บรื่นนนนนนน—
 

ในช่วงเช้าของวันถัดมานั้นเอง เอริกะที่พักนี้ได้พบสัญญาณรบกวนในระบบการสื่อสารทางไกลของเธอบ่อยครั้งรวมถึงยังได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่ว่ามีผู้คนมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ บริเวณเสาส่งสัญญาณทางตอนเหนือของทวีปอยู่บ่อยๆ ก็ได้ตัดสินใจที่จะส่งคนออกไปตรวจสอบดูตามที่เซซิเรียแนะนำมา

 

ซึ่งเหล่าคนที่เธอเรียกใช้งานนั้นก็ไม่พ้นเด็กนักเรียนจากกลุ่มดอว์นผู้ที่มียูนิตส่วนตัวพร้อมสำหรับใช้งานจริงทั้งสองคนอย่างคอนแนลและซิลเวสบวกกับอาจารย์ทั้งสองท่านที่เธอสามารถเรียกใช้งานได้อย่างสะดวกใจอย่างเช่นเอริซาเบธที่มารับหน้าที่เป็นคนขับรถอีกครั้งหนึ่ง อลิซที่ถูกเรียกตัวมาด้วยเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรผิดพลาดขึ้นมาในระหว่างการทดสอบใช้งานยูนิตจริงของเด็กนักเรียนทั้งสองคน รวมไปถึงพยาบาลสาวมีอาที่เป็นอีกหนึ่งในสมาชิกกลุ่มของเอริกะด้วย

 

ซึ่งในขณะที่อลิซได้สวมใส่ยูนิตรุ่นใหม่ของเธอที่ถูกพัฒนาต่อมาจากยูนิตเชสเชียร์ที่เน้นไปที่ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่อย่างเต็มที่นั้น ทางด้านยูนิตของคอนแนลกลับดูเหมือนกับชุดเกราะส่วนขาของหน่วยอัศวินที่มีเกราะขาติดล้อกับไอพ่นที่เอวเพื่อช่วยในการเคลื่อนที่เสียมากกว่า โดยที่บนไหล่ของเขาก็ได้มีพาร์ทแขนกลติดโล่ที่สามารถขยับไปมาได้อย่างอิสระอีกสองอันเพื่อช่วยเสริมในเรื่องของการป้องกันโดยที่มือทั้งสองข้างของเขาก็ยังสามารถถือดาบและโล่ประจำตัวเพื่อใช้โจมตีได้อย่างไม่ติดขัด

 

และในขณะที่ยูนิตของคอนแนลดูเหมือนจะเน้นไปที่ความสามารถในการป้องกันนั้นเอง ทางด้านสาวน้อยจอมทำลายล้างตัวจิ๋วอย่างซิลเวสที่ใช้ค้อนยักษ์เป็นอาวุธประจำกายก็ได้รับยูนิตที่ดูหน้าตาเหมือนกับชุดเกราะเบาสีดำอันประกอบไปด้วยเกราะตรงส่วนอกและเกราะแขนทั้งสองข้างที่มีแผงวงจรวิซสีเหลืองที่กำลังเรืองแสงอ่อนๆ ออกมาให้เห็นผ่านตามรอยต่อ อีกทั้งบนหลังของเธอก็ยังมีกล่องอุปกรณ์ที่มีลักษณะเหมือนกับกล่องเหล็กถูกสะพายเอาไว้อีกด้วย

 

แต่ถึงแม้ว่ายูนิตของซิลเวสจะดูเหมือนกับชุดเกราะเบาล้ำยุคสำหรับใช้ต่อสู้เป็นอย่างมากก็ตาม พาร์ทตรงส่วนล่างของเธอก็ยังคงมีอุปกรณ์สำหรับการเคลื่อนที่อย่างรองเท้าติดล้อและไอพ่นติดอยู่ที่เอวอยู่เช่นเดียวกับยูนิตทุกรุ่นราวกับว่าพวกมันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับยูนิตทุกอันที่เอริกะคิดจะสร้างขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

 

และในขณะที่เหล่าเด็กๆ ทั้งสองคนกำลังตรวจสอบความพร้อมของยูนิตของตนกันอยู่นั้นเอง ทางด้านอลิซที่สวมใส่ยูนิตที่ดูคล้ายกับยูนิตเชสเชียร์ที่ถูกแทนที่พาร์ทแขนกลติดปืนบนไหล่ด้วยไอพ่นอีกจำนวนหนึ่งและเสริมด้วยเกราะแขนเหล็กลักษณะคล้ายๆ กับยูนิตสำหรับการบินรุ่นทดลองที่ถูกเวก้าขโมยไปใช้ก็ได้เหลือบตาไปมองเทือกเขาที่กั้นขวางเมืองรีมินัสและเมืองแพนเทร่าออกจากกันเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดถามเด็กๆ ทั้งสองคนขึ้นมา

 

“พวกเราใกล้จะถึงเขตอันตรายแล้วนะ พวกเธอพร้อมกันแล้วใช่มั้ย?”

 

“ครับ!”

