บทที่ 149 ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

ทั้งห้องโถงใหญ่พลันเงียบกริบในทันใด

ทุกคนเห็นลูกแก้วที่ส่องประกายแสงเป็นสีทุกสีหมุนเวียนวนอยู่ภายใน ก่อนที่มันจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

“เอื้อก” คนผู้หนึ่งกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอไป

กระทั่งผู้อาวุโสเหยียนที่ไม่ค่อยเผยอารมณ์ยังมีใบหน้าตะลึงค้างไป ไม่ได้สติอยู่หลายอึดใจ

จนกระทั่งซู่หลีม่อที่เกาะประตูดูอยู่ร้องเสียงดังขึ้น “แม่เจ้า! อัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุ?!”

เสียงนั้นดึงวิญญาณที่ล่องลอยกลับเข้าร่างผู้คน แต่ละคนมีสายตาราวกับเห็นผี

แม่นางที่งดงามเย้ายวนใจ หน้าตาราวกับแม่ปีศาจสาวคนนี้คืออัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุจริงหรือ? หากคนภายนอกรู้เข้าคงต้องอ้าปากค้างไปถึงพื้น!

แต่พวกเขาเพิ่งจะได้เห็นไปกับตาว่าศิลาทดสอบพรสวรรค์และลูกแก้วยังไม่อาจทานพลังนางจนระเบิดออก จะให้ไม่เชื่อสายตาก็คงทำไม่ได้

เฟิ่งเทียนเหิงหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้จะเห็นเพียงด้านหลัง แต่ก็จำได้ว่านางเป็นคนเดียวกับคนที่เขาเห็นที่ประตูทางเข้าสำนัก

ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด แม่นางคนนั้นจึงทำให้เขาอยากเข้าหา

ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าสับสนพิศวงนัก

เขามีชีวิตอยู่มายี่สิบกว่าปี ไม่เคยมีความปรารถนาความอยากใด นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกรุนแรงเช่นนี้

ราวกับในร่างขาดบางสิ่งบางอย่างไป และตอนนี้ได้รับการเติมเต็มแล้ว

ณ ตอนนั้น คนทั่วทั้งห้องโถงใหญ่พากันยืนชะงักงันไป

ผู้อาวุโสเหยียนนัยน์ตาเป็นประกายเร่าร้อนอย่างหาได้ยาก นางเป็นอัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุ หาได้ยากกว่าผู้ถือครองสองธาตุแสงและสายฟ้าเสียอีก ร้อยปีไม่อาจพบ

ทั่วทั้งแดนนี้สามารถนับจำนวนอัจฉริยะผู้ครองธาตุได้เพียงหนึ่งมือ และอัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุกลับมาปรากฏตัวขึ้นในการทดสอบเข้าสำนักละอองหมอกในปีนี้เสียได้! ราวกับโชคหล่นใส่หัว!

อัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุสามารถกลายเป็นผู้โดดเด่นไม่ว่าจะเลือกบำเพ็ญในภาควิชาใด ไม่มีใครกล้าเทียบได้ ดังนั้นผู้อาวุโสเหยียนจึงไม่รู้เลยว่าจะจัดการแม่นางน้อยฝีมือสะเทือนชั้นฟ้าคนนี้อย่างไรดี

ผู้อาวุโสจินที่อยู่ด้านบนทนไม่ไหวอีกต่อไป นัยน์ตาลุกโชนเป็นไฟเดินลงมา “เจ้าเข้าภาควิชานักปรุงยาเป็นไง? ชายแก่คนนี้สอนวิชาที่สั่งสมมาทั้งชีวิตให้กับเจ้าได้ ให้เจ้ากลายเป็นนักปรุงยาที่โดดเด่นที่สุดในแดนมุกหยก!”

ผู้อาวุโสเหยียนเห็นแล้วไม่พอใจจึงแทรกตัวเข้ามา “เจ้าก็ได้ศิษย์หญิงมากฝีมือไปคนหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ? คิดจะฮุบเอายัยหนูนี่ไปอีกคนหรือไร? ไม่โลภมากไปหน่อยหรือ!?”

ผู้อาวุโสจินเผยสีหน้าโกรธขึ้ง “มันจะเหมือนกันได้อย่างไร!? นี่คืออัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุเชียวนะ หากนางมีวิชาแพทย์ย่อมมีอนาคตไร้ขอบเขต ไม่ว่าจะเดินไปทางใดย่อมเปล่งประกาย! มีใครไม่คิดแย่งชิงเด็กฝีมือดีเช่นนี้เล่า!?”

