ตอนที่ 39 มอบของวิเศษให้

ทั้งสวรรค์และปฐพีหมุนเวียนอยู่รอบกาย เมื่อเปิดตาออกฉากที่เห็นทำให้ท่าทีหยางเย่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมออกมา มีหมีสีน้ำตาลขนาดเท่าหมาป่าสีเทากว่าสิบตัวจ้องมองมา ทั้งยังมีสัตว์อสูรทมิฬชุ่มเลือดและไม่หายใจอยู่ระหว่างหยางเย่กับหมีสีน้ำตาล เห็นได้ชัดว่าหมีสีน้ำตาลกำลังสนุกสนานกับผลไม้แห่งชัยชนะ

“ช่างโชคร้าย!” มุมปากหยางเย่กระตุก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากก่อนจะดึงซูชิงฉือมาอยู่ด้านข้าง จากนั้นเขานำดาบขั้นสีดำระดับต่ำออกมาพร้อมหัวเราะอย่างเขินอาย “มันเป็นอุบัติเหตุและเรื่องบังเอิญ เรื่องบังเอิญโดยแท้จริง ช่างเถอะไปกันเลยดีกว่า…”

ท่าทีแปลกประหลาดเกิดขึ้นผ่านดวงตาซูชิงฉือเมื่อหยางเย่ดึงนางมาอยู่ข้างกาย เมื่อนางได้ยินประโยคของหยางเย่ มุมปากซูชิงฉือโค้งงอขึ้นเล็กน้อยกลายเป็นรอยยิ้มที่งดงาม โชคไม่ดี ในสายตาของหยางเย่ตอนนี้เห็นเพียงหมีสีน้ำตาลเท่านั้น จึงทำให้พลาดฉากที่งดงามนี้ไป

มันยังปกติดีเมื่อหยางเย่ยังคงเงียบ แต่ทันทีที่กล่าวคำออกมา หมีสีน้ำตาลยืนขึ้นในทันทีพร้อมใช้อุ้งมือตีหน้าอก จากนั้นพวกมันกระโจนลงมาที่หยางเย่และซูชิงฉือราวกับกองภูเขา

ดวงตาหยางเย่ตีบลงขณะที่กำลังจะเข้าต่อสู้อย่างสิ้นหวัง ประกายดาบได้ปรากฏขึ้น หยางเย่เองทำได้เพียงแค่มองด้วยความประหลาดใจ สัตว์อสูรทมิฬระดับเก้ากลายเป็นชิ้นในพริบตา เลือดสดพุ่งกระจายออกมาจากหมีสีน้ำตาลเหล่านั้น มันเป็นฉากที่สง่างามยิ่งนัก

ปั้ง!

หมีสีน้ำตาลร่วงลงสู่พื้นทำให้ฝุ่นควันกระจายขึ้นสู่ฟ้า หยางเย่ถูกเรียกสติกลับคืนจากสิ่งที่เห็น จากนั้นหันไปมองซูชิงฉือ เขาเห็นนางยืนภาคภูมิใจกับดาบสีเขียว ท่าทีที่ไร้ความกังวลใด นางฟื้นฟูความมั่นใจในวันนั้นกลับมาแล้ว

“ท่าน… ท่านฟื้นพลังแล้วงั้นหรือ?” หยางเย่ถอยไปสองสามก้าวโดยสัญชาตญาณพร้อมกล่าว

ซูชิงฉือพยักหน้า

“เมื่อ… เมื่อไหร่กัน?” หยางเย่สับสนอย่างมาก เขาจำได้เพียงว่านางต้องกลับไปยังสำนักดาบราชันเท่านั้นถึงจะฟื้นฟูพลังได้ เช่นนั้นมันคงเป็นไปได้ยากที่จะฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หัตถ์โลหิตใช้กับนาง

ซูชิงฉือมองไปทางเหวมรณะ จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “ชายชราผู้นั้นคลายพลังให้ข้า”

หยางเย่พยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ มันเข้าใจได้ทันทีหากเป็นเพราะชายชรา หยางเย่ไม่ทราบว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด ตั้งแต่ที่ชายชราให้วิชาขั้นปฐพีและอาศัยอยู่ใต้เหวมรณะ คนผู้นั้นคงไม่ใช่ชายชราที่อ่อนแอแน่นอน

ทันใดนั้นเองซูชิงฉือหันไปมองหยางเย่ นางขยับดาบสีเขียวในมือ ดวงตาหยางเย่กระตุก แม้ว่านางจะไม่มีจิตสังหารใดออกมา จากนั้นเขาถอยหลังไปก่อนจะกล่าว “ท่าน… ท่านคงไม่กลับคำพูดใช่หรือไม่?”