 

“พร้อมอยู่แล้วล่ะค่ะอาจารย์อลิซ~”

 

“ดีมาก… แล้วอย่าลืมเรื่องข้อจำกัดของยูนิตของตัวเองกันล่ะ คอนแนล นายต้องจำระยะกับองศาการหมุนของแขนกลนั่นให้ดีๆ ส่วนซิลเวส ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ล่ะก็ห้ามคิดที่จะเติมพลังงานในถังสำรองนั่นเด็ดขาดล่ะ ไม่งั้นเธอได้ล้มพับไปอีกรอบแน่”

 

อลิซที่ได้รับคำตอบจากเด็กๆ ทั้งสองคนได้พยักหน้าพร้อมกับพูดย้ำเตือนข้อควรระวังเกี่ยวกับยูนิตของทั้งสองคนขึ้นมาอีกครั้งในขณะที่มือของเธอก็ได้เอื้อมไปหยิบโล่สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ถูกสร้างขึ้นมาจากวัตถุสีใสราวกับกระจกขึ้นมาถือเอาไว้โดยมีเสียงร้องโวยวายเล็กๆ ดังมาจากทางด้านซิลเวส

 

“หนูไม่พลาดเหมือนกันตอนฝึกกับพี่คอนแนลเขาแล้วน่า!”

 

“แต่ถ้ายังไงซิลเวสก็พยายามอย่าวิ่งออกไปไกลมากนักก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมจะตามไปป้องกันให้ไม่ทันน่ะ… ว่าแต่ผมขอถามอะไรก่อนสักหน่อยจะได้มั้ยครับอาจารย์อลิซ?”

 

“คำถามงั้นหรอ? งั้นแป๊บนึงนะ”

 

อลิซที่ได้ยินคำขออนุญาตจากคอนแนลได้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเคาะไปที่กระจกหลังของห้องโดยสารและชะโงกหน้าไปคุยอะไรบางอย่างกับเอริซาเบธที่เปิดกระจกยื่นหน้าออกมาจนทำให้เอริซาเบธชะลอความเร็วของรถกระบะลงไปก่อนที่อลิซจะหันกลับมาหาคอนแนลและพูดถามขึ้นมา

 

“ไหน มีคำถามอะไรสงสัยล่ะ?”

 

“คือแบบว่า… พวกเราต้อง ‘กำจัด’ เป้าหมายให้หมดจริงๆ หรอครับ?”

 

“พี่คอนแนลพูดอะไรออกมาเนี่ย!? คนพวกนั้นมันคือคนพวกเดียวกันกับที่ฆ่าพริมจังเลยนะ!! ถ้าพี่คอนแนลไม่ทำล่ะก็เดี๋ยวหนูจะทุบพวกมันให้ไม่เหลือซากเอง!!”

 

คำถามของคอนแนลที่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ นั้นได้ทำให้ซิลเวสหันไปจ้องมองเขาด้วยท่าทีโกรธเคืองและตวาดขึ้นมาเสียงดัง และนั่นก็ทำให้อลิซต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดห้ามปรามออกมา

 

“หยุดเลยนะซิลเวส ฉันเข้าใจว่ามันเป็นเพราะเรื่องของพรีมูล่าเธอถึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มดอว์น แต่มันไม่ใช่ว่าเพื่อนๆ ของพรีมูล่าคนอื่นๆ เขาจะแค้นคนพวกนั้นถึงขั้นอยากจะทุบให้ไม่เหลือซากแบบเธอหรอกนะ”

 

“ขอโทษค่ะ…”

 

ซิลเวสที่ถูกอลิซพูดต่อว่าขึ้นมานั้นได้ก้มหน้าลงไปด้วยท่าทีหงอยๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงไม่วายแอบเหลือบมองไปทางคอนแนลด้วยท่าทีขุ่นเคืองอยู่ดี และนั่นก็ทำให้อลิซเองต้องหันกลับไปหาคอนแนลและพูดถามเพิ่มเติมขึ้นมาด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน

 

เพราะว่าถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้ว ในหมู่เพื่อนใหม่ในเมืองรีมินัสของพรีมูล่านั้นเธอค่อนข้างจะสนิทกับคอนแนลมากที่สุดอีกทั้งตัวคอนแนลเองก็ยังแทบจะทำตัวเป็นเหมือนกับพี่ชายอีกคนหนึ่งของพรีมูล่าเลยซะด้วยซ้ำ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตัวคอนแนลเองก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะโกรธเกลียดพรรคพวกของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมถึงขั้นจะทนอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เหมือนกับคนอื่นๆ อย่างนากา ซิลเวส หรือว่าโมโกะเลยแม้แต่น้อย

 

“แล้วทำไมนายถึงถามอย่างนั้นล่ะคอนแนล? เอริกะก็บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าพวกคนในเป้าหมายคราวนี้คือคนกลุ่มเดียวกับที่ก่อเรื่องในวันนั้นแน่ๆ น่ะ”

 

“ทั้งสองคนอย่าเข้าใจผิดว่าผมไม่ได้โกรธเรื่องพรีมูล่าแบบนั้นสิครับ… แค่ว่าพอผมนึกถึงเรื่องผู้ชายคนนั้นขึ้นมาแล้วมันก็…”

 

