“นี่เธอไปเจอกับไคเลอร์มาแล้วก็ดันตามไปฟาดกับเขาตรงๆ มาเนี่ยนะ? นี่เธอบ้าไปแล้วหรอไงหะเซซิเรีย!!?”
 

ในขณะที่ทางด้านทีเอร่ากำลังเดินทางกลับไปที่โบสถ์ของเมืองแพนเทร่าอยู่นั้นเอง ทางด้านเอริกะที่ติดสายการสื่อสารกับเซซิเรียอยู่ก็ได้ร้องลั่นออกมาเมื่อเซซิเรียได้รายงานถึงเรื่องในตอนที่เธอได้ไปต่อสู้กับไคเลอร์มา

 

ซึ่งคำพูดในเชิงต่อว่าของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้เซซิเรียต้องส่งเสียงพูดเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมความกัน

 

“ก็ยัยนั่นเล่นฆ่าทหารไปคนนึงต่อหน้าฉันเลยนะ! เธอคิดจะให้ฉันยอมอยู่เฉยๆ ในสถานการณ์แบบนั้นจริงๆ หรอไง!?”

 

“เธอหมายถึงทหารคนที่พยายามจะซุ่มยิงเธอ— ไม่สิ เธอหมายถึงทหารคนที่ซุ่มยิงเธอ ‘ไปแล้ว’ ตั้งนัดนึงนั่นน่ะนะ?”

 

“ต่อให้เขาจะยิงไปแล้วหรือยังไม่ยิงแล้วมันจะทำไมล่ะ!? ยังไงซะยัยไคเลอร์นั่นก็รู้อยู่แล้วว่าปืนวิซแบบนั้นมันทำอะไรฉันไม่ได้อยู่แล้ว แล้วยัยหมาบ้านั่นยังจะมีหน้ามาลอยหน้าลอยตาบอกว่าแวะมาช่วยฉันอีก เธอจะให้ฉันยอมปล่อยเรื่องแบบนั้นผ่านไปเฉยๆ หรือไง!?”

 

“เฮ้อ… เธอรู้อะไรมั้ย เอาเป็นว่าฉันขอไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็แล้วกัน… แล้วสรุปว่านี่เธอได้ลงไปที่ห้องควบคุมมาหรือเปล่า?”

 

เอริกะที่ได้ยินเซซิเรียพูดเหมือนกับว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้หญิงสาวผมสีเขียวก็คงจะยังตามไปต่อสู้กับไคเลอร์อีกรอบหนึ่งอยู่ดีได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดเปลี่ยนเรื่องออกมา และนั่นก็ทำให้เซซิเรียต้องพูดตอบคำถามของเอริกะกลับมาโดยน้ำเสียงที่ยังคงฟังดูแฝงความหงุดหงิดเอาไว้เล็กน้อย

 

“เธอได้ยินว่าคุณหนูเคาน์เตสคนนั้นแอบวางทหารเอาไว้ดักตีหัวฉันแบบนั้นแล้วยังคิดว่าฉันจะได้ลงไปที่นั่นอยู่อีกหรือไง? ฉันตกลงกับยัยหนูนั่นเอาไว้แล้วว่าเดี๋ยวจะส่งคนไปช่วยดูห้องควบคุมให้ เพราะงั้นถ้าเกิดว่าเธอว่างเมื่อไหร่ก็ลองแวะไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน แต่ไม่ว่ายังไงก็ห้ามบอกว่าเธอรู้จักกับไมเคิลเด็ดขาดเลยล่ะ บอกไปแค่ว่ามีนัดกับเคาน์เตสอาริสะก็พอแล้ว”

 

“เฮ้อ… ถัดจากแคทเธอรีนก็แม็กซิสเสร็จแล้วก็ไมเคิลต่อเลยงั้นหรอ… นี่ถ้าเกิดมีข่าวว่ามีคนใหญ่คนโตแถวๆ นี้ตามไปด้วยสักอีกคนนึงมันคงจะไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่แล้วล่ะมั้ง…”

 

“ทำเป็นพูดเล่นไป ถ้าเกิดว่ามันมีเรื่องอะไรแบบนั้นจริงๆ ล่ะก็มันจะเป็นเธอเองนั่นแหล่ะที่จะหัวเราะไม่ออกซะเองนะเอริกะ”

 

คำพูดถอนหายใจด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ของเอริกะนั้นได้ทำให้เซซิเรียต้องพูดเตือนเธอกลับมา และนั่นก็ทำให้เอริกะได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่ถ้าฟังจากที่เธอเล่าแล้วฉันคิดว่าไมเคิลเขาน่าจะพยายามใช้ห้องควบคุมปล่อย ‘หมอก’ พวกนั้นออกมาจากข้างล่างนิดๆ หน่อยๆ เพื่อช่วยพรางตัวในระหว่างหลบหนีล่ะมั้ง เพราะไมเคิลเขาเป็นคนใจดีจะตายไปนิ ไม่งั้นเขาคงจะไม่มานั่งเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจนต้องเที่ยวไปตบตีกับทางวังหลวงแพนเทร่าเรื่องงบประมาณสำหรับพวกเด็กกำพร้าอยู่บ่อยๆ แบบนั้นหรอกจริงมั้ยล่ะ”

