“กรี๊ดดดดดดด—”
 

“—!?”

 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ทางด้านเซซิเรียเพิ่งจะถูกเชิญตัวเข้าไปด้านในวังหลวงแพนเทร่านั้นเอง ทางด้านทีเอร่าที่เดินแยกออกไปอีกทางและได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่ดังออกมาจากม่านหมอกเองก็ได้ตัดสินใจที่จะรีบวิ่งไปดูตรงจุดเกิดด้วยเช่นเดียวกัน

 

และนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับหญิงสาวหูแมวผมสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่งที่กำลังเดินถอยหลังออกมาจากตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งและกำลังมองตรงเข้าไปภายในด้วยสีหน้าหวาดผวาจนทำให้ทีเอร่าไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งเข้าไปสอบถามในทันที

 

“เกิดอะไรขึ้นหรอคะพี่สาว!?”

 

“น—น—นั่นน่ะ!!”

 

หญิงสาวที่ถูกทีเอร่าพูดถามขึ้นมานั้นได้ชี้นิ้วที่สั่นเทาของเธอตรงเข้าไปภายตรอกเล็กๆ เบื้องหน้าทำให้ทีเอร่าได้เห็นชายคนหนึ่งที่กำลังนอนแผ่อยู่กับพื้นและนั่นก็ทำให้ทีเอร่าต้องรีบวิ่งเข้าไปสอบถามอาการของเขา

 

“พี่ชายเป็นอะไรหรือเปล่า—”

 

แต่ทว่าในทันทีที่ทีเอร่าเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้น เธอก็ได้พบว่าร่างที่นอนแผ่อยู่เบื้องหน้าของเธอนั้นไร้ซึ่งลมหายใจไปเสียแล้วโดยที่ตรงอกข้างซ้ายของเขานั้นได้มีรอยแผลที่ดูคล้ายกับแผลไฟไหม้อย่างรุนแรงที่ดูแล้วน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของเขาอย่างแน่นอน

 

“แผลแบบนั้นมัน… เหมือนกับพวกพี่ทหารยามเฝ้าสุสานเลยนี่นา…”

 

ทีเอร่าที่เห็นสภาพบาดแผลของร่างเบื้องหน้าได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะรีบเดินกลับไปช่วยพยุงหญิงสาวหูแมวผมสีน้ำตาลเอาไว้พร้อมกับรีบร้องบอกผู้คนที่อยู่รอบๆ ขึ้นมา

 

“ใครก็ได้ช่วยตามหมอกับทหารยามมาให้หน่อยค่ะ! ในซอยตรงนี้มีคนล้มอยู่ค่ะ!!”

 

“หะ!? เฮ้พวกนายไปตามหมอมาให้หน่อยสิ!! ตรงนี้มีคนเป็นลมอยู่!”
“เฮ้ยทหารยาม!! ทำงานหน่อยโว้ย!! มาทางนี้หน่อยเร็ว!!”

 

“ข—เขาเป็นยังไงบ้างหรอจ้ะ?”

 

ในขณะที่ชาวเมืองแพนเทร่าที่ได้ยินเสียงของเด็กสาวกำลังวุ่นวายกับการร้องหาแพทย์พยาบาลและทหารยามกันอยู่นั้นเอง ทางด้านหญิงสาวหูแมวผมสีน้ำตาลเข้มที่ดูเหมือนว่าจะสงบสติลงมาได้บ้างแล้วก็ได้พูดถามทีเอร่าขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เล็กน้อย และนั่นก็ทำให้ทีเอร่าตัดสินใจที่จะพาอีกฝ่ายไปนั่งพักที่เก้าอี้สาธารณะใกล้ๆ นี้ก่อนพร้อมกับพูดสอบถามขึ้นมาด้วย

 

“หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะค่ะ แต่มีคนตามหมอให้แล้วพี่เขาคงไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้งคะ ว่าแต่พี่สาวเห็นหรือเปล่าคะว่ามันเกิดอะไรขึ้นน่ะ อ่ะ— แล้วก็หนูชื่อว่าทีเอร่าค่ะตอนนี้อาศัยอยู่กับโบสถ์ตรงนั้นน่ะค่ะ”

 

“ฉ…ฉันบราวนี่จ้ะ เป็นเจ้าของร้านขนมตรงนั้นน่ะ…”

 

หญิงสาวหูแมวผมสีน้ำตาลเข้มได้แนะนำตัวเองขึ้นมาด้วยชื่อของขนมที่เหมือนกับสีผมของเธอพร้อมกับตรงชี้ไปยังอาคารข้างๆ ตรอกที่มีร่างของชายคนนั้นนอนอยู่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นร้านขนมหวานที่เป็นบ้านของเธอ

 

“ม…เมื่อกี้นี้ฉันกับเพื่อนได้ยินเสียงประหลาดๆ ดังออกมาจากข้างนอกตอนที่กำลังเตรียมขนมขายกันอยู่ฉันก็เลยอาสาจะออกมาดูน่ะจ้ะ”

 

“งั้นหรอคะ แต่ถ้าเกิดว่าบ้านของพี่อยู่แค่ตรงนี้เองงั้นเดี๋ยวหนูพาพี่กลับเข้าไปนั่งพักข้างในบ้านก่อนเลยก็แล้วกันนะคะ”

 

“อ…อื้อ… รบกวนด้วยนะ…”

 

บราวนี่พยักหน้าตอบทีเอร่ากลับไปก่อนที่เด็กสาวจะช่วยพยุงหญิงสาวที่ยังคงตกใจจนเดินแทบจะไม่ไหวกลับเข้าไปด้านในร้านขายขนมของเธอ

 

“บราวนี่!? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า!? เมื่อกี้นี้มันเสียงร้องของเธอใช่มั้ยน่ะ!?”

 

และในทันทีที่พวกเธอทั้งสองคนก้าวเท้าเข้าไปภายในตัวอาคารนั้นเองก็ได้มีเสียงร้องสอบถามของหญิงสาวหูแมวผมสีทองที่ทำไฮไลต์ผมเป็นสีขาวบางส่วนผู้ที่มีนัยน์ตาสองสีที่ข้างหนึ่งเป็นสีแดงและอีกข้างหนึ่งเป็นสีน้ำเงินดังขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงจนทำให้บราวนี่ต้องรีบพูดตอบกลับไป

 

“ฉันไม่เป็นอะไรจ้ะ เมื่อกี้นี้แค่ตกใจเฉยๆ น่ะ…”

 

“คือว่าเมื่อกี้นี้มีใครก็ไม่รู้มานอนเจ็บอยู่ที่ข้างๆ ร้านของพวกพี่น่ะค่ะ”

 

“เอ๊ะ? เอ่อ….”

 

คำพูดของทีเอร่าที่ช่วยพูดอธิบายขึ้นมาให้แทนบราวนี่ที่ดูเหมือนว่าจะยังคงตื่นตกใจอยู่เล็กน้อยนั้นได้ทำให้หญิงสาวหูแมวผมสีทองตาสองสีชะงักไปเล็กน้อยราวกับว่าเธอไม่ทันสังเกตเห็นว่าเพื่อนของเธอไม่ได้เดินเข้ามาตัวคนเดียว และเมื่อหญิงสาวได้สังเกตเห็นว่าเป็นทีเอร่าเองที่ช่วยพยุงเพื่อนของเธอกลับมา เธอก็จึงไม่รอช้าที่จะพูดแนะนำตัวขึ้นมาในทันที

 

“ฉันชื่อว่า คุกกี้ จ้ะเป็นเพื่อนของบราวนี่เขาเอง ขอบคุณที่ช่วยพาบราวนี่เขากลับมาด้วยนะ”

 

“หนูทีเอร่าค่ะ ว่าแต่ที่พี่บราวนี่บอกว่าพวกพี่ได้ยินเสียงประหลาดๆ ออกมาจากซอยข้างๆ นี่มันเป็นยังไงหรอคะ?”