“ผู้ชายคนนั้น… หมายถึงผู้ชายหูแมวผมสีม่วงคนที่ระเบิดตัวเองที่หน้าประตูเมืองในรายงานนั่นงั้นสินะ”

 

“ครับ… ผู้ชายคนนั้นเขาดูเป็นมิตรมากเลยนะครับ อย่างน้อยๆ ก็จนถึงตอนก่อนที่เขาจะรู้ว่าพวกผมเป็นนักเรียนจากกลุ่มดอว์นน่ะครับ… แล้วตอนก่อนที่เขาจะระเบิดตัวเองไปเขาก็ดูเหมือนกับคนที่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ แถมยังให้เวลาพวกผมวิ่งหนีไปโดยไม่มีท่าทีว่าจะวิ่งตามมาอีกต่างหาก… ผมเลยแอบคิดว่าที่จริงแล้วเขาอาจจะโดนบังคับหรือมีเหตุผลอื่นให้ทำแบบนั้นก็ได้ แล้วถ้าเกิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ พวกเราก็อาจจะมีโอกาสช่วยเขาเอาไว้ได้ก็ได้น่ะครับ”

 

คอนแนลที่ได้ยินคำถามของอลิซได้ใช้โอกาสนี้เพื่อพูดถึงสิ่งที่ติดใจเขามาได้สักพักใหญ่แล้วออกมา ซึ่งนั่นก็ทำให้ซิลเวสที่รู้ถึงนิสัยชอบมองผู้คนในแง่ดีของคอนแนลเลิกถลึงตาใส่เขาในขณะที่ทางด้านอลิซนั้นก็ได้พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับไป

 

“ถ้าเกิดว่ามันจะไม่ทำให้ตัวนายเองหรือว่าเพื่อนของนายเดือดร้อนล่ะก็นายจะลองคุยกับพวกเขาดูก่อนก็ได้… แต่ถ้าเกิดว่าศัตรูที่นายเจอเป็นพวกคนในชุดเกราะเหมือนกับลูกน้องของคนคนนั้นล่ะก็ นายก็น่าจะรู้นะว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะลองคุยดูน่ะ”

 

“ครับ… ถ้าเกิดว่าเป็นพวกคนในชุดเกราะแบบที่เป็นลูกน้องของผู้ชายคนนั้นล่ะก็ผมก็ไม่มั่นใจว่าพวกเขาเป็นมนุษย์หรือเปล่าเหมือนกัน… ขนาดพวกเขาโดนเนลระเบิดใส่จังๆ ก็ยังไม่ร้องสักนิดเลยนะครับ…”

 

คอนแนลที่นึกไปถึงเหล่าทหารในชุดเกราะที่เป็นลูกน้องของชายหูแมวผมสีม่วงที่เขาเคยได้ต่อสู้มาก่อนนั้นได้พูดตอบอลิซกลับไปเบาๆ เพราะไม่ว่าเมื่อตอนนั้นเขากับเนลจะโจมตีเข้าใส่ทหารพวกนั้นจนแขนขาหักงอผิดรูปหรือเกิดไฟลุกท่วมร่างกายไปแล้ว แต่ว่าทหารพวกนั้นก็ยังคงยันตัวเองลุกขึ้นมาสู้ต่อได้ราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตซะด้วยซ้ำ ซึ่งคำพูดของคอนแนลนั้นก็ได้ทำให้อลิซหลุดเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา

 

“หึ… อย่าว่าแต่รู้สึกเจ็บเลย ความรู้สึกอื่นๆ เจ้าพวกนั้นก็ยังไม่มีกันเลยซะด้วยซ้ำล่ะมั้ง”

 

“อ–อาจารย์อลิซหมายความว่ายังไงน่ะครับ…?”

 

คำพูดที่ฟังดูเหมือนกับว่าอลิซเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างนั้นได้ทำให้คอนแนลต้องพูดถามกลับไปเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอลิซก็กลับทำเพียงแค่ยักไหล่กลับมาให้เด็กหนุ่มและพูดให้คำแนะนำเขากลับมาเพียงเท่านั้น

 

“เอาไว้พอถึงเวลาแล้วฉันจะอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ถ้าเกิดว่านายอยากปกป้องคนอื่นเอาไว้ให้ได้จริงๆ ล่ะก็นายอย่ามองเจ้าพวกนั้นเป็นมนุษย์จะดีกว่านะ เพราะเจ้าพวกนั้นก็ไม่ได้มองพวกนายเป็นมนุษย์แต่ว่ามองเป็นเป้าหมายที่ถูกสั่งให้มากำจัดเหมือนกัน”

 

“ถึงอาจารย์อลิซไม่บอกหนูก็มองแบบนั้นอยู่แล้วแหล่ะค่ะ”

 

ในขณะที่คอนแนลได้แต่นิ่งเงียบให้กับคำแนะนำของอลิซนั้นเอง ทางด้านซิลเวสก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงเคาะกระจกดังมาจากทางด้านห้องโดยสารเบื้องหน้าเรียกความสนใจจากทุกคนไปและตามมาด้วยเสียงของเอริซาเบธที่เพียงฟังดูก็รู้ว่าเธอแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก—