 

“เธออย่ามองโลกในแง่ดีมากเกินไปจะดีกว่านะเอริกะ เวลามันก็ผ่านมาตั้งนานขนาดนี้แล้วฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่เหมือนกัน”

 

“เขาไม่น่าจะเปลี่ยนไปเยอะหรอกมั้ง เพราะเมื่อไม่นานมานี้ฉันเพิ่งจะแวะไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของเขามาเอง เมื่อสักสิบกว่าปีก่อนได้ล่ะมั้งตอนที่พวกเขาส่งจดหมายมาขอความช่วยเหลือจากฉันกับอารอนเกี่ยวกับเรื่องการเล่นซนของเอริซาเบธเขาน่ะ อีกอย่างนึงนอกจากเอริซาเบธแล้วเทียกับมีอาแล้วก็น้องสาวของเอริซาเบธเขาก็เคยอยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกันนะ”

 

“น้องสาว? ยัยหนูจิ้งจอกสีแดงของเธอนั่นมีน้องสาวด้วยหรอ?”

 

“อ้าว ฉันไม่เคยบอกเธอหรอ? แต่ก็นะ เห็นว่าน้องสาวของเอริซาเบธเขาถูกตระกูลขุนนางไหนสักตระกูลนึงรับไปเลี้ยงแค่คนเดียวน่ะ แล้วพอไม่มีน้องสาวคอยคุมเอาไว้เอริเขาก็เลยเล่นซนเลยเถิดไปหน่อยจนโดนไมเคิลเขาจับได้ ไมเคิลเขาก็เลยส่งจดหมายมาขอให้ฉันไปช่วยดูให้หน่อยน่ะ”

 

เปรี๊ยะ—

 

ในขณะที่เอริกะกำลังเล่าเรื่องสมัยเด็กของเอริซาเบธให้เซซิเรียฟังอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของคริสตัลวิซที่แตกร้าวดังแทรกเสียงพูดของเธอขึ้นมาก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของนากาและโมโกะดังตามขึ้นมาติดๆ กันแทบจะในทันที

 

“เหวอ— หนักมือไปแล้วนะอีฟ ลดมันลงหน่อยเร็ว!”

 

“ไม่ทันแล้ว! โยนเลย!”

 

ปุ้ง!!

 

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของโมโกะดีก็ได้มีเสียงระเบิดเล็กๆ ดังแว่วๆ มาจากด้านนอกห้องทำงานของเอริกะให้เจ้าของห้องและเซซิเรียที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสายการสื่อสารได้ยิน และนั่นก็ทำให้เซซิเรียต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

“นั่นมันเสียงของพวกเด็กหน้าใหม่ที่เธอเก็บมาเลี้ยงไม่ใช่หรอน่ะ?”

 

“อุ้ยแหม่~ ทีชื่อของเอริซาเบธที่อยู่กับฉันมาเป็นสิบปีแล้วเธอยังจำไม่ค่อยจะได้เลยแต่ว่าดันจำเสียงของพวกนากาคุงที่เธอเคยเจอเขาแค่ครั้งสองครั้งได้เลยงั้นหรอเนี่ย นี่แอบคิดอะไรไม่ดีอยู่หรือเปล่าเอ่ย~?”

 

“เฮ้อ…”

 

คำพูดหยอกเย้าของเอริกะนั้นได้ทำให้เซซิเรียส่งเสียงถอนหายใจกลับมาสั้นๆ โดยไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องพูดกลับเข้าเรื่องในทันที

 

“คือพอดีว่าก่อนหน้านี้เด็กคนใหม่ล่าสุดของฉันบังเอิญไปทำอะไรที่น่าเป็นห่วงขึ้นมา ฉันก็เลยให้พวกเขาหลบมาฝึกที่บ้านของฉันกันก่อนจนกว่าจะปลอดภัยน่ะสิ แต่เธอก็ยังติดต่อมาได้ทุกเมื่อเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ เพราะส่วนมากแล้วพวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาในออฟฟิศของฉันหรอก”

 

“นี่เธออุตส่าห์ใช้เส้นสายให้พวกเขาได้เข้าโรงเรียนแล้วก็หาบ้านให้พวกเขาอยู่ซะดิบซะดีเพื่อที่จะได้กันพวกเขาออกจากเรื่องพวกนี้ได้แล้วแต่ก็ดันลากพวกเขากลับมาอยู่ใกล้ตัวอีกเนี่ยนะ? บางครั้งฉันก็ทำความเข้าใจกับวิธีของเธอไม่ได้เลยจริงๆ นะ…”

 

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา รอบนี้มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของเด็กคนนึงเลยนะ แล้วถ้าเกิดว่าหนูอีฟเขาฝึกได้สำเร็จจริงๆ ล่ะก็มันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนในภายหลังก็ได้—”

 

ปุ้ง—!!