 

ทีเอร่าที่ได้ยินคำแนะนำตัวของหญิงสาวที่มีชื่อเหมือนกับขนมอีกคนหนึ่งได้พูดแนะนำตัวเองกลับไปและไม่รอช้าที่จะพูดสอบถามเรื่องที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เธอได้รับมอบหมายมาจากเอริกะขึ้นมาในทันที

 

ซึ่งทางด้านคุกกี้นั้นก็ได้ยื่นมือออกมาพยุงบราวนี่ไปนั่งพักที่เก้าอี้ใกล้ๆ กันก่อนที่เธอจะเดินไปส่องดูเตาอบขนมของเธอพร้อมกับเอ่ยปากพูดตอบทีเอร่ากลับไป

 

“ก็บราวนี่น่าจะบอกเธอไปแล้วล่ะมั้งว่าตอนที่พวกฉันกำลังอบขนมกันอยู่ อยู่ๆ พวกฉันก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ดังมาจากตรอกข้างๆ นี่น่ะ แล้วบราวนี่เขาก็เลยบอกว่าจะออกไปดูแล้วให้ฉันอยู่เฝ้าเตาอบขนมนี่ไปก่อนน่ะ”

 

“แล้วเสียงแปลกๆ ที่ว่านี่มันเป็นเสียงประมาณไหนหรอคะ?”

 

“เอ… มันเสียงคล้ายๆ กับกาน้ำร้อนล่ะมั้ง… แบบที่มันดัง วี๊~~~ สักพักนึงเสร็จแล้วก็มีเสียงดังปั๊งเหมือนกับเสียงกระแทกประตูปิดแรงๆ ตามมาน่ะ”

 

“เสียงดังวี๊แล้วก็ดังปั๊งงั้นหรอคะ…”

 

คำตอบของคุกกี้นั้นได้ทำให้ทีเอร่าแสดงสีหน้าไม่สู้ดีออกมาเล็กน้อย เพราะว่าเสียงที่ว่านั้นมันก็ฟังดูเหมือนกับเสียงของอาวุธส่วนตัวของเดดารัสที่เป็นกล่องไอพ่นติดอาวุธพลังวิซที่เธอไม่เคยทราบที่มาของมันมาก่อนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

 

ซึ่งในขณะที่ทางด้านคุกกี้กำลังวุ่นวายอยู่กับเตาอบขนมของเธออยู่นั้นเอง ทางด้านบราวนี่ที่กำลังนั่งพักอยู่ก็ได้เอ่ยปากพูดอธิบายเพิ่มเติมออกมาให้ทีเอร่าได้ฟังแทน

 

“ใช่แล้วล่ะ แล้วตอนที่ฉันเดินออกไปดูฉันก็เห็นผู้ชายผมสีน้ำตาลคนนึงกำลังนั่งทำอะไรสักอย่างอยู่ที่ข้างๆ ผู้ชายคนที่นอนอยู่ตรงนั้นน่ะ”

 

“เอ๊ะ? ผู้ชายผมสีน้ำตาลงั้นหรอคะ!? คนคนนั้นเขาใส่ผ้าปิดตาเอาไว้ข้างนึงด้วยหรือเปล่าคะ!?”

