ชิงอวี่ขมวดคิ้ว ก่อนหลบจากสายตาที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

คำพูดเดียวจากชายหนุ่มผู้นั้นกลับทำให้ใจทุกคนราวกับจะระเบิด พลังวิญญาณขั้นสุดหรือ? นี่มันเรื่องน่าขันอะไรกัน?!

กระทั่งอาจารย์ที่เก่งกาจที่สุดในภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณยังมีพลังวิญญาณอยู่ระดับ 9 โดยสุดที่ระดับ 10 ใครก็ตามที่ได้ระดับ 7 นับว่ามีพรสวรรค์ล้นเหลือแล้ว

แต่เมื่อครู่เขาว่าไว้อย่างไร? พลังวิญญาณของเด็กสาวถึงขั้นสุดแล้ว!?

ผู้อาวุโสเหยียนยังหน้าตาตกตะลึง เปิดปากถามเด็กสาวตรงหน้าขึ้น “ให้ข้าได้ประเมินพลังเจ้าได้หรือไม่?”

ชิงอวี่ชะงักเล็กน้อยก่อนผงกหัว

แม้นางจะไม่รู้ว่าตนเองมีพลังวิญญาณในระดับใดกันแน่ในโลกนี้ แต่นางคิดว่ามันก็คงเหมือนกับพลังจิตกระมัง

นักปรุงยาจำเป็นต้องมีความเข้มแข็งทางใจเพื่อใช้ในการปรุงยา อย่างที่ผู้อาวุโสเหยียนว่าไว้ หากนักปรุงยาเสียพลังจิตไปนับว่าเรื่องใหญ่มาก แต่นางไม่เคยอยู่ในสถานะนั้นมาก่อน

เมื่อเด็กสาวตอบตกลงแล้ว ผู้อาวุโสเหยียนก็พลันมีใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะหยิบสิ่งที่คล้ายกับโคมไฟขึ้นมาขึ้นมา ใส่พลังวิญญาณลงไป ก่อนที่ใจกลางโคมจะสว่างขึ้น ส่องลำแสงทองสว่างไปยังกลางหน้าผากเด็กสาว

พริบตาต่อมา ลำแสงก็กลับไปอยู่ในโคม ก่อนจะก่อร่างขึ้นเป็นแผ่นภาพสีทองกลางอากาศ เผยให้เห็นคำหลายบรรทัด

พลังวิญญาณ: ขั้นสูงสุด

พลังยุทธ์: ขั้นสูงสุด

การบำเพ็ญหลัก: นักปรุงยา ขั้น ไม่ระบุ – ไม่อาจประเมินได้

เพียงเท่านั้นก็ทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง เด็กสาวเป็นนักปรุงยาหรือ!

นักปรุงยาที่มีระดับพลังวิญญาณและพลังยุทธ์ขั้นสุดเสียด้วย?!

แม้ทั่วแดนจะมีนักปรุงยามากหน้าหลายตา แต่ส่วนมากจะเชี่ยวชาญเฉพาะวิชานักปรุงยา ไม่เชี่ยวชาญด้านอื่นอีก ผู้ที่ฝึกทั้งการยุทธ์และการแพทย์นั้นหาได้ยากมาก มีจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้น

จะมีใครคาดคิดว่านางจะมากด้วยพรสวรรค์จนทำให้คนเกลียดชังอิจฉาได้เช่นนี้? เป็นอัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุแล้ว ยังมีทั้งพลังยุทธ์และพลังวิญญาณอยู่ในระดับสูงสุดอีก!

“ข้าคนฝันไปแน่ ๆ…..” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มารับการทดสอบหยิกแขนตนเองแรง ๆ เจ็บจนกัดฟัน น้ำตารื้นขอบ “นี่เรื่องจริงหรือ? ข้ามาเข้าร่วมการทดสอบกับคนฝีมือเข้าขั้นเซียนเช่นนี้เลยกระนั้นหรือ เหมือนฝันเลย”

พวกเขาทั้งหลายก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มเด็กสาวเท่านั้น เหตุใดจึงมีคนฝีมือโดดเด่น แต่เขากลับธรรมดาสามัญถึงเพียงนี้เล่า?

“แม่หนู เจ้าเป็นนักปรุงยานี่เอง!” ผู้อาวุโสจินที่ตะลึงค้างไปนานได้สติในที่สุด ยามเอ่ยยังไม่อาจเก็บงำความดีใจไว้มิด “เช่นนั้นก็ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว ไม่เห็นหรือว่านางเป็นนักปรุงยา? พวกเจ้าคนอื่นไม่ต้องมาเถียงกับข้าแล้ว”

“ผู้อาวุโสจินอาจจะสับสนอยู่บ้าง” เฟิ่งเทียนเหิงเอ่ยเสียงเบา “นักปรุงยาที่ไม่อาจประเมินระดับได้ ท่านแน่ใจหรือว่าท่านยังจะมีความรู้อะไรมอบให้นางได้อีก?”