 

“เอ… ฉันเองก็ไม่อยากจะขัดหรอกนะคะอาจารย์อลิซ แต่ถ้าเกิดว่ายังคุยกันไม่จบล่ะก็พวกเราคงจะต้องเริ่มขับถอยหลังกันแล้วล่ะค่ะ~”

 

“ก็อย่างที่เอริซาเบธเขาว่ามานั่นแหล่ะ เป้าหมายของพวกเธอคือการกำจัดศัตรูที่อยู่ใกล้เขตภารกิจและปกป้องเสาสัญญาณของเอริกะที่อยู่ตรงกลางเอาไว้ให้ได้ จำนวนของศัตรูที่ตรวจพบมีอยู่อย่างต่ำสี่คนและเป็นคนประเภทเดียวกับพวกคนในชุดเกราะที่บุกโจมตีเมืองต่างๆ ทั้งหมด ระหว่างภารกิจเอริซาเบธจะเป็นคนประสานงานกับสั่งการต่างๆ เอง มีคำถามอะไรมั้ย?”

 

“ไม่มีครับ! / หนูพร้อมที่จะลุยมานานแล้วค่ะ!!”

 

“ดีมาก ถ้างั้นก็เริ่มภารกิจได้!!”

 

วี้— ฟู่มมม!!

 

ในทันทีที่สิ้นเสียงตอบรับของเด็กนักเรียนทั้งสองคนนั้นเอง ไอพ่นของยูนิตที่พวกเขาสวมใส่เอาไว้ก็ได้เรืองแสงขึ้นก่อนที่พวกมันจะพ่นไอร้อนออกมาจนเกิดแรงผลักดันให้ทั้งคอนแนลและซิลเวสพุ่งตัวออกไปจากหลังรถกระบะพร้อมๆ กัน

 

ซึ่งทั้งสองคนก็ได้พลิกตัวลงไปตั้งหลักบนพื้นด้วยท่าทีทะมัดทะแมงก่อนที่พวกเขาจะใช้ล้อที่ถูกติดเอาไว้ใต้พื้นรองเท้าพุ่งไถลไปตามพื้นหายไปในแนวต้นไม้อย่างรวดเร็ว

 

และนั่นก็ทำให้เอริซาเบธที่ยังคงยื่นหัวออกมานอกตัวรถอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำออกมาเบาๆ

 

“ถึงยูนิต ฮอปล่อน ของคอนแนลคุงกับยูนิต ลูเซิร์น ของซิลเวสจังจะถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับวิธีการต่อสู้ของเจ้าตัวแล้วก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าเจอศัตรูระดับแฟรี่เข้าไปก็คงจะไม่ไหวอยู่ดีล่ะมั้งนะ”

 

“ก็เพราะแบบนั้นพวกเราถึงต้องมาด้วยยังไงล่ะ ว่าแต่ในเมื่อเอริกะตั้งชื่อธรรมดาๆ ให้ยูนิตของสองคนนั้นได้แล้วทำไมยูนิตของฉันมันถึงมีชื่อประหลาดๆ อยู่คนเดียวกันหะ?”

 

“ยูนิตแฮตเตอร์ ของเธอน่ะหรอ? เห็นคุณเอริกะเขาบอกว่ามันฟังดูเข้าคู่กับชื่อของเธอดีหรือว่าอะไรเนี่ยแหล่ะ”

 

“ให้ตายสิ…”

 

อลิซที่ได้ยินคำตอบของเอริซาเบธได้พูดบ่นออกมาเบาๆ เพราะดูท่าทางแล้วว่าทั้งชื่อ เชสเชียร์ อันเป็นยูนิตอันเก่าและชื่อ แฮตเตอร์ ของยูนิตใหม่ของเธอก็คงจะมาจากมุกตลกร้ายของเอริกะที่คิดว่ามันคงจะตลกดีแล้วแน่ๆ

 

 

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ

 

หลังจากที่คอนแนลและซิลเวสพุ่งตัวออกมาจากรถกระบะหายเข้าไปข้างในป่าได้ไม่นานสักเท่าไหร่นัก เครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่พวกเขาสวมใส่เอาไว้ก็ได้ส่งเสียงสัญญาณเบาๆ ออกมาก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของเอริซาเบธดังขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องรอให้พวกเขากดรับสายการสื่อสารก่อน

 

“ฮัลโหล่ๆ นักเรียนที่น่ารักทั้งสองได้ยินเสียงอันไพเราะของอาจารย์คนนี้หรือเปล่าจ๊ะ~?”

 

“อ่ะ— ได้ยินครับอาจารย์เอริ”

 

“เสียงชัดแจ๋วเลยค่ะ~”

 

คำพูดยียวนได้ในทุกสถานการณ์ของเอริซาเบธนั้นได้ถูกเด็กนักเรียนทั้งสองคนของเธอทำเป็นเมินไปอย่างสิ้นเชิงและนั่นก็ทำให้เอริซาเบธต้องพูดเข้าเรื่องในทันที

 

“ดีล่ะๆ ถ้างั้นภารกิจในครั้งเดี๋ยวฉันจะช่วยเป็นโอเปอเรเตอร์ให้พวกเธอเองก็แล้วกันนะ~”

 

“เอ๋? มันคืออะไรกันล่ะคะนั่น?”

