ตอนที่ 76.1 ความลับที่ทำให้ศิษย์น้องหญิงตื่นตระหนก! (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

การซ่อนตัวตนและชื่อหลังจากจัดการเรื่องแล้วหมายความว่าอย่างไร

ในสายตาของโหย่วฉินเสวียนหย่า หลี่ฉางโซ่วก็เป็นเช่นนี้

ศิษย์พี่ฉางโซ่วพากเพียรอย่างมาก ทั้งยังผ่านความยากลำบากและอันตรายมามากมาย เขาแทบจะไม่อาจเอาชนะองค์ชายรองแห่งวังมังกรทะเลบูรพาอ๋าวอี่ ซึ่งเป็นคนของสำนักบำเพ็ญเจี๋ยได้…

แต่เขาถ่อมตัวมาก ไม่แสวงหาชื่อเสียง และจากไปอย่างเงียบๆ…

ในความเป็นจริงแล้ว…หลี่ฉางโซ่วยื่นมือให้อ๋าวอี่แล้วดึงอ๋าวอี่ขึ้นมาก่อน จากนั้นก็กล่าวขอโทษที่ทำให้อ๋าวอี่ต้องขุ่นเคือง

และนั่นก็คือการกำจัดความเป็นศัตรูที่อาจเกิดขึ้นและยังทำให้สำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยและอ๋าวอี่ลดความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อเขาลงได้

ต่อมา หลี่ฉางโซ่วก็สารภาพกับผู้อาวุโสที่หน้าห้องโถงและอ้างว่าเขาชนะอย่างไม่ยุติธรรม เพราะเขาไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยกำลัง แต่ใช้เวทหลบหนีและทักษะยันต์ที่สำนักสอนเพื่อสร้างกลอุบาย ทำให้เขาได้เปรียบ ซึ่งนับเป็นการทำลายชื่อเสียงของสำนัก และเขายินดีรับการลงโทษจากสำนัก

นั่นคือการลดความรู้สึกผิดของเขาและยังเสริมอำนาจให้สำนัก นอกจากนี้ ยังบอกเป็นนัยกับอาจารย์ลุงจิ่วอูของเขาว่าเขาต้องการกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็โค้งคำนับให้ผู้คนจากเกาะเต่าทองด้วยสีหน้าท่าทีละอายใจ…

และด้วยเพียงประโยคและการกระทำง่ายๆ เช่นนี้ ทว่านั่นคือ หลี่ฉางโซ่วได้มอบโอกาสและหนทางออกให้ทุกฝ่ายได้อย่างลงตัว

ผู้อาวุโสสำนักตู้เซียนก็เป็นคนมีเหตุผลเช่นกัน เขารู้ว่าหลี่ฉางโซ่วไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเกาะเต่าทองและวังมังกร ดังนั้นเขาจึงจงใจตำหนิเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ท่าทีเข้มงวดพร้อมกับให้เขากลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยแล้วเข้าปิดด่านสำนึกผิดเพื่อใคร่ครวญความผิดพลาดของเขา…

ทว่าความจริงแล้ว สิ่งที่ผู้อาวุโสผู้นี้กำลังทำอยู่จริงๆ คือการบอกเป็นนัยว่าให้หลี่ฉางโซ่วกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยเพื่อรอรับรางวัลของเขาในภายหลัง

แต่โหย่วฉินเสวียนหย่ายังคงขมวดคิ้วขณะยืนอยู่ด้านข้าง หากอาจารย์ของนางไม่คอยเหนี่ยวรั้งนางไว้ นางก็คงจะลุกขึ้นยืนและโต้เถียงกับศิษย์พี่ฉางโซ่วของนาง ซึ่งยังนับว่าเป็นสหาย…

ขณะที่เฝ้าดูแผ่นหลังของหลี่ฉางโซ่วภายใต้ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแสงดาว โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ถอนหายใจเบาๆ

บัดนี้ นางคิดว่า เมื่อใดข้าจะเก่งกาจเท่าศิษย์พี่

หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วออกจากยอดเขาพิชิตสวรรค์ เขาก็ถอนหายใจและคิดในใจ ในที่สุดข้าก็จัดการกับเรื่องนี้ได้ มันช่างลำบากจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะจัดการกับมันอย่างไร แต่ความจริงก็คือ บัดนี้ ยอดเขาหยกน้อยได้รับความสนใจจากทุกคนในสำนักแล้ว

หลังจากที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์กลับมาจากการเดินทางในโลกภายนอกครั้งนี้ ข้าก็จะก้มหน้าหลอมโอสถต่อไปเงียบๆ อย่างสงบสุขเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงค่อยดำเนินการตามแผนความมั่งคั่งของข้าต่อไป

ไม่ สิบหรือแปดปีนั้นยังไม่เพียงพอ แต่อย่างน้อยก็จะมั่นคง…

ข้าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปี!

