พริบตาเดียวก็เป็นเวลากลางวันแล้ว พระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะ แสงอาทิตย์ในเหมันต์ไม่ร้อนระอุเท่าในคิมหันต์ฤดู แต่เมื่อมองแสงจ้าก็ยังทำให้แสบตาได้ ภายใต้เสื้อกันหนาวหนาผู้คนยังหลั่งเหงื่อเย็นเต็มแผ่นหลัง

ฝูงคนที่เดิมทีอัดแน่นกัน ตอนนี้กระจัดกระจายแยกย้าย เหลือเพียงราวหนึ่งร้อยคนเท่านั้น ส่วนมากคือคนที่ผ่านรอบแรกมาแล้ว กำลังรอเข้าทดสอบในรอบที่สอง

ชิงอวี่ถูกเรียกเข้าไปในที่สุด นางกำลังจะเดินเข้าไปพร้อมคนอื่น ๆ ทว่าฝีเท้ากลับชะงักลง ก่อนร่างจะหงายหลังไป รู้สึกราวกับถูกดูดพลังออกจากร่าง เคราะห์ดีที่หมิงอีอีมือไว คว้าตัวนางไว้ทัน

“เกิดอะไรขึ้น?” หมิงอีอีถาม สีหน้าเป็นห่วง

ชิงอวี่พลันได้สติ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นไร”

เป็นแค่พริบตาเดียวที่ร่างกายนางรู้สึกแปลก ๆ ราวกับจะหมดสติไปเสียอย่างนั้น

หมิงอีอียังไม่คลายสีหน้ากังวล “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ?”

ชิงอวี่หัวเราะ “ข้าเป็นนักปรุงยา หากข้าผิดปกติตัวข้าย่อมรู้”

หมิงอีอีจึงพอใจกับคำตอบ

ที่อีกด้านหนึ่ง ซู่หลีม่อรีบรุดไปหาลั่วหลานจือ หลังจากรู้สถานการณ์จากอีกฝ่ายแล้ว ทั้งสองก็พากันมุ่งหน้าไปยังเรือนท่านเจ้าสำนัก

“เฟิ่งเทียนเหิง ไม่เห็นหน้าเจ้ามานานเชียว!” ใบหน้าของเจ้าสำนักละอองหมอกนามเหวินเหรินเชียนคลี่ยิ้มมีเสน่ห์ออกมา ดูงดงามสง่าผ่าเผยอย่างที่ทุกคนรู้กันดี

นัยน์ตาล้ำลึกจ้องมองบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าอย่างประเมิน

ยามอยู่ในชุดขาวไร้มลทินแล้ว แม้จะไม่ใช่ชุดสำนัก แต่ก็ยังทำให้ดูลึกลับคล้ายเทพเซียน โดยเฉพาะใบหน้านั้นของเจ้าตัว

เหวินเหรินเชียนมีชีวิตอยู่มานาน เห็นคนมาทุกแบบ แต่ใบหน้าโดดเด่นเช่นนี้ เกรงว่าจะหาใครเทียมได้ยากนัก

ทุกคนในใต้หล้ารู้ดีว่าศิษย์สำนักละอองหมอกอันดับหนึ่งเฟิ่งเทียนเหิงนั้นมีพลังบำเพ็ญลึกล้ำยิ่งนัก แต่น้อยนักที่รู้ว่าใบหน้าเขาก็ล้ำลึกไม่แพ้กัน เป็นใบหน้าที่มองคราเดียวก็อาจกระชากวิญญาณคนได้

นับแต่โบราณมา หน้าตาคนเป็นสิ่งลวงหลอก เห็นชัด ๆ ว่าเขามีใบหน้าหล่อเหลาปานนี้ เครื่องหน้าใสซื่อไร้พิษภัย แต่กลับเป็นคนที่กระทั่งเหวินเหรินเชียนที่โค่นเจ้าสำนักคนก่อนลงได้ยังต้องเกรงกลัว

หากไม่ได้แรงสนับสนุนจากเฟิ่งเทียนเหิงกับคนอื่น ๆ เมื่อครานั้น เขาก็คงไม่อาจเข้ารับตำแหน่งเจ้าสำนักได้ราบรื่นเช่นนี้ แต่จิตใจเฟิ่งเทียนเหิงนั้นยากแท้หยั่งถึง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

ทั้งเงินตราและอำนาจ เรื่องทุกอย่างเขาล้วนมีพร้อมสรรพ

แต่เมื่อภายในสำนักเกิดความโกลาหล เขากลับไม่คิดชิงเอาตำแหน่ง นั่นเป็นสิ่งที่เหวินเหรินเชียนไม่เข้าใจ คนผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่? ด้วยความสามารถเช่นเขาแล้ว ไม่ควรมาอุดอู้อยู่ในแดนระดับต่ำเช่นนี้ด้วยซ้ำ