 

คำพูดอธิบายของบราวนี่ในคราวนี้นั้นได้ทำให้หูแมวของทีเอร่ากระดิกด้วยความสนใจเพราะว่าพี่เดดารัสที่หายตัวไปของเธอนั้นก็มีเส้นผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านบราวนี่ก็กลับส่ายหน้ากลับมาให้เธอเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเด็กสาวกลับไป

 

“เรื่องนั้นฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ เพราะว่าพอฉันเห็นผู้ชายอีกคนนึงนอนตาค้างอยู่แบบนั้นฉันก็ตกใจจนเผลอร้องออกมาจนเขารีบหนีไปนั่นแหล่ะ”

 

“งั้นหรอคะ แล้วพี่บราวนี่พอจะจำได้หรือเปล่าน่ะคะว่าผู้ชายผมสีน้ำตาลคนนั้นเขาหนีไปทางไหนน่ะ เพราะตรอกข้างๆ ร้านของพี่มันเป็นซอยตันใช่มั้ยล่ะคะ”

 

“คือ… แบบว่าฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฉันตกใจตาฝาดไปหรือเปล่านะ แต่ฉันว่าฉันเห็นเขากระโดดขึ้นกำแพงด้านหลังหนีไปน่ะ…”

 

บราวนี่ที่ถูกทีเอร่าพูดถามขึ้นมานั้นได้พยายามที่จะนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงที่เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูกและพูดออกมาให้ทีเอร่าได้ฟัง แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านคุกกี้ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเตาอบขนมแต่ดูเหมือนจะฟังการสนทนาของพวกเธออยู่ด้วยก็ได้พูดแทรกขึ้นมา

 

“กำแพงด้านหลังนั่นมันเป็นร้านขายเสื้อที่อยู่อีกถนนนึงไม่ใช่หรอบราวนี่ ถ้าเกิดว่าเขากระโดดหนีไปทางนั้นจริงๆ นั่นมันต้องระดับยอดมนุษย์หรือไม่ก็บินได้แล้วนะถึงกระโดดทีเดียวข้ามตึกสองชั้นไปได้แบบนั้นน่ะ”

 

“ใช่มั้ยล่ะ… ฉันก็เลยไม่มั่นใจเหมือนกันว่านั่นมันเป็นคนจริงๆ หรือว่าฉันแค่ตกใจจนตาฝาดไปเองหรือเปล่าเนี่ย…”

 

บราวนี่ที่ได้ยินคำพูดของคุกกี้ได้พูดตอบเพื่อนของเธอกลับไปเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีทหารยามและแพทย์พยาบาลในชุดสีขาวช่วยกันแบกเปลที่มีผ้าสีขาวคลุมอยู่ผ่านหน้าร้านขายขนมไปจนทำให้คุกกี้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ

 

“หว๊าย… คลุมผ้าอยู่แบบนั้นท่าทางว่าคงจะไม่รอดแล้วล่ะมั้งนั่น…”

 

“ไม่เอาสิคุกกี้… มีเด็กอยู่ด้วยนะ…”

 

คำพูดของคุกกี้ที่หลุดเสียงร้องออกมานั้นได้ทำให้บราวนี่ต้องรีบพูดเตือนเพื่อนของเธอขึ้นมา และนั่นก็ทำให้คุกกี้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเธอได้พบว่าในขณะนี้ทีเอร่ากำลังทำสีหน้าไม่สู้ดีเพราะเรื่องของชายคนที่น่าจะเป็นเดดารัสอยู่ เธอจึงได้ตัดสินใจที่จะพูดปลอบใจทีเอร่าขึ้นมา

 

“ไม่เป็นไรนะจ๊ะทีเอร่า ฉันก็แค่พูดเล่นไปงั้นเองนั่นแหล่ะ ถึงมือหมอแบบนั้นเดี๋ยวเดียวคนคนนั้นเขาก็หายดีแล้วล่ะจ้ะ”

 

“เอ๊ะ? เอ่อ… พวกพี่ไม่ต้องเกรงใจหนูก็ได้นะคะ พอดีหนูอยู่ที่โบสถ์ก็เลยพอจะเจอเรื่องคนเจ็บคนตายมาบ้างอยู่แล้วน่ะค่ะ”

 

