ตอนที่ 157 เถ้าแก่ซูย้ายห้องพัก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 157 เถ้าแก่ซูย้ายห้องพัก

ตอนที่ 157 เถ้าแก่ซูย้ายห้องพัก

จวงหว่านไม่รีบร้อนที่จะลงไปชั้นล่าง ก่อนอื่นเธอส่งข้อความถึงซูเถาเพื่อถามว่าห้องของเธออยู่ที่ไหน

อาคารที่พักอาศัยมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ สถานที่เปลี่ยนไปมาก และมีหลายห้อง เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าซูเถาย้ายไปอยู่ที่อาคารไหน

‘ห้อง 102 อาคาร 3 ถัดจากห้องผู้อาวุโสเหม่ย’ ซูเถาตอบทันทีที่ได้รับข้อความ

จวงหว่านวิ่งจากอาคารหมายเลข 5 ของเธอไปยังอาคารหมายเลข 3 ตลอดทางเต็มไปด้วยการสนทนาที่ประหลาดใจจากผู้เช่า

ทันทีที่เธอเข้าประตูไป จวงหว่านเห็นห้องว่างเปล่า เธอตกตะลึงและถามว่า

“คุณ…เป็นผู้ยากไร้เหรอ?”

“หลังจากที่ฉันสร้างอาคารที่พักทั้งหมดเมื่อคืนนี้ ฉันก็พบว่าห้องนอนและห้องนั่งเล่นของฉันไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ฉันจัดการให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว แต่ของฉันมันกระทันหันเกินไป ฉันก็เลยย้ายมาอาคาร 3 และทำห้อง 102 กับ 202 เชื่อมต่อกันบนล่าง ทำให้มีสองชั้น” ซูเถาหาว

“แต่ฉันยังไม่มีเวลาตกแต่ง ฉันจะปรับปรุงห้องนั่งเล่นก่อน คุณนั่งลงก่อนก็ได้”

จวงว่านค่อนข้างสงสัย “สองชั้นก็ดี เหมือนวิลล่าเล็ก ๆ ในอาคาร ตอนนี้คุณกำลังตกแต่งอยู่เหรอ ขอฉันดูหน่อยได้ไหม”

“ได้สิคะ นี่คือห้องนั่งเล่นเมื่อเข้ามาในห้องชั้นหนึ่ง” ซูเถาพยักหน้า

เธอเลือกชุดโซฟาผ้าและโต๊ะกาแฟกระจกในร้านตกแต่งบ้าน และวางทีวีจอใหญ่พิเศษติดผนังไว้ตรงข้าม และชั้นวางทีวีสีฟ้าอ่อนชุดหนึ่งด้านล่าง ซึ่งเข้ากับพรมสีฟ้าอ่อนมาก

“นั่งลงเถอะค่ะ”

จวงหว่านนั่งลงอย่างช้า ๆ แม้ว่าเธอจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจที่เห็นห้องนั่งเล่นที่สวยงามปรากฏขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้

ซูเถายังคงตกแต่งต่อไป และห้องนอนของเธอเดินถัดเข้าไปจากห้องนั่งเล่น มันคล้ายกับห้องนอนก่อนหน้านี้ ถูกลอกเลียนแบบมาโดยตรง

ถัดจากห้องนอนเป็นห้องน้ำแยกส่วนเปียกและส่วนแห้ง

ถัดจากบันไดขึ้นชั้น 2 มีคอนโดแมวให้ลูกแมวปีนเล่น สามารถมองเห็นจากห้องรับประทานอาหารและครัวแบบเปิดตลอดแนวบันได

เหนือห้องนอนบนชั้น 1 คือห้องทำงานของเธอ ซึ่งตกแต่งตามห้องทำงานก่อนหน้านี้เช่นกัน

ถัดจากห้องทำงานคือระเบียงขนาดใหญ่ ซึ่งเธอใช้เป็นห้องสัตว์เลี้ยง ที่ไว้สำหรับวางอาหารและของใช้ แล้วก็มีกระบะทรายแมวขนาดใหญ่สองกล่อง

หลังจากตกแต่งเสร็จ ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน จวงหว่านปฏิเสธที่จะไปทำงานบนโซฟาที่ห้องของเธอและพูดอย่างอิจฉาเล่น