เฟิ่งเทียนเหิงไม่กลับสำนักมานานหลายปี ยิ่งอ่านอารมณ์ไม่ออกยิ่งกว่าเก่า ครั้งนี้เขากลับมาอาจเพราะค้นพบบางอย่างที่น่าสนใจ หรือเจอคนน่าสนใจเข้าเป็นแน่

เฟิ่งเทียนเหิงหัวเราะเสียงแผ่ว “ข้าไม่ได้กลับมานาน จึงคิดว่าควรกลับมาดูสำนักเสียบ้าง”

“เท่านั้นเองหรือ?” เหวินเหรินเชียนผลักประโยคคำถามกลับไป “ข้าก็คิดว่าในหมู่ผู้เข้าทดสอบปีนี้ มีคนที่เจ้าสนใจเสียอีก ภาควิชาพิเศษที่เจ้าตั้งขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนมีศิษย์เพียง 11 คนเองนี่นะ”

ภาควิชาหนึ่งมีจำนวนศิษย์น้อยคนเช่นนี้ เดิมทีสภาผู้อาวุโสก็ไม่เห็นด้วยนัก แต่เฟิ่งเทียนเหิงเป็นบุคคลน่าพิศวงนัก คนอื่น ๆ จึงไม่กล้าขัดเขาโดยตรง ทำได้เพียงผ่อนปรนยอมเห็นด้วยเท่านั้น

แม้เหวินเหรินเชียนจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ในใจก็รู้ว่าทั่วแดนมีคนมากวิชาอยู่มากมาย แต่น้อยนักที่จะเตะตาเฟิ่งเทียนเหิง ไม่เช่นนั้นผ่านมานานหลายปีแล้ว ภาควิชาพิเศษคงไม่มีศิษย์อยู่น้อยคนเช่นนี้

เฟิ่งเทียนเหิงได้ยินก็ยิ้มเบาบาง เป็นตอนนั้นเองที่ประตูถูกเปิดออกจากด้านนอก

ในหมู่คนในสำนัก คนที่กล้าบุกเข้าห้องท่านเจ้าสำนักโดยไม่เคาะประตูขอก่อนก็มีเพียงเหล่าคนโอหังที่รั้งห้าอันดับแรกในสำนักเท่านั้น โดยมีซู่หลีม่อเป็นตัวการใหญ่

และคนที่เดินเข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่น คือซู่หลีม่อนั่นเอง นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาเต็มไปด้วยความยินดีที่ปิดไม่มิด “พี่ี่ใหญ่! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”

ซู่หลีม่อผู้เย่อหยิ่งนั้นยอมให้แค่เพียงเฟิ่งเทียนเหิงที่เป็นผู้นำกลุ่มคนหนุ่มเมื่อครั้งสมัยที่พวกเขาเพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ ๆ

ยามเฟิ่งเทียนเหิงเดินทางจากไป ซู่หลีม่อยังเด็กนัก แต่ตอนนี้กลับเติบโตเป็นบุรุษเต็มตัว หากแต่นิสัยก็ยังไม่แปรเปลี่ยน ยังคงหุนหันพลันแล่นเช่นแต่ก่อน

เฟิ่งเทียนเหิงหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย “เด็กคนนี้เปลี่ยนไปไม่น้อย” จากนั้นหันมองลั่วหลานจือที่พยักหน้าให้เขาเล็กน้อยเป็นการทักทาย

“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาครั้งนี้จะไม่จากไปไหนแล้วใช่หรือไม่? ข้าจะบอกท่านให้ เด็ก ๆ ที่รับเข้ามาครั้งนี้ต่างจากปีก่อน ๆ มาก! ท่านต้องสนใจแน่” ซู่หลีม่อเอ่ยเสียงตื่นเต้น

แม้เหวินเหรินเชียนจะเป็นถึงเจ้าสำนัก แต่กลับถูกอีกฝ่ายเมินโดยสมบูรณ์ แต่เขาก็ชินชาเสียแล้วที่เด็กพวกนี้ไม่คิดเคารพเขาสักเท่าไร เพียงแต่เหน็บขึ้นว่า “ต่างอย่างไร?”

“มีเด็กอัจฉริยะที่ผู้อาวุโสจินและผู้อาวุโสเหยียนแย่งชิงกันอยู่ด้วย” ซู่หลีม่อขยิบตาบอก ทำท่าทีเป็นปริศนานัก

“อ้อ?” เหวินเหรินเชียนเริ่มสนใจขึ้นมา “ใครกัน?”

ซู่หลีม่อยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เด็กคนนั้นยังไม่มา แต่เจ้านั่นทำตัวลึกลับนัก มากยุทธ์รู้วิชาแพทย์ อีกทั้งมีเพียงคนไม่มากที่ไม่ถูกวิชาเสียงของลั่วหลานจือทำอันตราย แต่เด็กคนนั้นกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย!”