ชายหนุ่มลึกลับหน้าตาหล่อเหลาดึงเอาความสนใจจากทุกคนไปอีกครา

ใครกันแน่ที่กล้าเสียมารยาทกับผู้อาวุโสแห่งสำนักซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ได้?

ผู้อาวุโสจินได้ยินแล้วก็เผยแววตาโกรธ “เจ้าจะสื่ออะไรกันแน่? นี่คือการทดสอบเข้าสำนักละอองหมอก เจ้าจะออกมาสร้างปัญหาเพื่อกระไร?!”

“ออกมาสร้างปัญหา?” เฟิ่งเทียนเหิงเลิกคิ้ว นัยน์ตายวนเสน่ห์เป็นประกาย

เขามองเด็กสาวที่ดูจะระแวดระวังเขาไม่น้อยพลางยกยิ้มน่ามองที่มุมปาก จากนั้นเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้าควรจะแนะนำตัวสินะ ข้ามีนามว่าเฟิ่งเทียนเหิง”

ชิงอวี่กะพริบตาประหลาดใจ ชื่อนี้….. เหมือนเคยได้ยินมาก่อน?

“เฟิ่งเทียนเหิง? ใช่ศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักละอองหมอกหรือไม่?!”

“ไม่หรอกกระมัง! นี่ข้าได้เห็นเขาตัวเป็น ๆ อยู่หรือ?!”

“ได้ยินมาว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาพิเศษ สิบปีก่อนสำนักละอองหมอกไม่เคยมีภาควิชานี้ เป็นเฟิ่งเทียนเหิงที่เอ่ยปากแนะนำ”

“สวรรค์! วันนี้โชคดีจริง! ไม่เพียงได้เห็นเด็กมีพรสวรรค์สูงส่ง แต่ยังได้เห็นศิษย์ในตำนานของสำนักละอองหมอกที่ว่ากันว่าไม่เคยเผยตน!”

“ที่สำคัญ….. ยังมีหน้าตาหล่อเหลานัก…..” คำเหล่านี้ แน่นอนว่าออกมาจากปากเด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนของอีกฝ่ายลวงเข้า

เฟิ่งเทียนเหิงไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ที่ส่งมารอบกายแล้วเดินเข้าไปอีกสองก้าว เขาตัวสูงนัก สูงกว่าชิงอวี่ที่ก็นับว่าค่อนข้างสูงแล้วถึงหนึ่งช่วงศีรษะ และเมื่อยืนอยู่ใกล้นางเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงก้มหัวลงแล้วจ้องมายังนางเป็นพิเศษ “ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้าสนใจจะเข้าร่วมภาควิชาพิเศษหรือไม่ ข้าว่าเจ้าต้องสนใจวิชาเชิดหุ่นของข้าเป็นแน่”

ใครที่หูไม่หนวกในที่นี้ ย่อมต้องได้ยินสิ่งที่เฟิ่งเทียนเหิงเอ่ยทั้งสิ้น

คนคนนี้เต็มใจถ่ายทอดวิชาเชิดหุ่นให้คนอื่นจริงหรือ?

กระทั่งศิษย์คนอื่น ๆ ในภาควิชาพิเศษยังไม่ได้รับเกียรตินี้เลยด้วยซ้ำ เฟิ่งเทียนเหิงนั้นไม่ใช่คนใจเย็นสุขุมท่าทางใสซื่ออย่างที่มองภายนอก ใครมองมาไม่กลัวเขาแทบสิ้นสติบ้าง? กระทั่งซู่หลีม่อผู้เย่อหยิ่งยังกลายเป็นลูกแมวเชื่อง ๆ ได้เลย

ดูท่าเขาตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรก็ต้องชิงตัวเด็กสาวมาให้ได้

การได้คนที่ทรงพลังและหล่อเหลาอย่างเฟิ่งเทียนเหิงมาเป็นพี่ใหญ่ ใคร ๆ ต่างคิดว่าเด็กสาวคงจะใจฟูมีความสุขเป็นยิ่งนัก เพียงแต่เล่นตัวไปอย่างนั้น ไม่ยอมรับคำทันที

แต่กลับไม่คิดว่าชิงอวี่จะมีท่าทางสงบนิ่งยามได้ยินคำ อีกทั้งยังถอยไปก้าวหนึ่งยามอีกฝ่ายก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง ใบหน้าไม่พอใจอยู่เล็กน้อย จากนั้นเอ่ยตอบว่า “ข้าจะลองเก็บกลับไปคิดดู”

ทำเอาคนอื่น ๆ เกือบกระอักเลือด

นางตอบเช่นนี้งั้นหรือ? เด็กสาวคนนี้มีตรงไหนผิดปกติหรือไม่!?

นี่ไม่ใช่เวลามาแสร้งปล่อยเพื่อจับนะ! หากล่วงเกินเฟิ่งเทียนเหิงเข้าก็อาจเสียโอกาสไปเลยก็ได้! แม้จะเป็นอัจฉริยะ อย่างน้อยก็ต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นใครไม่ใช่หรือ?!