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดตอบเซซิเรียกลับไปอยู่นั้นเองอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงระเบิดดังแว่วๆ มาให้พวกเธอได้ยินอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ทันใดนั้นเองโมโกะจะโผล่มาทางหน้าต่างบานใหญ่ของห้องออฟฟิศที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้และพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

 

“อีฟเขาทำคริสตัลวิซที่เธอให้มาระเบิดไปหมดแล้วน่ะเอริกะ… เธอยังพอจะมีเหลืออยู่อีกบ้างมั้ย”

 

“ก็น่าจะยังพอมีเหลืออยู่บ้างนะ… อยู่ไหนเอ่ย… อ่ะ–นี่ไง แต่พวกนี้น่าจะเป็นชุดสุดท้ายแล้วนะ ถ้าเกิดว่าอีฟเขายังทำระเบิดหมดอีกก็ให้พักกันก่อนก็แล้วกันเนอะ”

 

“อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ”

 

โมโกะที่ได้รับห่อผ้าบรรจุก้อนคริสตัลวิซจำนวนหนึ่งไปจากเอริกะได้พูดตอบหญิงสาวนักประดิษฐ์กลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะหายไปจากช่องหน้าต่างในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้หมุนเก้าอี้กลับไปทางโต๊ะทำงานของเธอและเอ่ยปากพูดถามเซซิเรียขึ้นมาต่อ

 

“แล้วเธอคิดว่ายังไงกับสถานการณ์ตอนนี้บ้างล่ะ? ถ้าเกิดว่าไคเลอร์อยู่แถวนั้นเธอจะให้ฉันส่งกำลังเสริมเข้าไปหรือเปล่า? แต่ขอบอกก่อนว่าคงจะไม่ได้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่หรอกนะเพราะว่าตอนนี้สมาชิกแทบจะทุกกลุ่มของฉันยังพักฟื้นกันอยู่เลยน่ะ”

 

“รวมถึงกลุ่มดอว์นของเธอนั่นด้วยน่ะหรอ?”

 

“อ่ะๆ นั่นมันกลุ่มของไดเอน่าจังเขาต่างหากล่ะ แล้วเธอคิดจริงๆ หรอว่าคุณผู้อำนวยการเขาจะยอมอนุญาตให้พวกเด็กๆ ออกไปไกลถึงเมืองแพนเทร่ากันแบบนั้นน่ะ ขนาดแค่ตอนที่พวกนากาเขาจะไปที่หมู่บ้านของรีซาน่าคุณผู้อำนวยการเขายังใช้เวลาคิดตั้งสองสามวันแถมมีเงื่อนไขเยอะแยะไปหมดเลยนะ”

 

“ก็นับว่าเป็นข้อดีของเขาล่ะนะคุณผู้อำนวยการคนนั้นน่ะ… แต่ว่าพอต้องมาฝากความหวังเอาไว้กับพวกเด็กๆ แบบนี้แล้วมันก็มีแต่ปัญหาเต็มไปหมดเลยนะ…”

 

“ก็นั่นสินะ~”

 

เอริกะพูดตอบเซซิเรียกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจก่อนที่เธอจะหมุนเก้าอี้กลับไปทางหน้าต่างของห้องอีกครั้งหนึ่งเพื่อมองดูพวกนากาที่กำลังพยายามจะฝึกให้อีฟใช้วิซออกมาในปริมาณเทียบเท่ากับคนทั่วๆ ไปกันอยู่

 

ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพวกเด็กๆ เพิ่งจะหยุดพักกันเสร็จพอดีเมื่อเธอได้ยินเสียงของนากากำลังพยายามที่จะพูดบอกอีฟให้ทำตามเขาขึ้นมา

 

“เธอจำปริมาณวิซที่ปล่อยออกมาเมื่อกี้นี้ได้ใช่มั้ยอีฟ งั้นทีนี้ลองปล่อยออกมาให้น้อยลงกว่าเดิมดูสักหน่อยนะ”

 

วิ้ง—เปรี๊ยะ—

 

“เดี๋ยว— นั่นมันเยอะกว่าเดิมอีกนะ—”

 

ในทันทีที่สิ้นเสียงกำกับของนากานั้นเอง คริสตัลวิซที่เขาถือเอาไว้เบื้องหน้าอีฟก็ได้ส่องแสงสว่างจ้าพร้อมกับส่งเสียงปริแตกออกมาจนทำให้โมโกะต้องหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนที่นากาจะรีบโยนมันทิ้งไปอีกทางหนึ่งในทันที

 

ปุ้ง—!!