ผู้อาวุโสเหยียนกำลังจะโต้กลับ พลันได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านนอก “ผู้อาวุโสจินกล่าวได้ถูกต้อง เช่นนั้นภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์ก็ขอร่วมสนุกด้วยแล้วกัน”

บุรุษอายุราวสี่สิบ รูปร่างบึกบึนสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามคนหนึ่งเดินเข้ามา “ข้าได้ยินเสียงเอะอะจึงมาดูว่าเกิดเรื่องอะไร กลับกลายเป็นว่ามีอัจฉริยะน้อยปรากฏตัวขึ้น การทดสอบเข้าสำนักปีนี้น่าดูชมจริง ๆ!”

ผู้อาวุโสจินพลันเบิกตากว้างมองอีกฝ่ายด้วยความระแวง รีบแทรกตัวเองเข้ามาระหว่างอีกฝ่ายกับชิงอวี่ “เจ้าเฒ่านี่มาทำอะไรที่นี่กัน?”

“ฮ่า ๆ ผู้อาวุโสจิน เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าใครก็อยากชิงเด็กฝีมือดีเช่นนาง? ข้าเพียงเข้ามาร่วมชิงคนด้วยอย่างยุติธรรมเท่านั้น”

“เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด แม่หนูนี่ตัวน้อยราวตุ๊กตา หน้าตางดงาม ให้นางตกไปอยู่ในมือคนกักขฬะอย่างเจ้ามีแต่จะทำให้บุปผางามโรย เรื่องนี้เจ้าอย่ายุ่งเสียดีกว่า” ผู้อาวุโสจินเอ่ยเย้ยจนเคราพอง

ได้ยินคนอื่นพูดถึงตนเช่นนั้น ชิงอวี่ก็อดยกยิ้มไม่ได้ จากนั้นเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ข้าซาบซึ้งกับความรักที่ท่านอาจารย์ทั้งหลายมอบให้นัก ทว่า….. เกรงว่าข้าคงทำให้พวกท่านผิดหวังแล้ว”

ทุกคนได้ยินก็พลันชะงักไป

นางปฏิเสธหรือ? นี่นับเป็นครั้งแรกที่ศิษย์ปฏิเสธคำเชิญของอาจารย์ แต่หากเป็นแม่นางผู้นี้ก็นับว่านางเก่งจนสามารถวางท่าเย่อหยิ่งเช่นนี้ได้จริง ๆ

บุรุษร่างใหญ่ที่ถูกผู้อาวุโสจินเบียดเข้ามามีสีหน้ากังวลทันควัน “แม่หนู อย่าไปฟังตาแก่จินนั่นเอ่ยวาจาไร้สาระเลย ถึงข้าจะดูหยาบคายไปสักนิด แต่จริง ๆ แล้วใจดีมาก เจ้าน่ารักทั้งยังมากความสามารถ ข้าย่อมไม่ดุเจ้าแน่…..”

ด้วยความตกใจจึงไม่สนเรื่องความสุภาพอีกต่อไป เรียกผู้อาวุโสจินว่าตาแก่ไปเสียแล้ว ส่งผลให้ผู้อาวุโสจินโกรธ ตวัดสายตาคมไปที่อีกฝ่าย

ผู้อาวุโสจินจึงโต้กลับไปไร้ความปรานี “ยัยหนู อย่าไปเชื่อคำเขา เจ้านี่ดุศิษย์หญิงในภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์จนร้องไห้อยู่วันเว้นวัน ขาดวุฒิภาวะและท่าทางที่อาจารย์พึงมี”

พูดจบยังมิวายเอายยกยอตนเองด้วยใบหน้าใสซื่อจริงใจ “เจ้ามาเข้าภาควิชานักปรุงยาของเราดีกว่า ที่นี่เราใจกว้าง ศิษย์ทั้งหลายมีอิสระ ไม่บังคับให้นั่งเคร่งบำเพ็ญเพียรทุกวัน ศิษย์คนโตของข้า ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า นามว่าถานหลินรั่ว นั่นก็อ่อนโยนเป็นมิตรนัก ทั้งยังหน้าตาหล่อเหลา หากเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็ไปหาเขาได้ทุกเมื่อ”

ไม่ใช่เพียงผู้อาวุโสจินที่อยู่ใกล้ที่สุด และอาจารย์จากภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้นที่ได้ยิน แต่เสียงผู้อาวุโสจินนั้นไม่เบาเลย ในห้องนั้นไม่มีใครหูหนวกจึงได้ยินคำเขาอย่างชัดเจน

ว่าอะไรนะ!?

