ตอนที่ 38 ชายชราลึกลับ

หลังจากตกลงกันเรียบร้อย พวกเขาจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้งด้วยการขี่หมาป่าสีเทา แต่ดูเหมือนมันไม่เป็นธรรมชาติเหมือนก่อนหน้านี้ หากหยางเย่ไม่กล่าวคำใด สตรีชุดขาวก็ไม่กล่าวคำใดเช่นกัน มันทำให้หยางเย่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับเรื่องนี้

สิ่งที่ควรจะนึกถึงมากที่สุดเวลานี้คือ การบ่มเพาะพลังของหยางเย่ที่สูงขึ้นอีกหนึ่งระดับแล้ว เขาได้เข้าสู่ระดับแปดขั้นปราณมนุษย์ เหตุที่เขาบรรลุอย่างฉับพลันอาจเป็นเพราะผลของผลไม้แห่งการสมรส แต่ก็ยังไม่อาจมั่นใจเท่าไหร่ เขาต้องการจะถามสตรีชุดขาว แต่ก็เกรงว่าจะทำให้บรรยากาศเขินอายระหว่างทั้งสองกลับมาอีก ดังนั้นจึงทำได้เพียงเก็บคำถามนี้ไว้ในใจ

ทั้งสองเดินทางกว่าสองชั่วยาม ลัดเลาะผ่านภูเขาขนาดเล็ก จนกระทั่งมาถึงใหญ่ ที่อยู่ตรงหน้าคือภูเขาตั้งตระหง่าน มันสูงเสียดเมฆ มองตามไปจากบนพื้นแทบไม่อาจพบเห็นยอดเขาได้

“มีบ้านคนอยู่ทางนั้น!” ทันใดนั้นเองหยางเย่มองไปที่ตีนเขาพร้อมชี้ไปที่กระท่อม เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

นางขมวดคิ้วเมื่อมองไปยังกระท่อม แต่ก็ไม่ได้ห้ามหยางเย่ให้ไปที่แห่งนั้น ถึงแม้นางรู้สึกบางอย่างไม่ปกติ พวกเขาก็ไม่ทางอื่นแล้วที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้

พวกเขาทั้งสองมาถึงยังกระท่อม ทันใดนั้นประตูกระท่อมเปิดออกอย่างช้า ๆ จากนั้นชายชราหลังค่อมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเดินออกมา

ชายชราดูค่อนข้างชรายิ่งนัก มันเป็นความรู้สึกแรกที่หยางเย่นึกได้เมื่อมองไปที่เขา ใบหน้าชายชราเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น มีผมยาวบางเพียงไม่กี่เส้นบนหัว มันแทบไม่ห่างไกลจากคำว่าชายชราหัวล้านเลย เขาพยุงตนเองด้วยไม้เท้าและเดินออกไปอย่างเชื่องช้าราวกับถูกลมพัด

แววตาที่ดูประหลาดใจปรากฏออกมาเมื่อหันไปเห็นทั้งสอง จากนั้นสายตาเขากลับมาปกติในทันที ไม่นานเขาพยุงตนเองเพื่อเดินไปทางหยางเย่และสตรีชุดขาว

เมื่อเห็นเช่นนั้น หยางเย่ข่มอาการตกตะลึงไว้ก่อนจะรีบลงจากหมาป่าและเข้าไปทักทายชายชรา เขาโค้งคำนับชายชราพร้อมกล่าว “ผู้อาวุโส พวกเราตกลงมายังเหวมรณะและมาถึงที่นี่โดยบังเอิญ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเป็นใครงั้นหรือ?”

ถึงแม้ชายชราจะดูค่อนข้างอ่อนแอ หยางเย่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน เพราะชายชราผู้นี้อาศัยอยู่ใต้เหวมรณะ ดังนั้นเขาจะคนธรรมดาได้ยังไง?