“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?” ซูชิงฉือกล่าวอย่างเย็นชา

หยางเย่สูดหายใจลึกก่อนจะส่ายหัว “ท่านไม่ทำหรอก”

“เพราะอะไรล่ะ?”

หยางเย่ยิ้มพร้อมกล่าว “ถึงแม้ข้าจะรู้จักท่านไม่นานมากนัก แต่สัญชาตญาณบอกว่าท่านไม่ใช่คนกลับกลอก หากท่านต้องการจะสังหารข้าท่านคงทำตั้งแต่อยู่เหวมรณะแล้ว และถึงแม้ท่านไม่อาจทำสิ่งนั้นได้ อย่างน้อยก็สามารถทำให้ข้าตายไปพร้อมกับท่านแล้ว เมื่อไม่กระทำเช่นนั้นด้านล่าง ด้านบนนี้ก็คงไม่กระทำเช่นกัน”

ซูชิงฉือมองไปที่หยางเย่ เขาเองก็ไม่ได้แสดงความอ่อนแอใดเมื่อมองตานาง จากนั้นซูชิงฉือขยับมือ ปราณดาบสีเขียวปรากฏขึ้นใต้เท้าก่อนกล่าว “จงจำเอาไว้ ข้าไว้ชีวิตเจ้าเพียงเพราะเจ้ามีคุณค่าต่อสำนัก หากเจ้าแสดงตนต่ำต้อย เช่นนั้นข้าก็ไม่ปรานี!”

หยางเย่ยิ้เผยรอยยิ้มยามได้รับฟัง สตรีผู้นี้ปากร้ายทว่าใจดี

ดูเหมือนจะนึกบางสิ่งได้ เขาได้นำเอากำไลที่ชายชรามอบออกมาให้พร้อมเดินไปยังซูชิงฉือก่อนจะมอบให้นาง “มันเป็นของท่านแล้ว”

หยางเย่ไม่ได้ทราบระดับขั้นของกำลังคู่นี้ แต่ทราบว่ากำไลคู่นี้ไม่ธรรมดาแน่นอน

ซูชิงฉือมองไปที่กำไลก่อนจะกล่าว “เขาให้มันแก่เจ้า!”

“จากนั้นข้าจึงให้มันแก่ท่านอีกทีไงล่ะ!” หยางเย่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ซูชิงฉือมองไปที่หยางเย่ก่อนจะมองไปที่กำไล จากนั้นไม่นานนางกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “กำไลคู่นี้คือขั้นปฐพีระดับกลาง แม้กระทั่งสำนักดาบราชันเรายังไม่มีสมบัติขั้นปฐพีเลย แต่กำไลคู่นี้กลับเป็นขั้นปฐพี เจ้ามั่นใจที่จะให้มันแก่ข้างั้นหรือ?”

ของวิเศษขั้นปฐพีมีค่าเพียงใดกัน? ไม่มีใครในเขตแดนใต้ทราบ เพราะของวิเศษขั้นปฐพีคือของวิเศษที่เป็นตำนานของเขตแดนใต้ อย่างที่ซูชิงฉือกล่าว แม้กระทั่งสำนักใหญ่อย่างสำนักดาบราชันยังไม่มีของวิเศษขั้นปฐพี มันคือเหตุผลว่าทำไมต้องถามหยางเย่

หยางเย่รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินซูชิงฉือ เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่ากำไลคู่นี้จะอยู่ถึงขั้นปฐพี! เช่นนั้นแล้วจะเป็นยังไงต่อ?