เขายังไม่ลืมวันที่เสียงขลุ่ยของลั่วหลานจือเข้าโจมตีพวกค้างคาวและงูพิษทั้งหลาย หลาย ๆ คนก็มีอาการบาดเจ็บภายในจากเลือดพลุ่งพล่านยามได้ยินท่วงทำนอง แต่เจ้านั่นกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่นิด

ได้ยินดังนั้นคนอื่น ๆ จึงทำหน้าประหลาดใจ

ก่อนหน้านี้ลั่วหลานจือไม่ได้ใส่ใจ แต่พอได้ยินซู่หลีม่อพูดมาเช่นนี้จึงเริ่มสงสัยเรื่องเจ้าเด็กปริศนานั่นด้วยเช่นกัน

มีคนเพียงสองประเภทเท่านั้นที่สามารถต้านทานการโจมตีเสียงของเขาได้ หากไม่ได้มีพลังบำเพ็ญสูงส่งกว่าเขา ไม่เช่นนั้นก็แสดงว่าเชี่ยวชาญการโจมตีประเภทเดียวกัน แต่ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นประเภทใดก็นับว่าประมาทไม่ได้เลย

“พี่ใหญ่ ท่านไม่อยากไปดูหน่อยหรือ? ไปแทนข้าในฐานะผู้คุมก็ได้!” ซู่หลีม่อเอ่ยขึ้น

เฟิ่งเทียนเหิงยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าไม่ไปหรอก เจ้าเป็นผู้ดูแลการทดสอบ ไม่ควรทิ้งมากลางคันเช่นนี้ เจ้ารีบกลับไปเถอะ!”

ก็เป็นเพียงการทดสอบเข้าสำนัก ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาถึงกับต้องถ่อสังขารไปดู

ที่เขากลับมาครั้งนี้ก็เพื่อมาค้นหาต้นตอที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดอยู่ภายในเท่านั้น

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้นเอง เสียงระเบิดดั่งสนั่นขึ้น สะเทือนไปถึงชั้นฟ้า รับรู้ได้ถึงแรงสะเทือนมาจนถึงที่นี่ ทำเอาคนในห้องชะงักงันไป เกิดอะไรขึ้นกัน?

ซู่หลีม่อตกใจอยู่เล็กน้อย “ท่าจะมาจากห้องโถงที่ใช้จัดการทดสอบ ข้าออกมาไม่เท่าไหร่ เหตุใดกลายเป็นเช่นนี้ได้เล่า?”

มีคนมาหาเรื่องงั้นหรือ??

เมื่อคิดได้ดังนั้น เหวินเหรินเชียนจึงลุกขึ้นเดินตามต้นเสียงไป ใบหน้าเคร่งขรึม คนอื่น ๆ อีกสามคนก็เหลือบมองกันก่อนจะเดินตามกันไป

ขณะเดียวกันนั้น ณ ห้องโถงที่จัดการทดสอบ ทุกคนตกอยู่ในอาการมึนงง รวมถึงผู้คุมการสอบที่อยู่หลังเกราะบังตาด้วย

ส่วนเจ้าคนทำระเบิดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือชิงอวี่

บนใบหน้างามของนางในตอนนั้นคือสีหน้าว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นางเพียงก้มลงมองฝ่ามือเนียนตนเองงง ๆ เท่านั้น

ครั้งนี้ทดสอบโดยการทดสอบพรสวรรค์กับศิลา คนอื่น ๆ ทดสอบเรียบร้อยแล้วและชิงอวี่เป็นคนสุดท้าย เมื่อนางทาบฝ่ามือลงบนศิลาทดสอบพรสวรรค์ ยังไม่ทันเรียกพลังวิญญาณ ศิลาก็ระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว

หมิงอีอีอดมองด้วยความขนลุกไม่ได้ เมื่อครู่นี้คือกระไรกัน?

นับเป็นครั้งแรกที่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในการทดสอบ ศิษย์ที่เดินนำพวกนางเข้ามาเองก็ตะลึงจนพูดไม่ออก นิ่งไปหลายอึดใจ

ใบหน้าผู้ดูแลทั้งสี่คนหลังเกราะบังตาเองก็แตกต่างกันไป โดยคนที่มีสีหน้าตกใจที่สุดคือเยี่ยนหนิงลั่ว นัยน์ตานางเบิกกว้างจนถลน ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งเห็น

เป็นไปได้อย่างไรกัน…..

หรือศิลาทดสอบพรสวรรค์จะไม่อาจประเมินพลังของชิงอวี่ได้?