เมื่อพิจารณาจากสีหน้าท่าทีของมังกรน้อยตัวนี้ เขาอาจจะมาที่ยอดเขาหยกน้อยของข้าเพื่อขอโทษในภายหลัง

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งและซ่อนเซียนเมามายเอาไว้ในถุงเก็บสมบัติของเขา เขาไม่อยากประมาทและทำพลาดจนเผลอหยิบมันออกมาแทน

ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกบรรพกาลนี้ เขาไม่ใช่คนเดียวที่สามารถสกัดกลั่นเซียนเมามายได้ มีผู้บำเพ็ญ จำนวนนับไม่ถ้วนที่ชอบดื่มมัน

และจากสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว เขาจึงมั่นใจว่าทะเลบูรพาจะไม่อาจค้นพบสิ่งผิดปกติใดๆ บนตัวเขาได้

ในเวลานี้ ยอดเขาพิชิตสวรรค์คึกคักอย่างยิ่งในขณะที่เหล่าเซียนเทียนทั้งหมดเริ่มเทศนาและสนทนาเรื่องเต๋า บรรดาผู้คนซึ่งเคยเฝ้าดูการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ยังคงฟังเหล่าเซียนเทียนจากทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วก็เห็นว่า บัดนี้ เหล่าเซียนเทียนของเกาะเต่าทองกำลังเดือดพล่านด้วยความโกรธ ในขณะนี้ เขาคิดว่าเขาจะต้องพบกับเหล่าเซียนเทียนของสำนักของเขาในอีกสักพัก…

ความจริงแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เขาเพิ่งทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากสำนักให้สำเร็จได้อย่างน่าพอใจ

เมื่อกลับไปยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่วก็เดินไปรอบๆ หอโอสถก่อน

เขาคิดถึงความผิดพลาดที่เขาอาจทำ และเขาจะกอบกู้สถานการณ์ได้อย่างไรหากมันเกิดขึ้น

หากในวันนี้ ศัตรูของท่านอาจารย์กำลังเฝ้าดูอยู่เช่นกัน…

เขาจะคิดอย่างไร

หากศัตรูโจมตีข้าได้ก็คงจะดี ข้าจะจงใจให้โอกาสศัตรูคนนี้ออกมาและหาทางกำราบเขา…

ก่อนที่ข้าจะทำร้ายเขาได้ ข้าจะใช้ผลึกบันทึกเหตุการณ์ เพื่อให้เก็บหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเขาคือคนเดียวที่อยากทำร้ายข้า โชคดีที่ข้ามีพิษที่ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนมอบให้ข้าเพื่อปกป้องตัวเองได้…

หลังจากนั้นแม้ว่าข้าจะถูกปรับให้อยู่ในยอดเขาหยกน้อย เป็นเวลาหลายร้อยปีตามกฎของสำนัก แต่ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะร่างหลักของข้าก็ไม่ต้องการจะไปที่ใดอยู่แล้ว

หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ เขารู้ว่านี่เป็นเพียงความปรารถนาของเขาเอง

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นเพียงกึ่งต้นกล้าอมตะที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นเจ็ด และศัตรูก็ไม่น่าจะรู้สึกถึงภัยคุกคามใดๆ…

มาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

แม้หลี่ฉางโซ่วยังอยากถามอาจารย์ของเขาว่าใครเป็นศัตรูของเขาในเวลานั้น แต่เขากลัวว่าอาจารย์ของเขาจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงอดีต

และอีกอย่างหนึ่ง เขาก็ใส่ใจในความภาคภูมิใจของท่านอาจารย์ของเขา

หากเขาไปถามคนอื่นๆ เขาก็อาจจะสงสัยว่าจะมีศัตรูปรากฏขึ้นมาอีกในภายหลังหรือไม่…

เรื่องนี้ต้องได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบ

ครั้งนี้ เขาถูกเปิดเผยโดยไม่มีเหตุผล แม้จะไม่ใช่เพราะว่าเขาทำไม่ดีพอ…

หลี่ฉางโซ่วพยายามปกป้องตัวเองอย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องดูถูกตัวเองในเรื่องนี้

แต่ใครจะไปคิดว่า…

เขากำลังเพลิดเพลินกับการซื้อของ ซื้อสมุนไพร รวมถึงขายโอสถอย่างมีความสุขในเมืองหลินไห่ แต่เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็เห็นจิ่วอูและอ๋าวอี่ ซึ่งเป็นสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง เดินไปรอบๆ ค่ายกลที่วางไว้รอบๆ หอโอสถของเขา …

นั่นมันบ้าบออะไรกันอีกนี่?