ทีเอร่าที่กำลังกลุ้มใจเกี่ยวกับเรื่องของชายผมสีน้ำตาลที่อาจจะเป็นเดดารัสก็ได้อยู่นั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยิ้มตอบพี่สาวคนใหม่ทั้งสองคนของเธอกลับไป และนั่นก็ทำให้บราวนี่ที่เห็นแบบนั้นต้องเอ่ยปากชมขึ้นมา

 

“ทีเอร่านี่เก่งจังเลยนะ พอมาถึงก็รีบวิ่งไปดูคนเจ็บแถมยังเรียกคนมาช่วยซะเรียบร้อยผิดกับฉันที่มัวแต่ทำตัวไม่ถูกลิบลับเลย”

 

“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะบราวนี่ …ว่าแต่หนูเป็นเด็กของทางโถสถ์เองงั้นหรอจ๊ะเนี่ยทีเอร่าจัง ฉันนึกว่าที่หนูแต่งตัวแบบนี้เพราะว่าแค่ชอบเฉยๆ ซะอีกนะ”

 

ในขณะที่บราวนี่กำลังพูดพึมพำออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านคุกกี้ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พยายามที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะหันไปทางเตาอบและหยิบเอาขนมที่ถูกอบอยู่ภายในออกมา

 

“อ่ะ— ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วทีเอร่าจังสนใจจะลองทานเค้กของร้านพวกฉันดูหน่อยมั้ยล่ะจ๊ะ ถือว่าเป็นการขอบคุณที่เธอช่วยบราวนี่เอาไว้ก็แล้วกัน”

 

“เอ๋ จะดีหรอคะ?”

 

“ก็ต้องดีอยู่แล้วสิจ๊ะ หรือไม่งั้นก็คิดซะว่ามาอยู่เป็นเพื่อนพวกฉันสักหน่อยก็แล้วกัน เพราะไหนๆ ก็ดูท่าทางว่าวันนี้ทั้งวันก็คงจะไม่มีลูกค้าอยู่แล้วล่ะ หรือว่าเธอมีธุระอะไรอยู่แล้วหรือเปล่า?”

 

“ก็ไม่มีหรอกค่ะ แล้วกว่าหนูจะต้องกลับไปที่โบสถ์มันก็ช่วงเย็นๆ นู่นอยู่แล้วล่ะค่ะ”

 

ทีเอร่ายิ้มพูดตอบคุกกี้กลับไปและนั่นก็ทำให้คุกกี้พยักหน้ากลับไปให้เด็กสาวก่อนจะพูดขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสาวของเธอขึ้นมา

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวบราวนี่เอาขนมที่เหลือออกมาจากเตาให้หน่อยสิ แล้วเดี๋ยวฉันจะไปชงชามาให้เอง เฮ้อ… แต่นี่ก็ยังดีนะที่เพิ่งจะอบขนมไปแค่ชุดเดียวน่ะ ไม่งั้นมีหวังขาดทุนย่อยยับแน่เลย…”

 

หลังจากที่คุกกี้พูดบอกเพื่อนของเธอเสร็จแล้วเธอก็ได้ถอนหายใจพูดบ่นออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินหายเข้าประตูด้านหลังไปสักพักหนึ่งและเดินกลับออกมาพร้อมกับชุดน้ำชาให้กับทุกคน

 

และหลังจากที่พวกเธอทั้งสามคนนั่งทานขนมและน้ำชาคุยกันไปได้สักพักใหญ่ๆ ทีเอร่าก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอควรที่จะรีบรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้เอริกะได้ฟังไม่ใช่มามัวนั่งทานขนมอยู่กับพวกพี่สาวคนใหม่อยู่แบบนี้

 

“อ่ะ— จะว่าไปหนูน่าต้องรีบไปรายงานเรื่องนี้ที่โบสถ์ด้วยนี่นา ถ้ายังไงหนูต้องขอตัวก่อนนะคะ”