อุบัติเหตุแน่ ๆ! แม้ท่าทางนิสัยนางจะดูแตกต่างไปจากเดิมนัก ไม่ใช่เด็กสาวอ่อนแอไร้ความสามารถอีกต่อไป ด้วยเพราะได้อาจารย์เร้นกายมาช่วยถ่ายทอดวิชา แต่พลังของนางก็ไม่ควรเพิ่มสูงขึ้นมากมายเช่นนี้กระมัง! มันจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!

ผู้อาวุโสจินมีสีหน้าครุ่นคิดพลางลูบคางตน “หรือแม่ตุ๊กตาน้อยนั่นจะใช้วิธีโกงอะไร?”

ผู้อาวุโสเหยียนด้านข้างพลันหัวเราะ “ข้าว่าเจ้าคงแก่ชรามากจนเลอะเลือน ลืมไปแล้วว่าประตูขึ้นสำนักไม่ใช่ว่าใครจะผ่านมาได้ง่าย ๆ หากในตัวนางมีสิ่งใดน่าสงสัย ประตูก็คงไม่ปล่อยนางผ่านเข้ามาหรอก”

ผู้อาวุโสจินได้ยินก็มุมปากกระตุกยิก “เช่นนั้น….. ก็หมายความว่าแม่นางน้อยนั่นมีพลังบำเพ็ญสูงส่ง….. จนศิลาทดสอบพรสวรรค์ระเบิดด้วยไม่อาจทนพลังนางได้งั้นหรือ?”

“ไม่ว่าอย่างไร ทดสอบอีกครั้งก็รู้แล้ว”

ผู้อาวุโสเหยียนนนัยน์ตาส่องประกายเฉียบคม โบกมือคราหนึ่ง ลูกแก้วขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น มันคือสิ่งใช้ประเมินพลังของผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน ให้ผลครอบคลุมแม่นยำกว่าศิลาทดสอบพรสวรรค์นัก อีกทั้งยังรับพลังได้มากกว่า

มันเป็นสมบัติที่ผู้หยั่งรู้ฟ้าดินมักไม่เผยต่อหน้าใครง่าย ๆ แต่ผู้อาวุโสเหยียนกลับเต็มใจนำมันออกมาใช้

ผู้อาวุโสจินจึงมีสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าไม่กลัวว่าแม่นางน้อยจะทำลูกแก้วเจ้าระเบิดหรือ?”

“หากนางเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ลูกแก้วระเบิดไปก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่”

ผู้อาวุโสเหยียนคลี่ยิ้ม ก่อนจะโบกมือเพื่อปลดเกราะบังตาออก ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้เข้ารับการทดสอบทั้งหลาย

ในห้องโถงใหญ่พลันมีคนปรากฏตัวเพิ่มขึ้นทำให้คนอื่น ๆ พากันสะดุ้งตกใจ

“ท่านเหล่านี้คือผู้ดูแลการสอบ” ศิษย์คนหนึ่งช่วยอธิบาย

อะไรนะ?!

ศิษย์พี่และผู้อาวุโสเหล่านี้คอยมองดูอยู่ตลอดเลยหรือ? น่ากลัวนัก ไม่รู้ว่าฝีมือพวกเขาก่อนหน้านี้จะพอทำให้ท่านผู้สูงส่งเหล่านี้ประทับใจบ้างหรือไม่!

ผู้อาวุโสเหยียนถือลูกแก้วไว้ในมือ จากนั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กสาวได้ชัดเจนก็ชะงักไปไม่ทันรู้ตัว รู้สึกเหมือนเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน แต่ไม่นานก็ได้สติ พลันเอ่ยเสียงนุ่มขึ้น “แม่หนู ลองวางมือบนเจ้านี่สิ”

เป็นตอนนั้นเองที่เฟิ่งเทียนเหิงมาถึงยังห้องโถงที่จัดการทดสอบ

เด็กสาวร่างบางในชุดขาวยืนหันหลังให้ เขาจึงไม่เห็นใบหน้านาง แต่ก็ยังเห็นมือเรียวงามที่ค่อย ๆ วางทาบลงบนลูกแก้ว ผิวเนียนงามประณีตกว่าใครที่เขาเคยเห็น

พริบตาที่นางวางมันลงบนลูกแก้ว ไม่รู้ว่ามีลมพายุพัดโหมมาจากทิศใด พัดปะทะใบหน้าทุกคนในห้องโถงทันที

ลูกแก้วที่นิ่งสนิทและเงียบเชียบพลันมีพลังหมุนเวียนวนอยู่ด้านใน สีสันที่เป็นตัวแทนต่าง ๆ ของธาตุทั้งหลายแวบวาบไปมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นเส้นสีดำคล้ายสีน้ำหมึก ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงปริแตก และลูกแก้วแยกออกเป็นสองส่วนทันที