“ห้องนี้ของคุณก่อนวันสิ้นโลกถูกเรียกว่า…ลอฟท์(Loft)! มันหมายถึงอพาร์ทเมนต์เล็ก ๆ 2 ชั้น ไม่ต้องพูดถึงความสะดวกสบายเลย คุณสามารถอาศัยอยู่ชั้นล่างและเพลิดเพลินกับชั้นบน ถ้าคุณไม่มีอะไรต้องทำแล้ว ไปเยี่ยมผู้อาวุโสเหม่ยกันไหม”

ซูเถาไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำอัดลมเย็น ๆ มาให้เธอ “รอจนถึงวันที่ลูก ๆ ของพี่เป็นอิสระได้แล้ว พี่ก็ย้ายมาอยู่กับฉัน หรือไม่ฉันก็จะสร้างห้องให้พี่ใหม่อีกห้องหนึ่ง”

จวงหว่านโบกมือ “ผู้หญิงคนนี้นิ เมื่อคุณมีลูกคุณจะรู้ว่าคนเป็นแม่น่ะไม่อยากให้ลูกหายไปจากอกหรอก ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าไหร่ก็จะเป็นเด็กในสายตาเราเสมอ และพวกเขาก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีฉัน เฉินซีดีหน่อย เป็นลูกสาวที่ว่านอนสอนง่าย เธออ่านหนังสือเรียนทุกวัน บางครั้งก็ไปช่วยงานที่คลินิก”

“ตอนที่คุณกำลังตามหาเฮยจือหม่า เรามีผู้เช่าคนหนึ่งที่อยู่ ๆ ก็เวียนหัวและกลิ้งตกบันไดลงมา เขามีอาการหัวใจวายและถูกส่งไปที่ห้องฉุกเฉินของเราโดยผู้เช่าที่เดินผ่านมา เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะตาย ก็เลยขอให้เฉินซีช่วย”

“สมาชิกในครอบครัวของคนชรามาขอบคุณฉันในวันนั้น และยืนกรานที่จะให้ซองแดงแก่ฉัน แต่ฉันไม่ต้องการมัน วันต่อมาพวกเขาก็แอบเอาบัตรสมาชิกของศูนย์การค้าตงหยางสอดผ่านช่องประตูของฉัน…แต่ฉันขอให้เฉินซีคืนกลับไปแล้ว”

ซูเถาประหลาดใจมาก เฉินซีมีพลังมาก เธอทำได้ยังไง”

“ฉันถามเฉินซี เธอบอกว่าคุณหมอจงสอนวิธีการปฐมพยาบาลให้เธอ เธอค่อนข้างตื่นตระหนกมากในตอนนั้น แต่คิดว่าชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย เธอจึงต้องกัดฟันและลองทำดู ถ้าเธอไม่ทำก็อย่างหวังว่าจะได้ผล

ซูเถากล่าวว่า “เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่เติบโตมาอย่างดี เธออายุยังน้อยอยู่เลย ไว้อีกสองสามวันฉันจะตั้งสำนักงานเล็ก ๆ ให้เธอในคลินิกผู้ป่วยนอก”

จวงหว่านกล่าวว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นเฉินซีต้องมีความสุขมาก เธอยังต้องการให้ฉันซื้อเสื้อคลุมสีขาวของแพทย์ให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดด้วย แต่ฉันคิดว่าสิ่งนี้คงหาซื้อยาก ฉันหาซื้อมาครึ่งเดือนแล้วก็หาไม่เจอ”

ซูเถาบอกว่า “เดี๋ยวฉันจะถามลูกค้าของภูเขาผานหลิวให้ พวกเขาเดินทางไปทั่ว และมักจะซื้อของจากฐานต่าง ๆ กลับมา”

จวงหว่านพูดว่า “คุณเหมือนแม่อีกคนของเด็ก ๆ ทั้งสอง”

ซูเถาหยุด “ไม่หรอกค่ะ เป็นพี่สาวก็พอแล้ว”

ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกันจนแสงแดดยามบ่ายส่องเข้ามาในห้อง ทำให้บรรยากาศภายในห้อบอุ่นขึ้น