 

“นั่นสินะ ถ้าเกิดว่าพวกทหารเขากลับมากันเมื่อไหร่มีหวังทีเอร่าได้โดนกักตัวเอาไว้อีกยาวเลย ถ้างั้นทีเอร่าก็รีบไปก่อนเถอะนะ”

 

“ถ้าเกิดวันหลังอยากกินขนมก็แวะมาที่ร้านของพวกฉันได้เลยนะจ๊ะ~”

 

ในขณะที่ทางด้านบราวนี่ได้แสดงท่าทีเป็นห่วงทีเอร่าออกมา ทางด้านคุกกี้ก็ได้ยิ้มพูดบอกลาเด็กสาวออกมาด้วยเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้ทีเอร่าไม่รอช้าที่จะพูดบอกลาพี่สาวคนใหม่ทั้งสองคนของเธอออกมาในทันที

 

“ค่ะ ถ้างั้นไว้โอกาสหน้าเจอกันใหม่นะคะ”

 

หลังจากที่ทีเอร่าพูดบอกลาออกมาเสร็จแล้วเธอก็รีบวิ่งออกมาจากร้านขายขนมและหันไปมองตรอกที่เกิดเหตุเล็กน้อยจนได้พบว่าในขณะนี้พวกทหารยามของเมืองแพนเทร่าได้เข้าควบคุมจุดเกิดเหตุเอาไว้แล้วและดูเหมือนว่าจะกำลังเก็บรวบรวมหลักฐานกันอยู่

 

“หวา… แบบนี้ดูท่าทางว่าจะเข้าไปไม่ได้แล้วล่ะมั้ง… อ่ะ—โชคดีนะเนี่ยที่รีบออกมาก่อนน่ะ”

 

ในขณะที่ทีเอร่ากำลังพูดพึมพำออกมาอยู่นั้นเอง เธอก็ได้สังเกตเห็นนายทหารคนหนึ่งได้เดินตรงเข้าไปภายในร้านขายขนมของคุกกี้และบราวนี่ตามที่หญิงสาวเจ้าของร้านได้คาดเดาเอาไว้เมื่อสักครู่นี้

 

ซึ่งถึงแม้ว่าทีเอร่าจะอยากเข้าไปช่วยพี่สาวทั้งสองคนให้ปากคำก็ตาม แต่ว่าเธอก็รู้ตัวดีว่าถ้าเกิดเธอเข้าไปยุ่งล่ะก็เธอก็อาจจะถูกซักประวัติจนถูกเปิดโปงว่าเธอไม่ใช่เด็กกำพร้าที่อยากจะมาขอฝึกงานอย่างที่เธอบอกกับทางโบสถ์ไปก็ได้ และนั่นก็ทำให้ทีเอร่าตัดสินใจที่จะรีบเดินหลบออกจากบริเวณนี้ก่อนพร้อมกับพยายามติดต่อหาเอริกะผ่านเครื่องมือสื่อสารแทน

 

“ถ้างั้นก็รีบรายงานพี่เอริกะก่อนก็แล้วกัน..”

 

ปิ๊บ

 

ตรู๊ด—- ตรู๊ด—-

 

“เอ… เห็นพี่เอริกะบอกว่าถ้ามันดังยาวๆ แบบนี้แปลว่าพี่เขากำลังคุยกับคนอื่นอยู่หรืออะไรประมาณนั้นหรือเปล่านะ…”

 

“ทีเอร่าจัง?”

 

แต่แล้วในขณะที่เด็กสาวกำลังรอให้พี่เอริกะรับสายการสื่อสารของเธออยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของซิสเตอร์ผมสีทองที่มีชื่อว่าโจนที่เป็นผู้ดูแลของเธอดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ จนทำให้ทีเอร่าต้องสะดุ้งไปเล็กน้อยพร้อมกับพูดบ่นออกมาเบาๆ

 

“หว๋าย— ทำไมพี่โจนถึงชอบมาตอนจังหวะแบบนี้ตลอดเลยเนี่ย…”

 

“อ่ะ– ทีเอร่าจังจริงๆ ด้วย ไม่ใช่หนูบอกว่าวันนี้จะไปช่วยเพื่อนที่อยู่แถวๆ ชานเมืองทำธุระหรอกหรอจ๊ะ?”