 

“อาจารย์เอริเขาหมายถึงว่าจะเป็นผู้ช่วยในการทำภารกิจ อย่างเป็นคนสั่งงาน ให้คำแนะนำ แจกจ่ายข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นหรือไม่ก็เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับทีมอื่นๆ ให้อะไรประมาณนั้นน่ะครับ แต่ว่าเรามากันแค่ทีมเดียวแบบนี้มันจำเป็นจะต้องมีโอเปอเรเตอร์ด้วยหรอครับอาจารย์เอริ?”

 

“ก็จำเป็นน่ะสิ~ อีกอย่างนึงนอกจากจะคอยให้ข้อมูลแล้วอาจารย์เอริยังสามารถช่วยผู้ใช้ยูนิตมือใหม่อย่างพวกเธอสั่งการระบบต่างๆ ของยูนิตที่พวกเธออาจจะลืมใช้งานให้แทนได้ด้วยนะ”

 

เอริซาเบธพูดอธิบายหน้าที่ของเธอขึ้นมาเพิ่มเติมก่อนที่เธอจะเริ่มต้นทำหน้าที่อย่างการแจกจ่ายข้อมูลในทันที

 

“สำหรับเรื่องอื่นเดี๋ยวเอาไว้ค่อยอธิบายอีกทีนึงก็แล้วกันนะ สำหรับตอนนี้พวกเธอน่าจะเห็นเสาส่งสัญญาณอยู่ที่ด้านหน้าแล้วหรือเปล่าเอ่ย?”

 

“เอ… ตรงนี้มันมีต้นไม้บังอยู่อ่ะ… เดี๋ยวหนูขึ้นไปดูข้างบนต้นไม้ให้ก็แล้วกัน พี่คอนแนลนำไปก่อนได้เลย”

 

ซิลเวสที่ได้ยินคำพูดของเอริซาเบธได้เงยหน้าขึ้นไปดูหนทางเบื้องหน้าและได้พบเข้ากับแมกไม้จำนวนมากที่บดบังทัศนวิสัยแทบจะทั้งหมดไป และนั่นก็ทำให้เธอตัดสินใจที่จะใช้ไอพ่นที่ติดอยู่กับยูนิตของเธอพุ่งตัวขึ้นเหนือยอดไม้เบื้องบนแทน

 

ฟู่วววว—ซู่มมมม!

 

“อ่ะ เห็นแล้วค่ะ! พี่คอนแนลตรงไปตามแนวเดิมได้เลย!”

 

“รับทราบครับ!”

 

คอนแนลที่ได้ยินเสียงร้องของซิลเวสนั้นได้พูดตอบรับกลับไปและเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เขาชะลอตัวลงเล็กน้อยเพื่อรอสาวน้อยร่างเล็ก ในขณะที่ทางด้านซิลเวสที่พุ่งตัวขึ้นไปด้านบนนั้นก็กำลังค่อยๆ ลดระดับความสูงลงมากับพื้นอย่างช้าๆ เนื่องจากว่าเด็กสาวได้ใช้ไอพ่นของยูนิตของเธอในการพยุงตัวเองเอาไว้ให้ลอยตัวอยู่กลางอากาศจนทำให้เอริซาเบธที่คอยดูข้อมูลอยู่ที่รถกระบะต้องพูดเตือนเด็กสาวผู้ที่มีวิซธาตุดินที่ไม่เคยบินหรือร่อนบนท้องฟ้าเหมือนกับพวกคนที่มีวิซธาตุลมขึ้นมาผ่านทางสายการสื่อสาร

 

“ระวังหน่อยนะซิลเวส ยูนิตของเธอมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้ร่อนไปมาแบบนั้นหรอกนะ ตอนนี้พลังวิซในถังพลังงานสำรองมันเริ่มจะลดลงแล้วนะ”

 

“เข้าใจแล้วค่า~ อ่ะ– เจอศัตรูอยู่ข้างหน้าแล้วค่ะพี่คอนแนล!!”

 

“ได้ยินแล้วครับ ถ้ายังไงซิลเวสรีบลงมาข้างล่างนี่ก่อนเถอะครับ!”

 

“ไหนๆ ถ้าจะต้องลงแล้ว… จากตรงนี้หนูพุ่งไปถึงตรงนั้นเลยได้มั้ยอ่ะอาจารย์เอริ?”

 

“ด–เดี๋ยวสิครับ!?”

 

คำพูดในคราวนี้ของซิลเวสนั้นได้ทำให้คอนแนลสะดุ้งไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เขาจะทันได้พูดห้ามปรามอะไรออกมา ก็กลับมีเสียงของเอริซาเบธดังขึ้นมาจากเครื่องมือสื่อสารเข้าเสียก่อน

 

“เอ… ไหนๆ อื้ม… ก็ถ้าเกิดว่าเธอยอมใช้พลังงานสำรองไปสักครึ่งถังก็น่าจะไปถึงได้พอดีนะ แต่ว่าตอนลงพื้นน่าจะเจ็บน่าดูเลย เธอจะเอาจริงๆ หรอซิลจัง?”