ท่าทีของเขายังคงอาการสงบ เขาพุ่งตรงคว้ามือซูชิงฉือพร้อมวางกำไลไว้ในมือนาง “พูดกล่าวตามตรง ข้าเองยังตื่นตะลึงไม่น้อย แต่แล้วอย่างไร? มันเป็นของท่านแล้ว”

ซูชิงฉือมองหยางเย่ก่อนจะสวมกำไล ทันใดนั้นประกายแสงปรากฏออกจากมือนาง ฉากในตาหยางเย่เปลี่ยนไป ทันใดนั้นเองโลกที่เห็นถูกปกคลุมไปด้วยผลึกน้ำแข็ง มันยังเป็นผลึกน้ำแข็งสีทองที่อยู่ในทุก ๆ ที่

ไม่นานผลึกน้ำแข็งเริ่มขยับ ฉากที่เห็นนี้ทำให้หยางเย่ตกตะลึงอย่างมาก

ผลึกน้ำแข็งเหล่านั้นกลายเป็นดาบแหลมคมพุ่งมาที่เขา หยางเย่ตื่นตระหนกเมื่อเห็นสิ่งนี้ แต่ชั่วขณะหนึ่งฉากในดวงตาหยางเย่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ผลึกน้ำแข็งหายไปและกลับมาสู่ความเป็นจริง

หยางเย่ส่ายหัวก่อนจะมองไปที่ซูชิงฉือ ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นนาง เพราะร่างของซูชิงฉือถูกปกคลุมไปด้วยแสงหลากสี แสงสีรุ้งนั้นเหมือนจะเป็นแสงรัดรูปที่ปกปิดร่างกายอันงดงามของนาง มันยังกระพริบประกายแสงมากมายภายใต้แสงอาทิตย์

“เกิด… เกิดอะไรขึ้น?” หยางเย่สับสน

ซูชิงฉือมองไปยังกำไลในมือซ้าย ประกายแสงแห่งความพอใจปรากฏขึ้นในดวงตา นางอธิบาย “ของวิเศษขั้นปฐพีมีความสามารถอันน่าเหลือเชื่อ กำไลทั้งสองนี้ข้างหนึ่งคือความรุนแรงสำหรับโจมตีส่วนอีกข้างคือป้องกัน ภาพลวงตาก่อนหน้านี้ถูกสร้างโดยข้างที่รุนแรง แต่ธรรมชาติภายในนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา หากเจ้าบาดเจ็บข้างในนั้น พลังปราณของข้างนอกก็จะทุกข์ทรมานข้างนอก้ำเช่นกัน”

เมื่อกล่าวจบ นางมองไปที่กำไล “ส่วนด้านป้องกันนี้ มันสามารถใช้พลังปราณเป็นเกราะป้องกันได้ดั่งใจ ข้าทดสอบชุดเกราะพลังปราณก่อนนี้ แม้กระทั่งความแข็งแกร่งของข้าเอง ด้วยการโจมตีอย่างสุดกำลัง มันยังไม่สามารถทำอันตรายใดได้ หากมีกำไลคู่นี้ ข้ามั่นใจว่าสามารถต่อกรกับยอดฝีมือขั้นปราณจุติได้แน่นอน! ยิ่งกว่านั้นกำไลนี้ยังมีพื้นที่ภายในเหมือนแหวนมิติ เมื่อเทียบกันแล้วช่องว่างภายในนั้นกว้างถึงสามร้อยเมตร!”

หยางเย่ตื่นตะลึงยามได้รับฟัง ในอดีตเขาได้ยินมาว่าของวิเศษขั้นปฐพีนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ไม่คาดคิดว่าจะไม่ธรรมดาขนาดนี้ ไม่ต้องกล่าวสิ่งใด เพียงแค่ภาพลวงตาก่อนนี้ก็สามารถจัดการเขาได้โดยไม่สามารถต้านทานได้หากซูชิงฉือไม่หยุดไว้ ยิ่งกว่านั้นกำไลยังมีพื้นที่มิติของมันเองด้วย พื้นที่ข้างในยังกว้างถึงสามร้อยเมตร ซึ่งมันกว้างกว่าแหวนมิติของเขาหลายเท่านัก!

