล่าวว่า “ช้าก่อน”

มือของสาวน้อยที่กำลังจะขยับพลันหยุดนิ่ง ก่อนจะหันมาชำเลืองมองเจ้าหอคอย และหยุดฝีเท้าตามที่เขาว่า

บุตรศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้น เก้าอี้ของปรมาจารย์ปรากฏขึ้นในหอคอยอสูรสวรรค์ให้เขานั่งไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งกุมหน้าผาก พร้อมสายตาดุร้าย

สาวน้อยก้าวมาหาเขาเช่นกัน

ลู่หยวนกล่าวว่า “เอาละ บอกข้ามาว่าเจ้ารู้เรื่องอะไรบ้าง”

สตรีที่กำลังคุกเข่าเงยหน้าขึ้น ความหวาดกลัวเมื่อครู่สงบลง “ว่าอะไรนะ?”

ชายหนุ่มชี้ไปที่มารยอดหอคอย “ตัวตนของนางคืออะไร ทำไมนางถึงอยู่ที่นี่ พลังอยู่ขั้นไหน นางเป็นตัวตนอะไรในบรรดามาร แล้วทำไมนางถึงไม่รู้อะไรเลย?”

สายตาของเขาจับจ้องนางมารร้ายอีกครั้ง “ส่วนเจ้า เจ้าเป็นใครกัน?”

สตรีเม้มริมฝีปาก ดวงตาสั่นไหว ความดิ้นรนก่อเกิดขึ้นในใจ เปิดปากตอบว่า “ข้าไม่รู้”

“ไม่รู้งั้นหรือ?”

ลู่หยวนเย้ยหยัน มองคู่กรณีด้วยสายตาหยอกล้อ

“เจ้ารู้… เจ้ารู้ทุกอย่าง”

“หากข้าเดาไม่ผิด ในหอคอยอสูรสวรรค์ แต่ละชั้นจะมีมารอย่างน้อยหนึ่งตน ตั้งแต่ล่างขึ้นบน รากฐานการบ่มเพาะจะไต่เต้าขึ้นเรื่อย ๆ สรุปก็คือ เจ้าอ่อนแอที่สุดในบรรดาทั้งหมด เป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด!”

ทันทีที่คำพูดถูกเอ่ยออกมา ดวงตาของผู้ฟังพลันไหวระริก

ลู่หยวนนวดขมับ “มันมีความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างมารอยู่ สายเลือดคือความผูกพันระหว่างเผ่ามารด้วยกัน การจะกระทำความผิด ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้”

“ข้าคือสายเลือดมาร คือราชันในหมู่มารอย่างพวกเจ้า คือจอมมารที่แท้จริง แต่เจ้าเป็นใคร? ถึงกล้าใช้ความคิดของตัวเองมาหลอกข้าครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามซ้ำไปมาเพื่อจะยึดร่างของข้า นั่นหมายความว่าเจ้าไม่ใช่มารบริสุทธิ์อย่างไรล่ะ”

ลู่หยวนจ้องตรงมาที่สายตาของสตรี สายตาคมปลาบคล้ายกับจะทิ่มแทงนางมารร้ายเสียให้ได้

สตรีตรงหน้าพลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีต่อสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด นางจึงรีบหลุบสายตาลงต่ำ แววเนตรลุกลี้ลุกลนยิ่ง ขณะที่เรียวปากยังคงพึมพำว่า “ไม่ อย่าบอกข้า ข้าไม่ใช่”

เขาเปิดปากขึ้นช้า ๆ กล่าวออกมาหลายคำว่า “เจ้าเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นมาร ยิ่งกว่านั้น เจ้ากำลังฝึกยุทธ์อยู่ในเส้นทางสายสว่าง กล่าวคือวิถีคุณธรรมอีกด้วย!”

ในแผ่นดินหยวนหง การบ่มเพาะอยู่ในเส้นทางที่บริสุทธิ์และเหมาะสมหาได้ยากยิ่งนัก

ในโลกใบนี้ผู้แข็งแกร่งคือราชัน ผู้อ่อนแอคือโจร

ไม่อาจรู้ได้ว่ามีกี่คนที่พูดคำว่า ‘คุณธรรม’ ออกมา

คำว่าคุณธรรมสูญเสียความหมายที่แท้จริงไปนานแล้ว หลายครั้ง มันเป็นเพียงธงแห่งความยุติธรรมที่ผู้อื่นชูขึ้นเท่านั้น หลายครั้งมักเป็นข้ออ้าง สามารถทำให้หลายร้อยคนทะเลาะกันได้ สามวันสามคืนก็สู้กันไม่จบสิ้น