แม้จะมีสัญญาณบ่งบอก เพราะเขาพบเซียนเทียนเกาะเต่าทองในเมืองหลินไห่ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งต่างๆ จะพัฒนาไปในลักษณะนี้

หลังจากนี้ ข้าจะบอกอาจารย์ให้ปฏิเสธแขกทุกคนของยอดเขาหยกน้อยในอนาคต

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและพยายามสัมผัสถึงปราณวิญญาณของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และทันใดนั้น จิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีที่ตระหนักว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบและไม่มีภัยอันตรายใดๆ ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาที่ร่างหลักของเขาในทันที

‘โรงเตี๊ยม’ ก่อตั้งขึ้นโดยสำนักกระบี่หลินไห่ ซึ่งค่าเช่าห้องเล็กๆ นั้นไม่แพง

อย่างไรก็ตาม สถานที่นั้นค่อนข้างปลอดภัย เพราะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่พักถาวรของ ปรมาจารย์เซียนเทียนจากสำนักกระบี่หลินไห่ และทหารเซียนที่ลาดตระเวนก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

ยามนี้เขาทำได้เพียงรอให้สำนักสงบลงก่อนที่จะคิดถึงความมั่งคั่ง

หลี่ฉางโซ่วยังคงกังวลเล็กน้อย เขาเดินไปรอบๆ ภูเขาสองครั้งและตรวจสอบตำแหน่งวางฐานค่ายกลที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ดินทั้งหมด

หลังจากยุ่งอยู่พักหนึ่ง สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาก็จับสังเกตเห็นร่างที่บินมาจากยอดเขาตันติ่ง และในไม่ช้า ร่างนั้นก็ร่อนลงมาใกล้กระท่อมมุงจากริมทะเลสาบ…

หลี่ฉางโซ่วจึงรีบกลับขึ้นไปบนก้อนเมฆ และเมื่อมองจากระยะไกล เขาก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ริมทะเลสาบ

ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ก็โผล่ศีรษะของนางออกมาจากกระท่อมมุงจากและมองไปยังหลี่ฉางโซ่วที่ริมทะเลสาบซึ่งมีชายชราคนหนึ่งถือไม้เท้าทองสัมฤทธิ์อยู่ด้วย…

นั่นคือ ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน

……

“ท่านผู้อาวุโส ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือขอรับ”

หลี่ฉางโซ่วรีบโค้งคารวะให้และกล่าวทักทายทันที

ว่านหลินหยุนหันไปมองหลี่ฉางโซ่วด้วยสายตาชื่นชมขณะที่มุมปากของเขาสั่นเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยแสยะยิ้มโหดเหี้ยม…

“ข้าใช้สัมผัสเซียนรับรู้เพื่อดูเจ้าเอาชนะเจ้าลูกมังกรตัวนั้น แต่เจ้าก็ถูกผู้อาวุโสคนอื่นลงโทษ ข้าจึงมาดูเจ้า ครั้งนี้เจ้าทำได้ดี…”

“เวทหลบหนีเป็นหนึ่งในความสามารถของเจ้าเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจความคิดเห็นของผู้อื่นมากเกินไป หากมีคนในสำนักกล่าวโทษเจ้าหลังจากนี้ เจ้าก็แสดงให้พวกเขาเห็นได้”

ขณะกล่าว ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนก็ยื่นฝ่ามือที่หยาบเล็กน้อยออกไปข้างหน้าและมอบหยกสีดำที่มีพลังเซียนให้หลี่ฉางโซ่ว

หลี่ฉางโซ่วประคองมันเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างพลางก้มศีรษะลงมองดู และเห็นว่าหยกอันล้ำค่านี้มีเสี้ยวพลังลมปราณอยู่ภายใน และตรงกลางมีตัวอักษรคำว่า ‘หยุน’

“บอกพวกเขาไปว่าข้าได้พูดอะไร” ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนกล่าวอย่างดุเดือด “ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะให้การคุ้มครองยอดเขาหยกน้อยเอง ต่อไปนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะมาตำหนิเจ้าได้!”

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจและรีบกล่าวขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว

เขารู้ว่าผู้อาวุโสคนนี้ไม่ได้มีแผนอะไรกับยอดเขาหยกน้อยเลย

ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเก็บตัวเองอยู่อย่างสันโดษมาหลายปีแล้ว และไม่รู้วิถีของโลก