เพื่อจะโน้มน้าวให้เด็กสาวมาเข้าภาควิชาตนเอง ผู้อาวุโสจินถึงกับใช้ความหล่อเหลาของศิษย์คนโตมาล่อลวงอย่างหน้าไม่อายเลยหรือนี่?!!

หากถานหลินรั่วมาเห็นว่าอาจารย์ใช้เขาทำเช่นนี้คงได้ใจสลายเป็นแน่แท้!

ไม่มีใครคิดว่าผู้อาวุโสจินที่มักทำหน้าดำคร่ำเคร่งอยู่ตลอด ไม่ค่อยยิ้มแย้มให้ใคร ภายในจะเป็นชายแก่ไร้ยางอายถึงเพียงนี้

อาจารย์จากภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์พากันตกตะลึงอ้าปากค้างไป แทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ตกตะลึงกับความไร้ยางอายของผู้อาวุโสจินจนนิ่งงันไปนาน

“ไม่บังคับให้นั่งเคร่งบำเพ็ญเพียรทุกวัน” นี่มันหมายความว่าอะไร? อย่าให้บอกเลยว่ายามชายชราเช่นเขาเข้มงวดขึ้นมาแล้วเป็นอย่างไร เจ้านั่นสั่งให้ศิษย์ปรุงยาสิบชุดในหนึ่งวัน ใครทำไม่สำเร็จยังต้องถูกลงโทษอีกด้วย

ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีกหรือ? ชั่วร้ายนัก!

คนอื่น ๆ ได้แต่ยืนมองคนแก่สองคนที่วางท่าสูงส่งที่ทะเลาะกันเพื่อชิงตัวศิษย์อย่างไม่ไว้หน้าใครด้วยความกลัว

คุณพระคุณเจ้า….. พวกเขายืนอยู่กันตั้งอีกกี่คน ผู้อาวุโสทั้งหลายจะมองเมินกันเช่นนี้เลยหรือ?

กระทั่งผู้อาวุโสเหยียนที่เป็นคนใจเย็นยังกระโดดเข้าร่วมวงด้วย แต่วิธีของเขาเฉียบคมกว่านัก เขาเผยยิ้มเป็นมิตรให้ จากนั้นนเอ่ยว่า “แม่หนู ในเมื่อเจ้าเป็นอัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุ พลังบำเพ็ญเจ้าคงไม่ต่ำต้อย ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาอยู่ในภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์”

เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาอาจารย์จากภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์โกรธเป็นฟืนไฟ ผู้อาวุโสจินยังไม่ได้ทันหัวเราะกำชัย ผู้อาวุโสเหยียนก็เอ่ยเป็นคนต่อมา

“แม้อาจกล่าวได้ว่านักปรุงยาช่วยชีวิตคนรักษาผู้บาดเจ็บ ผู้คนต่างสรรเสริญยกย่อง แต่ก็มีข้อเสียขนานใหญ่ เพราะต้องใช้เวลาในการกลั่นการปรุงยานาน เป็นภาระให้ทั้งร่างกายและจิตใจ ฉะนั้นหากเจ้ามายังภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณของเรา เจ้าไม่เพียงได้ฝึกฝนพลังจิตให้แกร่งขึ้น แต่หากต้องการ ในอนาคตเจ้ายังสามารถย้ายไปภาควิชานักปรุงยาได้”

คำของผู้อาวุโสเหยียนชวนเชื่อไม่น้อย เทียบกับผู้อาวุโสจินและอาจารย์คนอื่น ๆ ที่พยายามยกตนขึ้นสูงกดคนอื่นลงต่ำแล้ว ผู้อาวุโสเหยียนแจ้งทั้งข้อดีข้อเสีย ท่าทีเป็นมิตรน่าเข้าหากว่ามาก

“นางไปไม่ภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณหรอก”

ผู้อาวุโสเหยียนที่คิดว่าตนกำชัยมาได้แล้วพลันชะงักไป ก่อนจะหันไปยังต้นเสียงที่ดังขึ้นทำลายสถานการณ์ทุกอย่าง แต่กลับต้องเบิกตาค้างด้วยความตกใจ

ที่หน้าประตูห้องโถงใหญ่มีคนสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งชุดดำคนหนึ่งชุดขาว ดูโดดเด่นทั้งคู่

สีดำเป็นตัวแทนอำนาจเหนือกว่า เป็นที่ผู้คนไม่อาจเพิกเฉยมองเมิน ส่วนสีขาวถูกมองเป็นสีที่อ่อนโยนกว่าที่มักถูกกลืนด้วยสีดำสนิท

แต่ ณ ที่นี้มันกลับไม่ใช่เช่นนั้น ซู่หลีม่อผู้เย่อหยิ่งกลับเดินตามหลังคนที่ทำให้เขาต้องข่มกลิ่นอายตนเองไว้ กลายเป็นตัวประกอบรองฉากไป

คนที่สามารถข่มซู่หลีม่อได้เช่นนี้คือใครกันแน่?