 

ในขณะที่ทีเอร่ากำลังพูดพึมพำออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านโจนก็ได้เดินเข้ามาถึงตัวเธอพร้อมกับพูดสอบถามขึ้นมาด้วยความสงสัยและหันไปมามองซ้ายขวาไปด้วยราวกับว่าเธอกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ และนั่นก็ทำให้ทีเอร่าต้องรีบพูดตอบกลับไป

 

“อ๋อ พอดีว่ามันเสร็จเร็วกว่าที่คิดน่ะค่ะ แต่เห็นพี่โจนก็บอกว่าวันนี้พี่ก็ต้องเข้าไปที่ตัวเมืองชั้นในเหมือนกันไม่ใช่หรอคะ?”

 

“แหม่ นี่มันเกือบจะเที่ยงอยู่แล้วนะจ๊ะ พิธีอวยพรเรือเหาะที่พี่ต้องไปทำมันเสร็จตั้งแต่ช่วงสายๆ แล้วล่ะจ้ะ”

 

“เห… งั้นหรอคะ”

 

ปิ๊บ–

 

ทีเอร่าที่ดูแล้วว่าเธอคงจะหาจังหวะแอบคุยกับเอริกะไม่ได้แล้วนั้นได้อาศัยจังหวะที่โจนยังคงหันไปมามองหาอะไรบางอย่างอยู่ในการตัดสายการสื่อสารของเอริกะที่จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่รับสายเธออยู่ดีทิ้งไปพร้อมกับพูดถามคนดูแลซิสเตอร์หน้าใหม่อย่างพี่โจนของเธอขึ้นมา

 

“ว่าแต่แล้วไหงพี่โจนถึงมาอยู่แถวนี้ได้ล่ะคะ ตรงแถวนี้อีกนิดเดียวก็จะออกไปนอกเมืองอยู่แล้วนะคะ”

 

“อ่ะ–”

 

คำถามของทีเอร่านั้นได้ทำให้โจนที่ดูเหมือนว่าจะกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่นั้นได้ชะงักไปและเอียงคอเล็กน้อยด้วยท่าทีประหลาดใจก่อนที่เธอจะหันไปมองเด็กสาวแล้วจึงยิ้มพูดตอบกลับไป

 

“อ๋อ พอดีพี่ได้ยินมาว่าแถวนี้มีคนถูกทำร้ายก็เลยลองเดินมาดูเผื่อว่าพวกเขาจะมีอะไรให้ทางโบสถ์ช่วยหรือเปล่าน่ะจ้ะ”

 

“เอ๋? พี่โจนรู้ด้วยหรอคะว่ามีคนถูกทำร้ายน่ะ?”

 

“แหม่ ก็ตอนที่พี่กำลังเดินกลับไปที่โบสถ์พี่ได้ยินพวกเขาพูดกันให้ทั่วเลยน่ะจ้ะว่ามีคนโดนทำร้ายอยู่ในตรอกแถวๆ นี้น่ะ ว่าแต่หนูถามแบบนี้นี่อย่าบอกนะว่าแอบมาเล่นซนเป็นนักสืบอีกแล้วน่ะ”

 

“แหะๆ ก็พอดีว่าตอนที่หนูกำลังจะกลับไปที่โบสถ์หนูได้ยินเสียงกรี๊ดอยู่แถวๆ นี้ก็เลยลองวิ่งเข้าไปดูน่ะค่ะ”

 