แม้กระทั่งครึ่งหนึ่งของแผ่นดินหยวนหงก็ถูกโค่นล้มในนามของสิ่งนั้น

ทว่าในโลกใบนี้ ยังมียอดฝีมือที่บ่มเพาะอยู่ในวิถีคุณธรรมอยู่

คนที่เกิดมาพร้อมกับ ‘หัวใจเที่ยงธรรม’ และยืนตระหง่านอยู่บนโลกด้วยเกียรติยศอันภาคภูมิ กล้าฟาดฟันอธรรมทั้งหลายในโลกหล้าด้วยกระบี่ยาว

เมื่อ ‘วิถีคุณธรรม’ ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งแผ่นดินจะยึดพวกมันเป็นแบบอย่างของเผ่าพันธุ์ตระกูลหรือแม้กระทั่งสำนัก ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นหยกเนื้องามน้ำดี คือตัวตนอันชอบธรรมในโลกหล้า

เส้นทางที่กระบี่ของพวกเขาชี้ คือที่หมายให้นักรบจากแผ่นดินหลักมุ่งหน้าไป

แต่ไม่ช้า กองกำลังจำนวนมากจะค้นพบว่า ‘วิถีคุณธรรม’ ที่พวกเขาพยายามสร้างขึ้นมาเหล่านี้ คือตัวตนที่ขัดขวางผลประโยชน์มากที่สุด

กระบี่คมปลาบเล่มนี้ที่พวกเขาสามารถใช้เป็นข้ออ้างได้ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่มันหันเข้าใส่ยอดเขากระบี่ กลายเป็นเครื่องมือทำลายผู้ฝึกยุทธ์ด้วยกันเอง

เปรียบได้กับกองกำลังเหล่านี้รวมตัวกัน ถือกระบี่ยาวที่มีชื่อว่า ‘วิถีคุณธรรม’ ไว้ในมือ แต่ทันใดนั้น มันกลับแตกหักด้วยอำนาจ นับแต่นั้นมา ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘วิถีคุณธรรม’ ในโลกอีก มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ทรงพลังที่ประกาศก้องไปทั่วสวรรค์และโลกว่า ‘ข้าคือความยุติธรรม’ อยู่ทุกหนแห่ง

สตรีที่คุกเข่ากับพื้นคล้ายกับครุ่นคิดบางอย่าง นางหอบหายใจแรงราวกับปลาบนบก ด้วยดวงตาเบิกกว้าง

พลังมารยังคงปรากฏขึ้นรอบกายนาง มีความผิดปกติบางอย่างผสานเข้ากับพลังมารเหล่านี้

ทันทีที่ลู่หยวนยกมือขึ้น พลังดังกล่าวพลันตกอยู่ในมือของลู่หยวน

ชายหนุ่มบดขยี้มัน เกิดเป็นลำแสงสีขาวแยกออกจากพลังมาร ซึ่งลำแสงสีขาวนี้สาดส่องเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์ จนทั่วทั้งหอคอยอสูรสวรรค์ส่องสว่างทีละน้อย

แต่ไม่ช้า พลังมารทั้งหมดที่อยู่รอบข้างเขาก็พวยพุ่งอีกครั้ง ก่อนจะกลืนกินมันจนหมด ลำแสงสีขาวค่อย ๆ ถูกกลืนกิน พลังที่ก่อตัวขึ้นเมื่อครู่ถูกกวาดล้างจนสิ้น

ลู่หยวนรู้ดีว่ากลุ่มสีขาวเมื่อครู่คือร่องรอย ‘วิถีคุณธรรม’

“เจ้าเคยเห็นราชันมารมาก่อนหรือไม่?”

ลู่หยวนถามสตรีที่คุกเข่ากับพื้น แม้จะมีท่วงท่าสงบ แต่อีกฝ่ายยังคงสับสน ไม่ยอมตอบคำถามของชายหนุ่ม

บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่สนใจเช่นกัน เขาถามนางด้วยตัวเองว่า “แสดงว่าเจ้ากลายเป็นมารเร็วมาก น่าจะประมาณเมื่อสามแสนปีก่อน?”

“ผ่านมาสามแสนปีแล้ว แต่เจ้ายังมีกลิ่นอายวิถีคุณธรรมอยู่ ดูท่า ‘หัวใจเที่ยงธรรม’ จะแข็งแกร่งน่าดู”

“หากข้าจำไม่ผิด มีเพียงสตรีคนเดียวที่เข้าสู่โลกพร้อมวิถีคุณธรรมเมื่อสามแสนปีก่อน จากนั้นก็หายไปจากโลก”

สตรีที่คุกเข่าอยู่ได้ยินดังนี้ ดวงตาของนางพลันแดงระเรื่อ ความทรงจำที่ฝังลึกในใจเอ่อล้นออกมา

นางส่ายหน้าอย่างรุนแรง ยังคงพึมพำว่า “เลิกพูดได้แล้ว ข้าไม่ใช่… ไม่ใช่หรอก”