 

และก็เป็นที่แน่นอนว่าคริสตัลก้อนใหม่ที่เอริกะเพิ่งจะให้พวกเขาไปนั้นก็ได้ระเบิดออกอีกก้อนหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นต้องหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“คิกคิก ถึงจะยังคว้าน้ำเหลวแต่ก็ยังพยายามกันใหญ่เลยนะ~”

 

“เธอก็พูดอย่างกับว่ากำลังสนุกอยู่งั้นล่ะเอริกะ…”

 

คำพูดด้วยน้ำเสียงที่ออกจะติดตลกของเอริกะได้ทำให้เซซิเรียต้องพูดบ่นออกมาเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้เอริกะอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา

 

“ก็เห็นพวกเด็กๆ เขาตั้งใจกันตั้งขนาดนั้นมันก็อดจะชื่นชมสักหน่อยไม่ได้นั่นแหล่ะ~ ว่าแต่สรุปว่าเดี๋ยวเธอจะให้ฉันลองไปตรวจห้องควบคุมที่แพนเทร่าดูใช่มั้ยน่ะ? แล้วมีอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า”

 

“ก็มีเรื่องเฝ้าระวังทางเข้า—”

 

ซ่าาาาาาาา—

 

“หืม…?”

 

ในขณะที่เซซิเรียกำลังพูดตอบเอริกะกลับมาอยู่นั้นเองอยู่ๆ เสียงของเซซิเรียก็ได้ถูกแทนที่ไปด้วยเสียงซ่าซอกแซกลากยาวเสียดแก้วหูอันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเครื่องมือสื่อสารของพวกเธอดูเหมือนจะถูกรบกวนด้วยอะไรบางอย่างจนทำให้เอริกะต้องผงะไปเล็กน้อยและขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

 

แต่ถึงอย่างนั้นไม่นานสักเท่าไหร่นัก เสียงของสัญญาณรบกวนนั้นก็ได้ค่อยๆ แผ่วเบาลงไปก่อนที่เสียงของเซซิเรียค่อยๆ ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“—แล้วก็เหมือนว่ายัยไคเลอร์จะมีลูกน้องเอาไว้คอยใช้งานแล้วด้วย ถ้าเป็นไปได้เธอก็เฝ้าระวังเอาไว้สักหน่อยก็แล้วกัน… เอริกะ? ยังอยู่หรือเปล่านะ?”

 

ในขณะที่เซซิเรียกำลังพูดตอบเอริกะกลับมาเหมือนกับว่าเธอไม่ได้ยินเสียงคลื่นรบกวนอะไรเลยอยู่นั้นเองเธอก็ได้เงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูดถามเอริกะที่นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนที่เธอจะพูดถามกลับไป

 

“เมื่อกี้นี้เธอไม่ได้ยินเสียงสัญญาณรบกวนเลยหรอเซซิเรีย?”

 

“หะ? มีเสียงอะไรแบบนั้นด้วยหรอ?”

 

“เอ… แปลกแฮะ… ขอเวลาฉันแป๊บนึงนะ”

 

คำตอบของเซซิเรียนั้นได้ทำให้เอริกะแสดงท่าทีแปลกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เธอจะเอาเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวทรงสี่เหลี่ยมสีดำที่ถูกเรียกว่าโทรศัพท์ที่เธอถือมันเอาไว้แนบหูมาส่องดูเล็กน้อยแล้วจึงจิ้มมันไปสองสามทีจนหน้าจอของมันให้มันเรืองแสงออกมาเพื่อตรวจดูข้อมูล

 

“ประหลาดมาก… ตั้งแต่ที่ฉันเอาเสาสัญญาณพวกนั้นไปติดตั้งมันก็ยังไม่เคยมีสัญญาณแทรกซ้อนแบบนี้มาก่อนเลยนะ…”

 

“เป็นเพราะสภาพอากาศหรือความชื้นพวกนั้นหรือเปล่า? เห็นว่ามีเสาบางต้นที่เธอต้องเอาไปตั้งไว้ในป่าด้วยไม่ใช่หรอ?”

 

“จะบ้าหรอ นี่มันตั้งยุคไหนแล้วมันยังจะมีเรื่องความชื้นกัดสายสัญญาณอีกได้ยังไงกันล่ะ ถ้าเกิดว่ามันเปราะบางจนโดนฝนนิดหน่อยก็สัญญาณขาดทีนึงป่านนี้เครือข่ายมันล่มไปตั้งนานแล้ว”

 

“ถ้างั้นก็อาจจะเป็นฝีมือของคนแถวนั้น?”