จนเมื่อชายหนุ่มทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ นอกจากเหล่าผู้เข้ารับการทดสอบที่ยังเด็กนักไม่รู้ความแล้ว คนอื่น ๆ ก็พากันอ้าปากส่งเสียงตกใจนัยน์ตาเบิกกว้าง

ศิษย์ที่โชคดีเคยเห็นใบหน้าบุรุษผู้นั้นมาก่อนพากันน้ำตาเจิ่งนอง “นี่ข้า….. ได้มีโอกาสเห็นเขาอีกครั้งหนึ่ง…..”

คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องพากันสงสัยนัก “เขาเป็นใครหรือ?”

บุรุษหนุ่มอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ รูปร่างสูงเรียว ผมสีดำยาวไม่มีผ้ามัดไว้ ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ดูราวกับเพ้อฝันไปเล็กน้อย หากก็เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลานัก

เบื้องล่างคิ้วคมคือนัยน์ตาอ่อนโยนคู่หนึ่งที่ส่องประกายคล้ายแสงดาว จมูกโด่งเป็นสัน ตามมาด้วยริมฝีปากสีพลัม เสริมให้ใบหน้าอ่อนโยนดูงดงามขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังแผ่กลิ่นอายลึกลับ

กลิ่นอายจากบุรุษผู้นี้แผ่ออกมาราวกับเขาเป็นภาพลวงตาที่ไม่อาจเข้าใจได้ แม้จะยืนอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงการมีอยู่

ไม่ว่าจะเป็นเมื่อสิบปีก่อนหรือสิบปีถัดมา คนผู้นี้ก็ยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนลวงคนประดับหน้า หากแต่มันเป็นรอยยิ้มที่คนทั้งสำนักต่างหวาดกลัวนัก

ผู้อาวุโสจินสีหน้าแข็งค้างไป ไม่รู้ตัวว่าตนเอ่ยเสียงแข็งออกมา “เจ้ากลับมาจริงหรือนี่…..”

เฟิ่งเทียนเหิงเงียบดูเด็กสาวที่หันหลังมา นัยน์ตาเย้ายวนสบเข้ากับนัยน์ตาคู่นั้นของเขาพอดิบพอดี

ความรู้สึกนั้นกลับมาอีกแล้ว เป็นความรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่ฝังลึกถึงกระดูก เสียงหนึ่งกระซิบบอกเขาว่าเขาต้องคว้านางมาให้จงได้ แม้จะไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากที่ใด แต่แปลกนักที่เขาไม่อาจคุมอารมณ์ปีติยินดีในใจได้เลย

และมีหรือที่สายตาเร่าร้อนเช่นนั้นจะรอดพ้นจากสายตาชิงอวี่ไปได้?

แต่คนตรงหน้านางไม่คุ้นตาเอาเสียเลย นางมั่นใจว่านางไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แต่เหตุใดเขาจึงจ้องนางราวกับ….. ราวกับว่ากำลังจ้องเหยื่อเช่นนั้นเล่า…..

ไม่นาน เฟิ่งเทียนเหิงก็เปลี่ยนสายตากลับมาอ่อนโยนอีกครั้งหนึ่ง ราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงเท่านั้น

แม้ผู้อาวุโสเหยียนจะเกรงเขาอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนไม่กี่คนที่อย่างน้อยก็กล้าโต้ตอบเขากลับ พอเขากลับมาก็เข้ามาขัดผู้อาวุโสเหยียนเรื่องการรับศิษย์ทันใด นี่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?

“เจ้าบอกว่าแม่หนูจะไม่เข้าภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ มันหมายความว่าอย่างไร?” ผู้อาวุโสเหยียนถามด้วยใบหน้าไม่เป็นมิตร

เฟิ่งเทียนเหิงไม่เผยอารมณ์ไม่พอใจต่อผู้อาวุโสเหยียน เพียงแต่ส่งเสียงหัวเราะอารมณ์ดีออกมา “จะให้อัจฉริยะที่มีพลังวิญญาณขั้นสูงสุดไปเข้าร่วมภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ ท่านอยากให้นางชิงเอาตำแหน่งอาจารย์ของท่านไปงั้นหรือ?”

ว่าแล้วก็หันมามองชิงอวี่ ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม