ก่อนหน้านี้ หลี่ฉางโซ่วและผู้อาวุโสสองสามคนได้แสร้งแสดงท่าทางเพียงเพื่อให้ทุกคนมีทางออก แต่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนคิดว่า หลี่ฉางโซ่วถูกสำนักตำหนิจริงๆ
ศิษย์คนอื่นๆ ก็ดูถูกเวทหลบหนี
และบรรดาศิษย์ต่างๆ ก็ยังดูถูกพิษเช่นกัน…
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดในใจว่าบางทีผู้อาวุโสว่านหลินหยุนอาจตื่นเต้นมากเมื่อเขาจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น…
อาการบาดเจ็บที่ขาของผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเกิดจากการที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนศึกษาคัมภีร์พิษเขาจึงถูกท่านอาจารย์ของเขาเองตำหนิด้วยถือว่าเป็นการดูหมิ่นเต๋า
หลายหมื่นปีต่อมาหลังจากนั้น ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนจึงได้เดินไปบนวิถีแห่งการปรุงโอสถพิษเพื่อพิสูจน์ให้อาจารย์ของเขาเห็นว่ายาพิษนั้นเป็นยา ‘ยาพิษมีสรรพคุณทางยา’ และนี่คือถ้อยคำสุดท้ายของคัมภีร์พิษทุกเล่มที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเขียนขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้อาวุโสว่านหลินหยุนอาศัยโอสถพิษเพื่อช่วยสำนักตู้เซียนจากเงื้อมมือของเหล่าปีศาจเมื่อหมื่นปีก่อน ท่านอาจารย์ของผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็ได้ล่วงลับไปแล้ว…
หลี่ฉางโซ่วถือหยกอันล้ำค่านี้และโค้งคำนับให้พลางกล่าวอย่างซาบซึ้งใจว่า
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เมตตา ห่วงใยศิษย์ขอรับ”
ว่านหลินหยุนเผยรอยยิ้มแข็งๆ อีกครั้งแล้วกล่าวว่า “เจ้าไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด ข้ายังต้องกลับไปหลอมโอสถ”
“ไว้ศิษย์จะไปเยือนท่านที่ยอดเขาอีกครั้งในวันหน้านะขอรับ”
“อืม ได้ เจ้ามาเมื่อใดก็ได้”
จากนั้น ว่านหลินหยุนก็ทิ้งรอยยิ้มใจดีของเขาที่สามารถทำให้ทารกที่กำลังร้องไห้ต้องเงียบเสียงลงกะทันหันได้ แล้วทันใดนั้น เขาก็เคาะไม้เท้า และจู่ๆ เมฆก็ปรากฏขึ้นบนพื้นใต้เท้าก่อนที่เขาจะขับเคลื่อนเมฆามุ่งหน้าไปยังยอดเขาตันติ่ง
ชายชราคนนี้มาที่นี่เพื่อให้กำลังใจหลี่ฉางโซ่ว
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักไม่ได้ชื่นชมหลี่ฉางโซ่ว แต่เขาชื่นชม
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักจะไม่ปกป้องหลี่ฉางโซ่ว แต่เขาจะปกป้อง
มันเรียบง่ายเพียงเท่านั้น…
หลี่ฉางโซ่ว ถือจี้หยกเอาไว้ในมือขณะยืนอยู่ข้างทะเลสาบ แล้วมองออกไปในระยะไกลเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะสงบลง
แม้โลกบรรพกาลจะชั่วร้ายนัก แต่คนในโลกบรรพกาลนั้น หาใช่ชั่วช้าทั้งหมดไม่
“ศิษย์พี่!”
หลิงเอ๋อร์โผล่ศีรษะออกมาจากหน้าต่างอีกครั้งแล้วกระซิบว่า “มีคนกำลังมาอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
“ข้ารู้แล้ว”
หลี่ฉางโซ่ววางจี้หยกแล้วถอนหายใจ เฮ้อ…วันนี้แขกเยอะมากจริงๆ…
“ศิษย์น้องหญิง วันนี้ เจ้าเชื่อฟังดีทีเดียว” หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะกลับมาชมเชยนาง
หลิงเอ๋อร์ซึ่งนอนอยู่บนขอบหน้าต่างทำหน้าบูดบึ้งขณะร้องอุทานว่า “เพราะข้ากลัวว่าท่านจะดุข้า หากข้าสร้างปัญหาให้ท่านอีก!”
“ว่าแต่ว่า ศิษย์พี่ ท่านเพิ่ง…ยอมแพ้มาเมื่อครู่นี้หรือเจ้าคะ”
“เราชนะ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “อย่างไรเสีย เราก็ยังต้องใส่ใจเรื่องในสำนักของเรา”
“โอ ใช่แล้ว เจ้าเก็บของแล้วก็นำชาไปให้ที่ห้องของข้า ขณะนี้อ๋าวอี่ องค์ชายแห่งวังมังกรได้พาสหายหญิงมาที่นี่ ดังนั้นยอดเขาหยกน้อยก็ต้องส่งคนหน้าตาดีไปดูแลสักหน่อย”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาก่อนจะเม้มปากแล้วหัวเราะคิกคักออกมา
จากนั้นนางก็รีบเปิดค่ายกลแยกตัวด้านนอกห้องของนางเอง ซึ่งศิษย์พี่ของนางเพิ่งปรับปรุงให้เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว…
ในไม่ช้า อ๋าวอี่ หานจื่อ และจิ่วอู ซึ่งเป็นผู้นำทางก็ค่อยๆ ร่อนเมฆลงมาอย่างช้าๆ ขณะยืนอยู่บนก้อนเมฆ
หลี่ฉางโซ่วก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับพวกเขาและสบสายตากับจิ่วอู แล้วทั้งสองคนต่างก็เข้าใจกันในทันที
ก่อนหน้านี้ หลี่ฉางโซ่วก็เดาว่า อ๋าวอี่จะไปเยี่ยมเขาและขอโทษแล้ว แต่ไม่ได้คิดว่าองค์ชายอ๋าวอี่จะประสานมือคารวะขณะทักทายเขา
“ฝ่าบาท โปรดอย่ามากพิธีเลย เชิญเข้ามาด้านในเถิด โปรดอภัยด้วย ฝ่าบาท บ้านนี้ไม่เรียบร้อยนัก ทำให้ท่านต้องขบขันแล้ว”
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็พาอ๋าวอี่และหานจื่อเข้าไปในกระท่อมมุงจากของเขา
ทว่าก่อนที่อ๋าวอี่จะทันได้เอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ถามขึ้นว่า “ฝ่าบาท ไม่รู้ว่าท่านเข้าใจเต๋าแห่งตันชิงหรือไม่”
จู่ๆ เขาก็เอ่ยหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้อง
แล้วในไม่ช้า ทั้งอ๋าวอี่และหานจื่อก็ถูกหลี่ฉางโซ่วหันเหเรื่องไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้หลี่ฉางโซ่วยังได้ยังได้หยิบม้วนกระดาษซึ่งเป็นภาพวาดมากมายที่เขาวาดออกมาในยามว่าง แล้วรวบรวมไว้เพื่อมาแสดงให้พวกเขาได้ชื่นชม
และจากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ควบคุมทิศทางของหัวข้อการสนทนาโดยสมบูรณ์ ทั้งอ๋าวอี่ มังกรน้อย และหานจื่อ ผู้เป็นมนุษย์ ต่างก็พยักหงึกหงักขณะกำลังยืนอยู่ด้านข้างและพบว่ามันน่าสนใจเป็นพิเศษ
เดิมทีจิ่วอูกังวลว่าบรรยากาศจะน่าอึดอัดใจ ทว่าในไม่ช้า นักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็สนใจหัวข้อนี้เช่นกัน จากนั้นจึงเข้าร่วมสนทนาประเมินและชื่นชมภาพวาดเหล่านั้น ทั้งยังเอาภาพวาดส่วนตัวของเขาออกมาแสดงอีกด้วย…
แล้วครึ่งชั่วยามต่อมา หลิงเอ๋อร์ ซึ่งแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยก็นำน้ำชาออกมาให้แขกทั้งสามคน แล้วทันใดนั้น ดวงตาของแขกทั้งสามก็เปล่งประกาย
ขณะนี้ ศิษย์น้องหญิงของหลี่ฉางโซ่วแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมและติดปักปิ่นหยกประดับด้วยพู่มุกสีขาว
ดวงตา ขนตางอน ใบหูบอบบาง จมูกโด่ง ริมฝีปากสีชมพู และฟันของนางล้วนดูหวานละมุน วิจิตรงดงามอย่างยิ่ง
นางมีคิ้วโก่งงดงามปานจันทร์เสี้ยว และมีลำคอเนียนละมุนปานหยกงาม
ผิวของนางขาวราวหิมะในขณะที่เอวคอดเพรียวบางของนางนั้นแสนวิเศษ ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างยิ่ง
เมื่อมองแวบแรก เขาก็รู้สึกว่านางน่าจะเป็นเทพธิดาที่ร่ายรำพร้อมกับเสียงเพลงพิณในวังมังกรในวันนั้น
และเมื่อมองแวบที่สอง เขาก็รู้สึกว่านางเป็นดั่งโฉมงามที่เดินออกมาจากภาพวาดเหล่านั้น…
ท่าทีละเมียดละไม รูปลักษณ์ และคุณลักษณะของหลิงเอ๋อร์นั้นดูเหนือกว่าเซียนสตรีหานจื่อแห่งสำนักบำเพ็ญเจี๋ยเล็กน้อย
และเมื่อหลิงเอ๋อร์นั่งลงข้างศิษย์พี่ของนาง ดวงตาของนางก็ทอประกายระยิบระยับ ทำให้จิ่วอูอดคิดไม่ได้ว่า…
เสี่ยวจิ่ว นางไม่ได้สนใจฉางโซ่วใช่หรือไม่
หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์น้องหญิงที่อยู่เคียงข้างฉางโซ่ว…
ข้าต้องเตือนเสี่ยวจิ่วแล้ว
เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามเพราะมีประสบการณ์
แล้วการสนทนาในหัวข้อตันชิงก็ดำเนินไปตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงรุ่งสาง อ๋าวอี่และหานจื่อต่างก็รู้สึกว่า หลี่ฉางโซ่วเป็นคนที่ ‘สง่างามและได้รับการขัดเกลามาอย่างดีเยี่ยม’
ในช่วงเวลานั้น เจ้าภาพ หลี่ฉางโซ่วรื่นรมย์ใจนัก ครั้นเมื่อเห็นว่าพวกเขายังไม่อยากจากไป หลี่ฉางโซ่ว จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อเป็นดนตรีเท่านั้น…
แต่จู่ๆ หานจื่อก็ได้ยินเสียงจากอาจารย์ของนาง และส่งเสียงกระซิบเข้าไปในหูของอ๋าวอี่
ทันใดนั้นมังกรหนุ่มก็ขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเองก่อนจะยืนขึ้นและกล่าวคำอำลากับหลี่ฉางโซ่ว ด้วยท่าทางเสียใจ
ขณะนี้มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ ศิษย์พี่ของอ๋าวอี่คิดจะต่อสู้กับผู้อาวุโสสองคนของสำนักตู้เซียน พวกเขาจึงต้องรีบไปดู…
หลี่ฉางโซ่วส่งพวกเขาออกจากกระท่อมมุงจากและเดินไปส่งที่ทะเลสาบก่อนที่พวกเขาจะจากกันอย่างไม่เต็มใจ
ทว่าสุดท้ายข้าก็ส่งพวกเขาจากไป…
ในขณะนั้น องค์ชายรองแห่งวังมังกรซึ่งดูเหมือนชายหนุ่มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว หากท่านมีเวลา โปรดมาที่เกาะเต่าทองเพื่อจะได้มีเวลาเพลิดเพลินด้วยกัน พวกเรายินดีต้อนรับท่านอย่างอบอุ่นแล้วเราจะได้พูดคุยกันยาวนานกว่านี้”
“แน่นอน แน่นอนอยู่แล้ว”
ในขณะนั้นอ๋าวอี่และหานจื่อก็รีบไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ และฉับพลันนั้น จิ่วอูก็ยกนิ้วให้หลี่ฉางโซ่ว อย่างเงียบๆ ก่อนจะไล่ตามหลังของพวกเขาไป
ในเวลาเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็โบกมือให้และครุ่นคิดกับตัวเอง
ลาก่อน…
แล้วค่อยพบกันใหม่ หากยังมีชะตาต่อกัน…
ทว่าแน่นอน มันจะเป็นการดีที่สุด หากเราจะไม่พบกันอีกต่อไป
หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วส่งผู้ที่เป็นปัญหายุ่งยากลำบากออกไป เขาก็ยืดเอวเหยียดหลังของเขา และเพ่งพุ่งพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์
บัดนี้ ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่หว่างฉิงกำลังจะโจมตีอีกครั้ง
แม้หลี่ฉางโซ่วจะอยากไปดูเช่นกัน แต่ท้ายที่สุด เขาก็รู้สึกว่าในวันนี้ มีปัญหาเพียงพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจดู ‘การสนทนาหารือ’ ระหว่างเหล่าเซียนเทียนจากระยะไกล
และเวลานี้ ในกระท่อมมุงจาก หลิงเอ๋อร์รู้สึกอารมณ์ดีขณะที่ได้เริ่มเก็บข้าวของอย่างขยันขันแข็ง นางเก็บถ้วยและจาน และจัดภาพวาดที่กระจัดกระจายไปทั่ว…
แล้วจู่ๆ สายตาของนางก็ถูกม้วนภาพวาดที่มีเนื้อหาบางส่วนถูกเปิดเผยดึงดูด นางเอียงศีรษะและมองดู แล้วจึงเห็นประโยคที่เขียนขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง…
‘ที่รักของข้า’
ลายมือเป็นของคนที่ศิษย์พี่รักหรือไม่
เหอะๆ ข้าก็อยากรู้ว่าท่านชอบสตรีเยี่ยงไร
หลิงเอ๋อร์แอบมองด้านหลังของหลี่ฉางโซ่วขณะที่เขายืนอยู่ข้างทะเลสาบ จากนั้นนางก็ดึงภาพวาดออกมาแล้วคลี่เปิดออกช้าๆ
สิ่งนั้นคือ…สมบัติลับสำหรับการเกษียณอายุ
มันเป็นสมบัติลับที่หลี่ฉางโซ่ว ได้กำจัดออกไปในช่วงปีแรกๆ ของเขา มันเป็นต้นแบบของเครื่องมือที่เขาจะใช้เพื่อทำให้ความคิดและจิตใจของเขาสงบลง…
มันมีชื่อว่า ‘จักรพรรดินีชราไป่เหมย’!
ด้วยฝีมือประณีตของเขาและทักษะการลงสีชั้นยอดที่สูงกว่าระดับทั่วไป หลี่ฉางโซ่วจึงเก็บมันไว้เป็นสมบัติลับในกรณีฉุกเฉิน
มันถูกโยนลงในถุงเก็บสมบัติที่มีภาพวาดที่เสร็จสมบูรณ์ทั้งหมด เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วตั้งแต่นั้นมา อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วบังเอิญนำมันออกมาอีกครั้ง แต่เขาไม่ได้นำมันออกมาแสดง
หลิงเอ๋อร์ยังคงคลี่ม้วนภาพวาดออก และในไม่ช้านางก็เห็น ‘ความงาม’ เลิศล้ำ มือของนางเริ่มสั่นอย่างต่อเนื่อง และขาเรียวยาวของนางอ่อนแรงไร้กำลังจนกลายเป็นดั่งวุ้น แล้วนางก็ล้มลงไปข้างโต๊ะ
เอ่อ…
แล้วข้าควรทำอย่างไรดี