“เอ๋? ไม่ได้นะจ๊ะทีเอร่าจัง ทำแบบนั้นมันอันตรายนะ วันหลังถ้าเกิดว่าถ้าหนูอยากจะช่วยใครจริงๆ ก็ให้ไปบอกพวกผู้ใหญ่เขาจะปลอดภัยกว่านะจ๊ะ”

 

โจนที่ได้ยินคำตอบของทีเอร่านั้นได้เอ่ยปากพูดบอกเด็กสาวกลับไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมกับลูบหัวลูบแก้มของเด็กสาวไปด้วย และนั่นก็ทำให้ทางด้านทีเอร่าเองก็เริ่มที่จะรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างที่ทำให้พี่เลี้ยงของเธอเป็นห่วงแบบนี้ขึ้นมา

 

“ก็ตอนนั้นพี่เขากรี๊ดดังแบบนั้นหนูก็เลยเป็นห่วงนี่นา…”

 

“พี่รู้จ้ะว่าหนูเป็นเด็กดีที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่ถ้าเกิดว่ามีวันไหนสักวันที่หนูรีบวิ่งไปช่วยคนอื่นโดยไม่บอกใครแบบนั้นแต่ว่าคนไม่ดีเขายังไม่ได้หลบออกไปก่อนแบบวันนี้หนูจะทำยังไงล่ะจ๊ะ…”

 

“ต…แต่ว่า…”

 

“การรีบไปช่วยเหลือคนอื่นมันไม่ใช่สิ่งไม่ดีหรอกนะจ๊ะ แต่ที่พี่ต้องเตือนหนูเอาไว้นี่มันเป็นเพราะว่าสิ่งที่หนูทำมันอาจจะเสี่ยงเกินไปสำหรับตัวหนูในตอนนี้เฉยๆ น่ะ ลองคิดดูสิว่าถ้าเกิดว่าหนูรีบเข้าไปช่วยเหลือใครก่อนที่จะได้คิดให้ดีๆ จนตัวเองตกที่นั่งลำบากไปด้วยมันจะเดือดร้อนคนอื่นๆ ที่ต้องตามไปช่วยหนูอีกทีนึงขนาดไหนน่ะ”

 

“…พี่โจนไม่โกรธหนูงั้นหรอคะ?”

 

น้ำเสียงของโจนที่ฟังดูแล้วไม่ได้แฝงไว้ซึ่งความโกรธที่เด็กสาวทำอะไรโดยไม่บอกไม่กล่าวโดยแม้แต่น้อยเลยนั้นได้ทำให้ทีเอร่าต้องพูดถามซิสเตอร์สาวขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้โจนต้องส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงใจดีราวกับคุณแม่ที่กำลังพูดปลอบลูกสาวตัวน้อยอยู่

 

“ถ้าจะโกรธพี่ก็โกรธเพราะว่าหนูทำอะไรโดยไม่ระวังตัวเองนั่นแหล่ะจ้ะ ถึงคราวนี้หนูจะโชคดีที่ไม่ได้ไปเจอกับคนร้ายในที่เกิดเหตุเข้าแต่ถ้าหนูยังทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันนึงมันอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็ได้นะจ๊ะ… แต่สำหรับตอนนี้พวกเรากลับไปที่โบสถ์กันก่อนเถอะจ้ะ แล้วถ้าหนูรู้เรื่องอะไรมาก็มาเล่าให้พี่ฟังด้วยนะจ๊ะ พี่จะได้เอาไปบอกให้คนอื่นระวังตัวกันเอาไว้ด้วยน่ะ”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ”

 

ทีเอร่าพยักหน้าตอบโจนกลับไปอย่างว่าง่าย และนั่นก็ทำให้โจนเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่พวกเธอจะพากันเดินจูงมือกันกลับไปที่โบสถ์กันจนดูราวกับว่าพวกเธอเป็นคู่แม่ลูกจากครอบครัวแสนสุขอย่างไรอย่างนั้น