 

“เดี๋ยวสิครับอาจารย์เอริ!”

 

“แค่เจ็บหน่อยเดียวแถมพลังงานก็ยังเหลืออีกตั้งครึ่งนึง จัดเลยค่ะอาจารย์เอริ! พี่คอนแนลเองก็รีบๆ ตามมาล่ะ!”

 

“เอ่อ… สรุปว่าตรงนี้ผมไม่มีสิทธิออกความเห็นเลยใช่มั้ยครับเนี่ย?”

 

กริ๊ก–ฟู่ววววว—

 

ในขณะที่คอนแนลกำลังพูดบ่นออกมาเบาๆ อยู่นั้นเอง ตัวไอพ่นของซิลเวสก็ได้ขยับเปลี่ยนองศาเล็กน้อยก่อนที่มันจะพ่นไอร้อนออกมาอย่างแรงด้วยฝีมือของเอริซาเบธที่ใช้สิทธิในการควบคุมยูนิตทางไกลตามที่เธอคำนวณเอาไว้จนทำให้ร่างของซิลเวสที่แต่เดิมกำลังค่อยๆ ร่อนกลับลงมาสู่พื้นดินพุ่งสูงขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้งโดยที่เด็กสาวผู้เป็นเจ้าของยูนิตก็ได้ง้างค้อนยักษ์ในมือของเธอขึ้นสูงเหนือหัวเพื่อเตรียมใช้งานด้วยเช่นเดียวกัน

 

และเมื่อร่างเล็กๆ ของซิลเวสพุ่งเข้าไปใกล้เป้าหมายแล้วนั้นเอง เธอก็ได้พบเข้ากับกลุ่มทหารในชุดเกราะปิดหน้าปิดตาสี่คนที่กำลังเดินตรงเข้าไปทางเสาส่งสัญญาณอยู่ด้วยท่าทีที่ดูเป็นระเบียบเกินเหตุจนน่าขนลุก และนั่นก็ทำให้ซิลเวสไม่รอช้าที่จะเล็งเป้าไปที่นายทหารคนที่อยู่ตรงกลางในทันที

 

“เสร็จหนูล่ะ! ย๊าาาาา!!”

 

ฟ๊าวววววว—

 

“……”

 

เสียงร้องของซิลเวสและเสียงแหวกอากาศของเด็กสาวนั้นได้ทำให้เหล่าชายในชุดเกราะรู้สึกตัว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นตระหนกหรือว่าเอ่ยปากพูดอะไรเลยแม้แต่น้อยและพากันกระโดดหลบออกไปกันคนละทาง

 

แต่ถึงอย่างนั้นนายทหารที่ตกเป็นเป้าหมายของซิลเวสก็กลับไม่ได้โชคดีขนาดนั้น เมื่อค้อนของซิลเวสที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงได้ถูกฟาดเข้าใส่ร่างกายท่อนล่างของเขาจังๆ และบดร่างของเขาไปกับพื้นจนเกิดเสียงกระแทกดังลั่นดังขึ้นมา

 

ตู้ม–!!!

 

“……….”

 

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ซิลเวสและเอริซาเบธที่กำลังเฝ้าดูอยู่ผ่านตัวกล้องที่ถูกติดตั้งเอาไว้กับยูนิตรู้สึกประหลาดใจก็กลับเป็นการที่ร่างที่ยังคงเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งของนายทหารผู้ที่ตกเป็นเป้าการโจมตีนั้นกลับไม่ได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาเลยแม้แต่น้อยและคว้าเอาดาบและโล่ของเขาขึ้นมาถือเอาไว้เพื่อที่จะได้เริ่มต้นต่อสู้เสียอย่างนั้นจนทำให้เอริซาเบธอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา

 

“หูย… โดนเข้าไปขนาดนั้นแล้วยังคิดจะสู้ต่ออีกหรอเนี่ย เจ้าพวกนี้นี่มันผิดธรรมชาติอย่างที่อลิซบอกมาจริงๆ ด้วยแฮะ… แต่ทั้งตัวเหลืออยู่แค่นั้นไม่น่าจะทำอะไรได้แล้วล่ะ เธอไปจัดการคนอื่นต่อได้เลยซิลจัง”

 

“……”

 

“ซิลจัง?”

 

คำพูดของเอริซาเบธที่ไร้ซึ่งการตอบรับของซิลเวสนั้นได้ทำให้เอริซาเบธต้องพูดถามซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านซิลเวสที่ในตอนแรกได้ยินว่าการพุ่งเข้ามาถึงตัวศัตรูเลยแบบนี้มันอาจจะทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยนั้นก็กลับกำลังยืนหน้าซีดอยู่เมื่อความรู้สึกเจ็บที่เธอรู้สึกนั้นมันเกินกว่าคำว่าเล็กน้อยไปมาก

 

“ม…มันเจ็บไปทั้งตัวเลยอ่ะอาจารย์เอริ…”

 

“แหม่ ฉันก็เตือนไปแล้วนี่ว่ามันอาจจะเจ็บนิดหน่อยน่ะ ถึงตัวยูนิตมันจะช่วยลดแรงกระแทกลงบ้างแล้วก็เถอะ แต่ว่าความเร็วขนาดนั้นมันก็เอาไม่อยู่หรอก~ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนเป็นโหมดเสริมกำลังให้ก็แล้วกันนะ แต่ว่าเธอก็เตรียมนับถอยหลังรอพลังงานหมดได้เลย… ส่วนคอนแนลคุง รีบเข้าไปคุ้มกันซิลเวสจังก่อนเร็วเข้า”

 

“ผมก็พยายามเตือนแล้วแท้ๆ นะครับ!!”