เมื่อเห็นหยางเย่แสดงท่าทีสุภาพ รอยเหี่ยวย่นบ่นใบหน้าชายชรากลายเป็นรอยยิ้มที่สุภาพออกมา ทันใดนั้นดวงตาเขาเปิดกว้าง มันดูเหมือนเขาเห็นบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อ จากนั้นมองไปที่หยางเย่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนสายตาพร้อมกล่าว “มันเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีคนมาเยือนที่นี่! เมื่อเจ้าทั้งสองสามารถมาถึงที่นี่ได้ มันคงจะเป็นเพราะโชคชะตาแล้ว รอประเดี๋ยวนะ!”

ทันทีที่กล่าวจบ ชายชราพยุงตัวหันหลังพร้อมเดินเข้าไปในกระท่อม

เมื่อมองไปยังชายชราผู้นั้น หยางเย่หันไปหาสตรีชุดขาวที่ลงมายืนด้านข้างพร้อมเอ่ยถาม “ชิงฉือ ท่านสามารถวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของเขาได้หรือไม่?”

หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น สตรีชุดขาวไม่อาจปัดคำถามของหยางเย่ได้อีก ทั้งยังบอกชื่อของนางไปแล้ว

ซูชิงฉือมองไปที่หยางเย่ เห็นได้ชัดว่านางไม่คุ้นเคยที่หยางเย่เรียกเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอันใด นางเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัว “ข้ารู้สึกว่าเขาก็ไม่ต่างจากพวกเรา ขั้นพลังของเขาก็ถูกผนึกเช่นกันและคงไม่ต่างจากคนธรรมดา แต่ก็ยังรู้สึกบางอย่างไม่ปกติจากเขา!”

หยางเย่เหมือนจะกล่าวบางสิ่งทันทีที่ชายชราเดินออกมาจากกระท่อมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีคัมภีร์สีดำและกำไลคู่หนึ่งกำลังเปล่งประกายอยู่ในมือ

ขณะที่หยางเย่กำลังสับสน ชายชราได้เดินมาถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว เขาปัดฝุ่นบนคัมภีร์สีดำออกก่อนจะยื่นให้หยางเย่ “หลังจากปล่อยฝุ่นเขรอะอยู่นาน มันค่อนข้างใช้เวลาเล็กน้อยกว่าจะหาเจอ ข้าสังเกตว่าเจ้ากำลังฝึกวิชาดาบ สิ่งนี้คือ ‘วิชาควบคุมดาบ’ มันคงจะเป็นประโยชน์แก่เจ้า”

ทันทีที่กล่าวจบ เขามองไปที่สตรีชุดขาวข้างหยางเย่ “ส่วนเจ้าคงเป็นมิตรสหายเต๋าของเขา เช่นนั้นแล้วมันคงไม่ดีหากให้ท่านกลับไปมือเปล่า ข้าจะให้กำไลผลึกลวงตาคู่หนึ่งแก่ท่าน!”

“ข้าไม่ใช่สหายเต๋าของเขา!” คิ้วของซูชิงฉือยกขึ้น หากชายชราคนนี้ไม่ดูเหมือนคนกำลังจะลงโลง นางคงเข้าโจมตีไปแล้ว

หยางเย่กลัวการขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง ดังนั้นจึงรีบเข้าไปยืนตรงหน้าชายชราและโค้งคำนับ “ผู้อาวุโส ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ต้องแลกสิ่งใด พวกเราเพิ่งพบกันครั้งแรก แต่ท่านกลับให้ของขวัญเรามากมาย เช่นนี้…”

หยางเย่และซูชิงฉือยังไม่ได้รับของจากชายชราเนื่องจากเขาดูแปลกเกินไป ใครกันจะให้ของขวัญตั้งแต่พบกันครั้งแรก ดังนั้นหยางเย่จะกล้ารับมันหรือ?