 

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ เท่าที่ฉันรู้ทั้งทางเมืองรีมินัสทั้งทางเมืองแพนเทร่ายังไม่มีการพัฒนาอุปกรณ์อะไรที่ใช้คลื่นสัญญาณแบบเดียวกับพวกเราเลย”

 

“ถ้าเกิดเธอยืนยันว่ามันไม่ใช่ทั้งสภาพอากาศหรือฝีมือของมนุษย์ของที่นี่ถ้างั้นมันมีความเป็นไปได้หรือเปล่าว่ามันจะเป็นฝีมือของพวกหัวหน้าน่ะ?”

 

“………..”

 

คำพูดของเซซิเรียในคราวนี้ได้ทำให้เอริกะนิ่งเงียบไปราวกับเธอเองก็กำลังคิดว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง ซึ่งการนิ่งเงียบของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้เซซิเรียต้องพูดถามย้ำขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ก่อนหน้านี้เธอเคยบอกว่ามีคนเห็นพวกแฟรี่ไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวเสาส่งสัญญาณด้วยไม่ใช่หรอไง?”

 

“ใช่… เพราะงั้นเรื่องนี้มันอาจจะเป็นเรื่องฉุกเฉินกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ซะแล้วสิ…”

 

“ถ้างั้นเธอจะเอายังไงล่ะ? จะให้ฉันไปจัดการเรื่องเสาส่งสัญญาณให้แทนมั้ย?”

 

“อื้ม….”

 

คำถามของเซซิเรียได้ทำให้เอริกะนิ่งเงียบไปอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ท่าทีเคร่งเครียดของเธอจะผ่อนคลายลงไปและหมุนเก้าอี้กลับไปทางโต๊ะทำงานของเธอพร้อมกับพูดตอบเพื่อนของเธอกลับไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

 

“ไม่ล่ะ เธอเฝ้าที่แพนเทร่าต่อไปนั่นแหล่ะดีแล้ว ส่วนเรื่องเสาส่งสัญญาณนั่นฉันว่าฉันจะยกให้เป็นหน้าที่ของพวกเด็กๆ จากกลุ่มดอว์นน่าจะดีกว่า”

 

“นี่เธอลังเลไม่อยากจะส่งพวกเขามาที่แพนเทร่านี่แต่ว่าดันพูดออกมาว่าจะส่งพวกเขาไปเจอกับพวกแฟรี่ของหัวหน้าโดยตรงเลยเนี่ยนะ? ฉันขอย้ำอีกครั้งนึงนะว่าฉันไม่เข้าใจระบบความคิดในหัวของพวกหน่วยค้นคว้าและวิจัยอย่างพวกเธอเลยสักนิดนึงน่ะ…”

 

“แหม่ เธอเองก็อย่าลืมสิว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะต้องขึ้นไปโลดแล่นบนเวทีสีเลือดที่เต็มไปด้วยความเศร้าที่พวกเราเรียกกันเล่นๆ ว่าโลกใบนี้มันไม่ใช่พวกเราแต่ว่าเป็นเด็กๆ พวกนี้น่ะ… หน้าที่ของพวกเราก็คือการเตรียมพวกเขาให้พร้อมที่สุดก่อนที่พวกเราจะก้าวลงมาจากเวทีเท่านั้นเอง”

 

“…เรื่องนั้นฉันก็เถียงอะไรไม่ได้ล่ะนะ ถ้าคนวางแผนอย่างเธอว่างั้นก็เอาตามนั้นก็แล้วกัน แล้วอีกอย่างนึงถึงเธอจะส่งเด็กๆ พวกนั้นมาที่แพนเทร่านี่พวกเขาก็คงจะทำอะไรยัยไคเลอร์ไม่ได้กันอยู่ดีนั่นล่ะ”

 

“เฮ้อ… ไคเลอร์ ไคเลอร์… ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะได้ยินชื่อของยัยนั่นอีกครั้งนึงแบบนี้เลยนะ…”

 

บทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับไคเลอร์นั้นได้ทำให้เอริกะต้องถอนหายใจออกมาราวกับว่าเธอกับหญิงสาวผมแดงคนนั้นเคยมีประวัติเรื่องอะไรกันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

 

แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็กลับไม่ได้ใช้เวลาในการกลุ้มใจกับเรื่องของไคเลอร์มากนักและหยิบเอาเอกสารแผ่นหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเอกสารของทางโรงเรียนรีมินัสมาขีดเขียนด้วยความรวดเร็วและหยิบมันใส่ซองจดหมายพร้อมกับหยิบเอาตราของทางโรงเรียนขึ้นมาประทับเอาไว้ในขณะที่ทางด้านเซซิเรียเองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน

 

“เออ แล้วก็มีอีกอย่างนึง เมื่อกี้นี้ทีเอร่าเพิ่งจะวิ่งมาบอกฉันว่ามีคนเสียชีวิตด้วยแผลไฟไหม้ตรงอกแบบเดียวกับเมื่อวันก่อนเพิ่มอีกคนนึงแล้ว แล้วคราวนี้ก็มีพยานพบเห็นผู้ชายผมสีน้ำตาลที่น่าจะเป็นคนร้ายอยู่ตรงจุดเกิดเหตุด้วย”