 

คอนแนลที่ได้ยินคำสั่งของเอริซาเบธได้พูดบ่นกลับไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเร่งความเร็วในการเคลื่อนที่ให้มากขึ้น โดยมีเสียงของซิลเวสดังขึ้นมาตามสายการสื่อสารด้วยน้ำเสียงราวกับจะร้องไห้

 

“เจ็บอ้ะ… เจ็บไปทั้งตัวเลยอ่ะ… พี่คอนแนลรีบๆ มาหน่อยสิ อีกสามคนที่เหลือเขาทำท่าจะเข้ามาฟันหนูแล้วอ่ะ…”

 

“ซิลเวสอดทนไว้ก่อนนะครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!”

 

“อื้อ…”

 

ซิลเวสพูดตอบคอนแนลกลับไปในขณะที่แสงสีเหลืองที่เล็ดลอดออกมาจากตามรอยต่อของยูนิตของเธอจะวูบดับลงไปชั่วขณะแล้วจึงค่อยๆ เรืองแสงออกมาอีกครั้งหนึ่งโดยที่ตัวเจ้าของยูนิตอย่างซิลเวสนั้นก็ยังคงยืนนิ่งไม่กล้าขยับตัวเนื่องจากความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาในทุกครั้งที่เธอพยายามจะขยับ

 

ส่วนทางด้านนายทหารในชุดเกราะอีกสามคนที่เหลือที่กระโดดหลบไปกันคนละทิศคนละทางเมื่อสักครู่นี้นั้นก็เหมือนจะเริ่มที่จะทำการตอบโต้กลับมาบ้างแล้ว เมื่อหนึ่งในกลุ่มของพวกเขาได้ชักดาบสองมือขึ้นมาถือเอาไว้และค่อยๆ เดินตรงเข้าไปหาซิลเวสพร้อมกับง้างดาบขึ้นมา

 

ซู่มมมมม—เอี๊ยดดดดด— เคร๊ง!!

 

แต่แล้วในขณะที่ทหารในชุดเกราะนายนั้นกำลังพยายามที่จะฟาดดาบสองมือของเขาเข้าใส่ซิลเวสนั้นเอง คอนแนลที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังเมื่อสักครู่นี้ก็ได้พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วและใช้โล่ที่ถูกติดเอาไว้บนแขนกลทั้งสองข้างของเขาเข้ารับการโจมตีเอาไว้พร้อมกับพูดถามซิลเวสขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

 

“ซิลเวสเป็นยังไงบ้างครับ!?”

 

“ก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้วอ่ะพี่คอนแนล อีกแป๊บนึงก็น่าจะขยับตัวได้แล้วล่ะ”

 

ซิลเวสที่ถูกพูดถามขึ้นมาได้พูดตอบคอนแนลกลับไปพร้อมๆ กับที่แสงสีเหลืองตามรอยต่อของยูนิตของเธอจะค่อยๆ ส่องแสงสว่างขึ้นมากเรื่อยๆ

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนายทหารอีกสองคนที่เหลือนั้นก็กลับไม่รอให้การเตรียมการของพวกเด็กๆ เสร็จสิ้นและพุ่งหอกยาวในมือที่พวกเขาถือเอาไว้เข้าใส่คอนแนลและซิลเวสในทันที

 

ฟุ๊บ—ฟุ๊บ—

 

แต่ทว่าก่อนที่หอกทั้งสองเล่มจะได้พุ่งเข้าใส่พวกเขานั้นเอง คอนแนลก็ได้สั่งให้แขนกลติดโล่ของเขาผลักดาบสองมือของนายทหารคนที่เขายันเอาไว้ในทีแรกให้กระเด็นออกไปและสะบัดมันเข้าปัดป้องการโจมตีด้วยหอกของนายทหารอีกสองคนแทน

 

เคร๊ง!!

 

แรงกระแทกที่เกิดขึ้นนั้นได้ทำให้หอกของทหารทั้งสองคนสะบัดกันไปคนละทิศละทาง
ในขณะที่ทางด้านตัวคอนแนลเองก็ได้ยกโล่อัศวินประจำตัวของเขาขึ้นมาตั้งเอาไว้พร้อมกับอัดพลังวิซของเขาเข้าใส่มันจนทำให้เกิดไอน้ำประกายระยิบระยับขึ้นมาปกคลุมโล่ของเขาเอาไว้

 

ซึ่งคอนแนลก็ได้ใช้มันเข้ารับดาบสองมือของนายทหารคนแรกที่พุ่งกลับเข้ามาโจมตีเขาอีกครั้งหนึ่งเอาไว้จนทำให้เกิดแรงระเบิดกระแทกสวนกลับไปอย่างรุนแรงอันเป็นท่าระเบิดไอน้ำแบบที่เขาเคยใช้ในการสอบกับซิลเวสนั่นเอง

 

เคร๊ง—ตู้ม!!