ทันทีที่พวกเธอสองคนออกจากอาคาร พวกเธอเห็นฟ่านฉวนฮุยถือกล้องและกดถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ เขากำลังถ่ายครอบครัวของเมิ่งเสี่ยวป๋อ

เมื่อเขาเห็นซูเถาและจวงหว่าน เมิ่งเสี่ยวป๋อก็ยิ้มทันทีและพูดว่า

“เถ้าแก่ซู ผู้จัดการจวง นี่คือพ่อแม่ของผม พวกเขาเพิ่งย้ายมาอยู่กับเราวันนี้ เมื่อเห็นว่าอาคารของเราสวยแค่ไหน ก็ไม่รอช้า ขอให้เสี่ยวฮุยช่วยถ่ายรูปให้”

พ่อแม่ของเมิ่งเสี่ยวป๋อดูเหมือนจะเป็นคนติดดิน พ่อเมิ่งรู้สึกอายที่จะถามว่า

“สวัสดีเถ้าแก่ซู สวัสดีผู้จัดการจวง เราให้คนภายนอกดูรูปที่ถ่ายได้ไหม เขาไม่ใช่คนไม่ดี พวกเขาเป็นญาติและเพื่อนเท่านั้น”

ซูเถายิ้มและพูดว่า “เอาเลยค่ะ ไม่มีปัญหา”

พ่อเมิ่งยิ้มอย่างมีความสุข “ดีเลย ฉันมีความสุขมาก ที่นี่เป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดกว่าที่เราเห็นในรูปถ่ายเยอะ และอาคารก็สวยงามด้วย ฮ่าฮ่า ผมอดที่จะแบ่งปันให้คนอื่นดูไม่ได้”

ขณะที่พูด เขาก็ตีเมิ่งเสี่ยวป๋ออย่างมีความสุข “ความหวังเดียวของลูกชายโง่ ๆ ของผม คือเขาสามารถอยู่ที่นี่ได้”

แม่เมิ่งจับมือลูกสะใภ้ในอนาคตของเธอและกลอกตาไปที่ผู้เป็นสามี

“คุณน่ะพูดไร้สาระ ในตอนนั้นเสี่ยวจวี๋เป็นคนสมัครเข้ามา ลูกชายของคุณโง่เขลาขนาดนี้จะไปรู้เรื่องอะไร ตอนนี้เขาตกอยู่ในการดูแลของลูกสะใภ้แล้ว!”

พ่อเมิ่งพูด ‘โห่’ และเขาก็สารภาพออกมาว่า “ใช่ ๆ ใช่ ผมคิดผิด”

ซูเถาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อมองไปที่ครอบครัวนี้ มันเป็นประเพณีของครอบครัวเมิ่งที่สามีจะกลัวภรรยา

เธอถามเมิ่งเสี่ยวป๋อว่า “คุณจะแต่งงานเมื่อไหร่

เมิ่งเสี่ยวป๋อยิ้มอย่างมีความสุข

“เดือนหน้า ยังไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอน เราวางแผนที่จะจัดในเถาหยาง เมื่อถึงเวลา เราขอเชิญคุณเป็นเจ้าภาพของเราด้วย เถ้าแก่ซูต้องมานะ”

สมาชิกทั้งสี่ของครอบครัวเมิ่งมองดูเธออย่างมีความหวัง

ซูเถาตกลงทันที “ไม่มีปัญหา ถ้าได้วันที่แน่นอนก็บอกฉันนะ”

ในเวลานี้ ฟ่านฉวนฮุยโบกมือและตะโกน

“เถ้าแก่ซู ผู้จัดการจวง! มาถ่ายรูปด้วยกันสิ! อาคารของเราสวยมาก ใครไม่รู้คิดว่าเราอยู่ในชุมชนก่อนวันสิ้นโลก เราต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก”

ซูเถายืนนิ่ง เธอยิ้มพร้อมกับหันหน้าเข้าหาแสงแดดยามบ่ายที่สดใส เธอยืนอยู่หน้าอาคารที่พักที่เรียบง่ายและสวยงามของเถาหยาง

ทุกคนยืนนิ่ง จากนั้นเสียงลั่นชัตเตอร์ก็ดังขึ้น