 

“ผู้-ชาย-ผม-สี-น้ำตาล…? โอ๊ย ให้ตายสิ… เอาเถอะ… เรื่องนี้มันเป็นปัญหาภายในกลุ่มของพวกฉันเองน่ะเธอไม่ต้องใส่ใจหรอก ตอนนี้เธอเฝ้าระวังทางลงเมืองใต้ดินกับยัยไคเลอร์ที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นไปก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องพ่อหนุ่มหัวน้ำตาลนั่นเดี๋ยวฉันจะแวะไปจัดการตอนที่ไปดูห้องควบคุมเอง”

 

“ถ้าเธอว่างั้นก็เอาตามนั้นแล้วกัน… เออใช่ ฉันคงจะไม่ต้องเตือนเธอหรอกใช่มั้ยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาเธอก็อย่าเพิ่งสั่งให้นิลิมเขาเดินทางมาที่แพนเทร่านี่น่ะ”

 

ในขณะที่เซซิเรียกำลังพูดเหมือนกับว่าเธอกำลังจะตัดสายการสื่อสารไปแล้วนั้นเอง อยู่ๆ เธอก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วเอ่ยปากพูดเตือนเอริกะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเพื่อนของตนกลับไป

 

“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วน่า เพราะถึงศูนย์วิจัยนั่นจะอยู่ห่างออกไปพอสมควรก็เถอะ แต่ว่าในเมื่ออารอนเขาไม่อยู่แบบนี้ให้ตายยังไงฉันก็ไม่ยอมให้นิลิมเขาไปเหยียบแถวนั้นอยู่แล้วล่ะน่า”

 

“…ถึงมันจะเป็นคนละเหตุผลกันก็เถอะแต่ถ้ามันจะทำให้เธอไม่ส่งนิลิมมานี่ที่ได้งั้นก็โอเคแล้วล่ะ ถ้างั้นก็แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน เอาไว้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะติดต่อไปอีกทีนึงละกัน”

 

ปิ๊บ

 

เซซิเรียที่ได้ยินเหตุผลของเอริกะนั้นได้พูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ราวกับว่าเธอไม่พอใจกับเหตุผลของหญิงสาวนักประดิษฐ์สักเท่าไหร่นักและตัดสายการสื่อสารไปในทันที และนั่นก็ทำให้เอริกะได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะเอนหลังไปกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเหนื่อยใจ

 

“เฮ้อ… เอาเถอะ ทีนี้ก็เหลือแค่ไปยื่นเรื่องกับคุณผู้อำนวยการแล้ว”

 

“เธอจะเอาเอกสารไปยื่นที่โรงเรียนหรอเอริกะ? ให้พวกฉันไปให้แทนมั้ย?”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดพึมพำออกมาอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของนากาดังขึ้นมาจากทางหน้าต่างออฟฟิศของเธอจนทำให้เอริกะต้องหมุนเก้าอี้กลับไปดู

 

และนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับอีฟที่กำลังเกาะขอบหน้าต่างยื่นหน้าเข้ามามองสำรวจภายในอยู่ด้วยดวงตาที่ปิดสนิทของเธอโดยที่ด้านหลังของเด็กสาวนั้นก็ได้มีนากายืนคุมอยู่และที่ด้านหลังของนากาเองก็มีโมโกะยืนเกาะแขนเสื้อของเขาอยู่อีกทีหนึ่งจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องยื่นมือออกไปดึงแก้มของเจ้าหนูอีฟจอมซนที่น่าจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้พวกเด็กๆ มายืนกันอยู่ตรงนี้จนยืด

 

“อะไรกันเนี่ย~ นี่ตัวเล็กแค่นี้ก็กล้ามาแอบฟังพวกพี่ๆ คุยงานกันแล้วงั้นหรอเนี่ยหืม~?”

 

“……!”

 

“อีฟเขาเพิ่งจะฝึกเสร็จก็เลยเดินมาหาเธอเมื่อกี้นี้เองน่ะ”

 

“จ้าๆ ฉันไม่ได้โกรธอะไรอยู่แล้วล่ะ แค่อยากแกล้งเจ้าหนูนี่เล่นแค่นั้นเอง~ แต่ว่าเรื่องเอกสารนี่เดี๋ยวฉันไปเองน่าจะดีกว่านะเพราะว่ามันเป็นเอกสารขอยืมตัวคอนแนลกับซิลเวสเขามาจากคุณผู้อำนวยการจอมหวงน่ะ”

 

“ยืมตัวคอนแนลกับซิลเวสงั้นหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหรือเปล่าน่ะเอริกะ? จะให้พวกฉันไปช่วยด้วยมั้ย?”