 

“จังหวะนี้ล่ะ…”

 

แรงระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นถึงกับทำให้ดาบสองมือของนายทหารเบื้องหน้าสะบัดขึ้นสูงเปิดช่องว่างให้คอนแนลสามารถโจมตีได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่มือของเขาจะได้สะบัดดาบอัศวินออกไปเข้าใส่ร่างเบื้องหน้าดาบของเขาก็กลับชะงักไปเสียก่อนด้วยความลังเล หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งมีคำพูดของอลิซดังขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง

 

นายอย่ามองเจ้าพวกนั้นเป็นมนุษย์จะดีกว่านะ เพราะเจ้าพวกนั้นก็ไม่ได้มองพวกนายเป็นมนุษย์ แต่ว่ามองเป็นเป้าหมายที่ถูกสั่งให้มากำจัดเหมือนกัน

 

“…….”

 

เสียงของอลิซที่ดังย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขานั้นได้ทำให้คอนแนลเหลือบตาไปมองนายทหารคนที่ถูกค้อนยักษ์ของซิลเวสทุบเข้าไปจนเหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งร่างแต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเจ็บปวดหรือว่าสนใจบาดแผลของตัวเองเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังถือดาบกับโล่เตรียมพร้อมเอาไว้ในมือราวกับว่าพร้อมที่จะต่อสู้กับพวกเขาอยู่อีกด้วย

 

สวบ!!

 

ซึ่งภาพที่เห็นนั้นก็ได้ทำให้คอนแนลตัดสินใจได้และพุ่งดาบของเขาเสียบเข้าใส่กลางลำตัวของทหารคนที่ถือดาบสองมือจนทะลุและสะบัดดาบออกไปทางด้านข้างจนเกิดบาดแผลขนาดใหญ่ขึ้นที่กลางลำตัวและล้มลงไปกองอยู่กับพื้นโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

“……..”

 

“ย๊าาาาาา!!”

 

โคร๊ม—

 

ในชั่วขณะที่คอนแนลเพิ่งจะจัดการนายทหารไปได้คนหนึ่งนั้งเอง ก็ได้มีเสียงกู่ร้องของซิลเวสดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่เด็กสาวที่เพิ่งจะกลับมาขยับตัวได้ได้เหวี่ยงค้อนยักษ์ในมือเข้าใส่หนึ่งในทหารที่ใช้หอกเป็นอาวุธจนกระเด็นออกไปไกลจนทำให้คอนแนลตัดสินใจที่จะรีบเข้าไปช่วยเหลือเด็กสาวรับมือทหารอีกคนหนึ่งที่เหลืออยู่

 

โคร๊ม—

 

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นสักเท่าไหร่นัก เมื่อซิลเวสได้ใช้แรงเฉื่อยจากการเหวี่ยงค้อนของเธอหมุนตัวหวดมันเข้าใส่นายทหารอีกคนอย่างต่อเนื่องกันจนอีกฝ่ายกระเด็นออกไปอีกทาง

 

ซึ่งในขณะที่คอนแนลกำลังกะพริบตามองดูสถานการณ์อยู่นั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแสงสว่างจุดหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะกำลังพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาเข้า และนั่นก็ทำให้คอนแนลต้องรีบติดต่อไปหาเอริซาเบธตามที่เคยถูกบอกเอาไว้ในทันที

 

“อาจารย์เอริ! ผมเห็นแสงอะไรบางอย่างกำลังพุ่งตรงมาครับ!!”

 

“หืม? ไหนๆ เอ… ปีกแสงสีแดงสองคนที่ถือปืนยาวกับสีส้มอีกหนึ่งที่ถือบ้องอะไรสักอย่างมาด้วย… น่าจะเป็นกำลังเสริมของศัตรูแบบที่คุณเอริกะบอกเอาไว้แน่ๆ แล้วแหล่ะจ้ะ~”

 

เอริซาเบธที่ใช้กล้องที่ถูกติดเอาไว้กับตัวยูนิตในการขยายภาพระยะไกลดูนั้นได้พูดตอบคอนแนลกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะไม่กังวลใจอะไรเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้คอนแนลต้องพูดถามกลับไปด้วยความร้อนใจ

 

“แล้วถ้าพวกเขาถือปืนแถมยังบินกันได้แบบนั้นพวกผมจะสู้ยังไงล่ะครับ!? พวกผมไม่มีอาวุธระยะไกลกันเลยนะครับ!!”

 

ปิ๊บ–

 

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงโวยวายของคอนแนลดี อยู่ๆ เครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่เขาสวมใส่เอาไว้ก็ได้ส่งเสียงสัญญาณขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงนิ่งๆ ของอลิซดังขึ้นมาให้พวกเขาได้ยิน

 

“ก็เพราะว่าเจ้าพวกนั้นมันเป็นหน้าที่ของฉันยังไงล่ะ”