เมื่อนางเห็นใบหน้าหยางเย่ที่ตกตะลึงและดวงตาที่เปล่งประกาย ซูชิงฉือกล่าวอย่างเย็นชา “อะไร? เจ้ารู้สึกเสียใจที่ให้มันแก่ข้างั้นหรือ?”

ท่าทีหยางเย่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน เขาสูดหายใจลึกก่อนจะมองไปที่นางและกล่าวอย่างจริงจัง “ข้ายอมรับว่าของวิเศษขั้นปฐพีนั้นเยี่ยมมาก แต่แล้วยังไง? เทพธิดาซู ท่านปรามาสหยางเยผู้นี้เกินไปแล้ว!” เมื่อกล่าวจบหยางเย่หันไปทางกองซากศพหมีสีน้ำตาลที่ซูชิงฉือจัดการ เขาหยิบแก่นภายในออกมาเพราะต้องการสิ่งนี้มานานแล้ว

กล่าวโดยแท้จริง หยางเย่รู้สึกเสียใจงั้นหรือ? อันที่จริงแทบจะไม่เลยด้วยซ้ำ ของวิเศษขั้นปฐพีนั้นล้ำค่าโดยแท้จริง แต่เขาก็ไม่เคยนึกเสียดาย ไม่ว่ากรณีใดหยางเย่ไม่เคยเสียดายที่มอบมันให้แก่ซูชิงฉือ เขาไม่ทราบว่ามันคือความชอบหรือไม่ แต่ด้วยใจจริงเขาไม่เคยเสียดายมัน! ยิ่งกว่านั้นกำไลคู่นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นของสตรี ดังนั้นมันจะเสียของเปล่าหากอยู่ที่เขา มันจะนำแต่หายนะมาให้มากกว่า

ขณะที่นางมองหยางเย่ขุดหาแก่นภายใน ซูชิงฉือแอบหัวเราะเบา ๆ แต่ก็รีบเปลี่ยนท่าทีกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุผลบางอย่างที่อธิบายยาก เมื่อนางเห็นหยางเย่โกรธจากสิ่งที่นางกล่าว ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกลับปรากฏขึ้นในใจ มันทำให้รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

นางส่ายหัวและเงยหน้าขึ้นมองเส้นขอบฟ้า ด้วยเหตุผลบางประการหัวใจของนางเริ่มกระวนกระวายมากขึ้น

หยางเย่มีความสุขอย่างมากในการนำแก่นภายในออกมา เพราะแก่นภายในสิบก้อนนี้ค่อนข้างงมีค่าแก่เขาอย่างมาก ส่วนทางด้านหนังหมีและส่วนอื่นของมัน ด้วยระดับความมั่งคั่งที่มีตอนนี้ เขาแทบไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตาเลย

“ไปกันได้แล้ว!” ซูชิงฉือก้าวเดินขึ้นบนดาบเขียว จากนั้นจึงหันสายตามองทางหยางเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หยางเย่นึกยินดียามรับฟัง เขาไม่ลังเลที่จะกระโดดขึ้นบนตัวดาบ ได้บินด้วยดาบและมองลงโลกหล้า นี่คือสิ่งที่หยางเย่ใฝ่ฝันถึง!

หลังจากยืนอยู่บนดาบแล้ว ซูชิงฉือขยับมือเล็กน้อย ดาบกลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า

“เหวอ!!” หยางเย่ยึดที่มั่นอย่างระมัดระวังทันทีที่บินไปพร้อมกับดาบ เขาเกือบจะร่วงลงมาแล้ว โชคดีที่ยังมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว เขารีบจับซูชิงฉือไว้ มิเช่นนั้นผลที่ตามมาคงจะไม่น่าดู!

คิ้วที่งดงามของซูชิงฉือขมวดเล็กน้อยจากการถูกหยางเยกอด นางลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เตะหยางเย่ลงไป ทั้งยังก็เพิ่มความเร็วขึ้นแทน…