 

นากาที่ได้ยินว่าเอริกะมีเรื่องที่จะต้องใช้งานคอนแนลกับซิลเวสที่เป็นเพียงสองคนที่มียูนิตที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วนั้นพอจะเดาออกได้ไม่ยากว่ามันคงจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน และนั่นก็ทำให้เอริกะแทบจะต้องส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะพูดบอกปัดเขาไป

 

“อย่าลืมสิว่าฉันเพิ่งจะสั่งให้เธอกับโมโกะฝึกเจ้าหนูอีฟนี่ให้ใช้วิซแบบเป็นผู้เป็นคนกับเขาให้ได้น่ะ แล้วอีกอย่างนึงโมโกะเองก็ยังไม่ได้รับการรับรองให้เป็นสมาชิกของกลุ่มดอว์นด้วย… แต่ที่สำคัญน่าจะเป็นว่าถ้าเกิดฉันขอยืมตัวนักเรียนมาพร้อมกันตั้งสี่คนมีหวังฉันได้โดนคุณผู้อำนวยการเขาบ่นจนหูชาแน่ๆ ล่ะ”

 

“ง…งั้นหรอ…”

 

นากาที่ได้ยินเอริกะพูดบอกปัดความหวังดีของเขากลับมาอย่างไม่ไยดีนั้นได้มีท่าทีที่ดูสลดลงบ้างเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องรีบพูดขึ้นมา

 

“เอาเป็นว่าถ้าพวกเธออยากจะตามไปที่โรงเรียนด้วยมันก็ได้นั่นแหล่ะ แล้วถ้าเกิดว่าพวกเธอบังเอิญไปเจออลิซเข้าก็ฝากบอกเขาให้หน่อยก็แล้วกันว่าฉันกำลังหาตัวอยู่น่ะ”

 

“ตามตัวอลิซมาให้สินะ เข้าใจแล้วล่ะ”

 

นากาพยักหน้าตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เอริกะจะเดินออกจากห้องออฟฟิศไป และนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับหญิงสาวผมสีขาวที่ดูไร้ซึ่งชีวิตชีวา หรือก็คือหญิงสาวไร้ชื่อที่เคยมีตำแหน่งเป็นเดรคประจำหมู่บ้านของรีซาน่าที่ในขณะนี้กำลังนั่งเหม่อมองหลอดไฟที่ไม่ต้องใช้พลังวิซที่ติดอยู่บนเพดานของห้องนั่งเล่นอยู่นั่นเอง

 

ซึ่งภาพที่เอริกะเห็นนั้นก็ได้ทำให้เอริกะชะงักฝีเท้าของเธอไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะรีบเดินไปหาพวกนากาที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้านและกระซิบบอกพวกเขาขึ้นมา

 

“จะว่าไปไหนๆ พวกเธอก็ว่างอยู่แล้วแบบนี้ฉันขอฝากพวกเธอดูแลเด็กคนนั้นระหว่างที่ฉันไปที่โรงเรียนให้หน่อยสินากาคุง”

 

“เอ๋? มีอะไรต้องให้ดูแลเป็นพิเศษด้วยหรอ? ฉันเห็นเขานั่งอยู่อย่างงั้นมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ”

 

“เขาจะไม่ทำอะไรแบบว่าอยู่ๆ ก็เอาดาบมาฟาดกันใช่หรือเปล่า…?”

 

ในขณะที่ทางด้านนากาพูดถามเอริกะกลับไปด้วยความสงสัยอยู่นั้นเอง ทางด้านโมโกะก็ได้แสดงท่าทีหวาดๆ ออกมาเล็กน้อย เพราะว่าในตอนที่เธอต้องต่อสู้กับพวกผู้ใหญ่บ้านของรีซาน่านั้นเธอได้รีซาน่าคอยช่วยรับมือหญิงสาวคนนี้เอาไว้ให้จนเธอไม่จำเป็นต้องเข้าปะทะกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งท่าทางที่ดูเหมือนว่าจะกำลังหวาดกลัวหรือหวาดระแวงอยู่ของโมโกะนั้นก็ได้ทำให้หญิงสาวผมสีขาวที่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดหันไปมองทางด้านโมโกะเล็กน้อยก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงด้วยท่าทีเหมือนกับรู้สึกผิด และนั่นก็ได้ทำให้เอริกะหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินกลับเข้าไปภายในตัวบ้านเพื่อลูบหัวหญิงสาวผมสีขาวเบาๆ แล้วจึงพูดตอบพวกนากากลับมา

 

“เขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า ถึงจะเห็นเงียบๆ แบบนี้แต่ก็ว่านอนสอนง่ายแถมยังทำอาหารเก่งอีกด้วยนะ~ ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าพวกเธออยู่เฝ้าบ้านให้หน่อยก็แล้วกันนะหรือถ้าพวกเธอไม่สะดวกใจจริงๆ จะกลับไปกันก่อนเลยก็ได้ ส่วนฉันขอรีบไปบอกไดเอน่าจังเขาเรื่องขอยืมตัวพวกคอนแนลคุงก่อนก็แล้วกัน~”