ชายชรามองไปที่ซูชิงฉือที่โกรธกริ้ว จากนั้นมองไปที่หยางเย่ก่อนจะกล่าว “ข้าอาจจะใจร้อน แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย ของสองอย่างนี้มันจะเสียเปล่าหากอยู่กับข้า เช่นนั้นแล้วมันเป็นการดีกว่าหากมอบให้พวกเจ้า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางเย่คงรู้สึกไม่ดีแน่หากปฏิเสธ เขารับคัมภีร์จากชายชราไว้ ขณะที่กำลังจะเปิดเพื่อดูวิชาภายใน มันกลายเป็นประกลายแสงสีเขียวหายเข้าไปในมือหยางเย่ ทันใดนั้นฉากตรงหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที เวลานี้ได้หยางเย่ได้เขามายังโลกสีเทาที่กว้างขวาง

ขณะที่กำลังสับสน เขาเห็นร่างเงาสีดำปรากฏขึ้นห่างออกไปเล็กน้อย ร่างเงาดำถือดาบและหันหลังให้หยางเย่พร้อมกล่าว “วิชาควบคุมดาบ เป็นวิชาขั้นปฐพีระดับต่ำ ข้าคิดค้นขึ้นจากการรวมวิชาดาบมากมาย แต่มันไม่เหมือนวิชาดาบในโลกปกติ วิชาดาบนี้เน้นการควบคุมดาบด้วยจิตใจ มันไม่ได้มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นปราณดาบหรือกระบวนท่าดาบ มันเคลื่อนไหวตามใจผู้ใช้เอง”

ทันทีที่กล่าวจบ ร่างเงาดำขยับมือขวา ดาบข้างหลังเขาพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า จากนั้นร่างเงาดำที่ดูเหมือนยังไม่ได้ทำอันใด แต่ดาบกลับโลดแล่นราวกับเด็กอยู่กลางอากาศ มันขยับไปขวาและไปทางซ้าย จากนั้นขยับพุ่งไปด้านหน้าก่อนจะลอยลงมาอย่างรวดเร็ว มันแสดงหลากหลายกระบวนท่าอยู่กลางอากาศ

จากสิ่งที่เห็นหยางเย่อ้าปากจนคางจะถึงพื้น เขากลืนน้ำลายเต็มปากเต็มคำก่อนจะบ่นพึมพำออกมา “ควบคุมดาบด้วยจิตใจ เขากำลังใช้ใจควบคุมดาบอยู่…”

ยังไม่จบ ดาบที่กำลังร่ายรำอยู่กลางอากาศเริ่มสั่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นปราณดาบระเบิดออกบนท้องฟ้า ดาบปล่อยปราณดาบออกมาในหลากหลายทิศทาง เวลานี้ปราณดาบไขว้กันอยู่บนข้างบน

หลังจากปล่อยปราณดาบนับร้อยออกมา ดาบและร่างสีดำก็ได้หายไป ทันใดนั้นเองเสียงพูดก็ดังขึ้น “ผู้ที่ฝึกวิชาข้าหลังจากนี้ จำไว้ว่า วิชาควบคุมดาบด้วยจิตใจมันขึ้นอยู่กับการหายใจ หัวสมองที่ปลอดโปล่ง สมาธิ มันจะทำให้มนุษย์ ดาบ และองค์ประกอบต่าง ๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน…”

หลังจากอ่านตำราเรียบร้อย หยางเย่รู้สึกราวกับทั้งสวรรค์และปฐพีกำลังหมุนรอบเขา เมื่อลืมตาขึ้นมาเขาเห็นชายชรากำลังมองมาพร้อมรอยยิ้ม

หยางเย่มองไปยังสตรีชุดขาวและหวังว่านางจะสามารถอธิบายเหตุการณ์นี้ได้

“มันคือวิชามรดก!” สตรีชุดขาวเข้าใจดีและอธิบาย “ยอดฝีมือบางคนใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์เพื่อบันทึกวิชาตนเองลงในคัมภีร์ มันเรียกว่าการสืบทอดมรดก พวกเขาจะสามารถอนุญาตผู้ฝึกรับรู้ถึงพลังวิชา สิ่งนี้มันมีประโยชน์มากมายยิ่งนัก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยางเย่รีบข่มความตื่นเต้นไว้ก่อนจะหันไปคำนับชายชราอีกครั้ง “ขอบคุณผู้อาวุโส!”

ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเหตุใดชายชราถึงมอบของขวัญเป็นวิชาดาบให้ แต่เขาเพิ่งจะได้รับวิชาดาบขั้นปฐพีมา

ชายชราเผยรอยยิ้ม จากนั้นส่งกำไลอีกคู่ให้หยางเย่ “ข้าทราบดีว่าเจ้ามีคำถามมากมาย แต่ด้วยบางเหตุผล ข้าไม่อาจตอบคำถามนั้นได้ หากเจ้าต้องการจะออกจากสถานที่แห่งนี้ ข้าสามารถช่วยเจ้าได้แต่มีเงื่อนไขอยู่!”

หยางเย่รับกำไลคู่นั้นไว้พร้อมกล่าว “ตราบใดที่ข้าสามารถทำได้ ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธมันแน่นอน!”

ชายชราพยักหน้า “เงื่อนไขไม่ยากเย็นหรอก ข้าหวังเพียงแค่หากวันหนึ่งเจ้าบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิ เจ้าช่วยกลับมายังที่นี่อีกครั้ง เวลานั้นข้ามีบางสิ่งจะให้เจ้าทำ!”

หยางเย่ถอนหายใจโล่งอก เพราะชายชรายังไม่ได้ขอให้เขาทำสิ่งใดที่ยากเย็นในเวลานี้ เขาตกลงในทันทีพร้อมกล่าว “หากบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิแล้ว ข้าจะมาหาผู้อาวุโสที่นี่ด้วยตนเอง ข้าให้สัญญา”

ถึงแม้ไม่ทราบว่าจะสามารถบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิในชีวิตนี้ได้หรือไม่ แต่เมื่อได้ยินชายชรากล่าวเช่นนั้น เขาทำได้เพียงตกลง และไม่ว่ายังไงมันก็ยังเป็นเรื่องของอนาคต

ชายชราพยักหน้าอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินหยางเย่ จากนั้นเขาขยับมือขวา วงกลมสีฟ้าปรากฏขึ้นข้างหยางเย่และสตรีชุดขาว วงกลมสีฟ้ามีขนาดประมาณสามคน ความหนาแน่นของสัญลักษณ์บางอย่างกระพริบอยู่ตรงกลางวงกลม

“ค่ายกลเคลื่อนย้าย!” ทันทีที่เห็นวงกลมสีฟ้า ท่าทีของหยางเย่และสตรีชุดขาวแปรเปลี่ยน ทั้งสองเคยเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สำนักดาบราชันมาก่อน ค่ายกลเหล่านี้ใช้เพื่อเคลื่อนย้ายไปยังเมืองทั้งหลายได้ กล่าวว่าหายากมากล้ำ ทว่าที่ชวนตื่นตะลึง คือชายชราถึงกับสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายได้เพียงโบกมือ เรื่องราวนี้น่ากลัวจนเกินไป!

ไม่เพียงแค่หยางเย่ที่ตกตะลึง แม้กระทั่งซูชิงฉือด้วยก็เช่นกัน นางมองไปยังชายชราอย่างสงสัย นอกจากความพิศวงแล้ว ยังปรากฏความกลัวข้างในดวงตานาง

ดูเหมือนชายชราจะไม่สนใจใบหน้าตกตะลึงของทั้งคู่ “พื้นที่เคลื่อนย้ายข้ามมิติสามารถส่งพวกเจ้าไปยังเทือกเขาแห่งความตายได้ อีกอย่างอย่าบอกใครว่ามีสถานที่แห่งนี้อยู่ มันจะดีสำหรับพวกเจ้าทั้งสอง ไปได้!”

หยางเย่สูดหายใจลึกก่อนจะโค้งคำนับชายชรา หลังจากนั้นเขาดึงมือซูชิงฉือเดินเข้าไปยังวงกลมสีฟ้า

ทันทีที่เดินเข้าไป แสงสีฟ้าโคจรด้านล่างพวกเขา มันห่อหุ้มร่างทั้งสองก่อนจะหายไปในชั่วพริบตา

ขณะที่มองไปยังแสงสีฟ้าเลือนหายไป รอยยิ้มเผยขึ้นบนใบหน้าของชายชรา เขาบ่นพึมพำเสียงต่ำ “เหตุใดข้าจึงไม่สามารถเห็นอนาคตของเขาได้กันนะ? ทำไมนะ?”