 

“……!”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดออกมาและเดินตรงดิ่งออกจากตัวบ้านไปภายในพริบตาเดียวนั้นเอง ทางด้านอีฟที่เห็นว่าเพื่อนผู้ใหญ่ของเธอกำลังจะเดินจากไปนั้นก็ได้ยกมือขึ้นมาโบกไปโบกมาด้วยท่าทีร่าเริง

 

ซึ่งท่าทีร่าเริงของอีฟนั้นก็ทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะอุ้มตัวเด็กสาวขึ้นมาและพูดบอกเด็กสาวในการปกครองของเขาขึ้นมา

 

“ไม่มีคนคอยคุมแล้วร่าเริงเชียวนะ… แล้วเธอจะเอายังไงล่ะโมโกะ จะกลับไปกันก่อนเลยมั้ย?”

 

“……!!”

 

“หืม? อะไรหรออีฟ จะลงแล้วหรอ?”

 

คำพูดของนากาที่เป็นเชิงถามไถ่โมโกะนั้นได้ทำให้อีฟที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาสะบัดมือตีไปที่แขนของนากาเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าให้เขาปล่อยเธอลงก่อน ซึ่งในทันทีที่ขาของเด็กสาวตัวน้อยสัมผัสกับพื้นนั้นเองเธอก็ไม่รอช้าที่จะวิ่งเตาะแตะเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งนิ่งอยู่ในห้องนั่งเล่นในทันทีจนทำต้องนากาต้องรีบร้องห้ามเอาไว้

 

“อ่ะ–เดี๋ยวก่อนสิอีฟ—”

 

“……..”

 

แต่ถึงแม้ว่าอีฟจะได้ยินเสียงเรียกของนากาแล้วก็ตามแต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อยและวิ่งไปหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของหญิงสาวที่เคยใช้ชื่อว่าเดรคมาก่อนและยืนมองดูอีกฝ่ายอยู่เฉยๆ ด้วยดวงตาที่ยังคงปิดสนิทของเธอโดยไม่ได้มีท่าทีว่าจะทำอะไรเป็นพิเศษ

 

“…….”

 

“…….”

 

ซึ่งเด็กสาวและหญิงสาวผมสีขาวต่างวัยทั้งสองคนก็ได้จ้องมองกันอย่างเงียบๆ อยู่สักพักใหญ่จนโมโกะได้ตัดสินใจที่จะพาตัวเด็กสาวของเธอออกมาห่างจากหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่คนนั้นก่อน

 

“กลับมานี่ก่อนมาอีฟ—”

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่าโมโกะ”

 

“ต…แต่ว่าอีฟเขา…”

 

ในขณะที่โมโกะกำลังจะเรียกให้อีฟเดินกลับมาหาเธออยู่นั้นเอง ทางด้านนากาก็กลับเอ่ยปากพูดห้ามโมโกะเอาไว้ก่อนจนทำให้โมโกะต้องทำสีหน้ากลุ้มใจด้วยความเป็นห่วงในตัวเด็กสาว และนั่นก็ทำให้นากาต้องพูดอธิบายออกมาให้เธอฟัง

 

“ถ้าเกิดว่าเธอคนนั้นเป็นอันตรายล่ะก็เอริกะไม่มีทางปล่อยพวกเราเอาไว้กับเขาตามลำพังหรอกน่า พวกเรามารอดูกันก่อนเถอะว่าอีฟเขาคิดจะทำอะไรน่ะ”

 

“……!”

 

คำพูดของนากาที่กระซิบพูดกับโมโกะนั้นได้ทำให้อีฟหันมามองทางพวกเขาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันกลับไปหาหญิงสาวไร้ชื่อและกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักของอีกฝ่ายเสียเฉยๆ ด้วยท่าทีมีความสุข

 

“…….”

 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้หญิงสาวไร้ชื่อชะงักนิ่งไปสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นไปกอดร่างเล็กๆ ของอีฟบนตักเธอเอาไว้และซุกหน้าของตนลงกับศีรษะของอีฟอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

และนั่นก็ทำให้อีฟที่ถูกสวมกอดเอาไว้นั้นได้ยกมือขึ้นไปลูบหัวของหญิงสาวที่มีอายุมากกว่าไปมาเหมือนกับที่พวกผู้ปกครองของเธอชอบทำเวลาที่พวกเขาพยายามที่จะปลอบใจเธอ

 

ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้นากาตัดสินใจที่จะดึงร่างของโมโกะเข้ามาแนบกายเขาพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“เห็นมั้ยล่ะ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงสักหน่อย”

 

“อื้ม… นั่นสินะ…”