เฟิ่งเทียนเหิงไม่ขุ่นเคืองใจกับคำนาง เพียงแต่กดรอยยิ้มให้ลึกขึ้นเล็กน้อย “ย่อมได้ เจ้าเข้ามาลองดูอยู่สักหลายวันเพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ก่อนจะตัดสินใจก็ยังได้ แต่หากข้าจะขอถาม เหตุใดเจ้าจึง….. ดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไรกัน?”

หรือเขาจากไปนานเกินไป ไม่เข้าใจจิตใจเด็กสาวเสียแล้ว? เขากลายเป็นคนน่าชังไปแล้วหรือไร? เขาไม่พลาดได้เห็นแววรังเกียจในนัยน์ตาเด็กสาว อีกทั้งยังเห็นว่ามันน่าสนใจดีอีกด้วย

ได้ยินดังนั้นชิงอวี่ก็ขมวดคิ้วอีกครา จากนั้นจึงเอ่ยตอบ “ดูท่าทางแล้ว ท่านดูเหมือนไม่ใช่คนดีอะไร”

ซู่หลีม่อที่ยืนอยู่ด้านหลังเกือบกลั้นขำไม่อยู่ แต่ด้วยห่วงหน้าพี่ใหญ่ เขาจึงพยายามข่มกดมันไว้ นับเป็นเรื่องน่าขันที่สุดที่เขาได้ยินมาในปีนี้เลยทีเดียวเชียว

พี่ใหญ่ดูเหมือนไม่ใช่คนดีอะไร….. บอกได้เลยว่าแม่นางน้อยผู้นี้สายตาเฉียบแหลมนัก!

พี่ใหญ่ของเขาเป็นตัวอย่างของคนหน้าซื่อใจคดที่ดีที่สุดเลยเจ้ารู้หรือไม่?

เขาไม่เผยความโกรธให้ใครเห็น ยามโกรธก็จะยังยิ้มดังเคย ไม่มีทางรู้อารมณ์เขาได้เลย สวรรค์! ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการที่บุรุษผู้นี้จ้องหน้าแล้วยิ้มอ่อนโยนให้เจ้าแล้ว!

แต่เด็กสาวพ่นคำพูดเหล่านั้นใส่หน้าเขาตามตรงเช่นนี้….. พี่ใหญ่จะสังหารนางทิ้งด้วยความโกรธเพราะเสียหน้าหรือไม่หนอ…..

แต่มหัศจรรย์นัก เฟิ่งเทียนเหิงเพียงมีสีหน้าไร้หนทางอยู่เล็กน้อย แต่ไม่กล่าวอะไรเพิ่มอีก

ผู้อาวุโสจินและคนอื่น ๆ ได้แต่มองอย่างไม่พอใจที่เฟิ่งเทียนเหิงชิงตัวศิษย์อัจฉริยะที่นานทีปีหนจะมีมาสักครั้งออกไปจากกำมือพวกเขา

แต่จะให้ทำอะไรได้? กระทั่งท่านเจ้าสำนักยังต้องยอมให้เขา แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้อีก?

ยามมองภาพที่ชิงอวี่เอ่ยคำแล้ว จู่ ๆ หมิงอีอีพลันรู้สึกเหมือนมีคนเอามือมาวางที่ไหล่ เมื่อหันไปก็พบกับชายหนุ่มใบหน้าเยือกเย็นหล่อเหลา นางคลี่ยิ้มออกมาทันที “ท่านพี่”

“อีอี รู้จักเด็กสาวคนนั้นหรือ?” หมิงจิ้งสังเกตท่าทีนางมาตลอด ย่อมรู้ว่าอีอีไม่เคยใส่ใจคนอื่นมาก่อน แต่ท่าทางของนางบ่งบอกว่านางรู้จักกับเด็กสาวคนนี้

“ท่านพี่ นางเป็นสหายข้าเอง” หมิงอีอีเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม มือน้อยเอื้อมจับแขนเขาไว้ “ท่านดู มือข้าไม่เย็นแล้ว”

มือนางจับแล้วมีไออุ่น

หมิงจิ้งชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง พลันเบิกตากว้างถามขึ้น “อีอี เจ้าหายแล้วหรือ?”

“ยังมิใช่” หมิงอีอีส่ายหน้า จากนั้นหันไปทางเด็กสาว “ตอนนั้นนางช่วยข้าไว้ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าข้าคงไม่ได้มาพบท่านพี่ อาการพิษเยือกแข็งคงกำเริบอยู่”

หมิงจิ้งสายตาแปรเปลี่ยน “นางเก่งวิชาแพทย์มากเลยหรือ?”

“ถูกต้อง นางไม่เหมือนพวกนักปรุงยาที่ท่านพี่พามา เอาแต่ฝังเข็มกับจัดยานับไม่ถ้วนให้ข้า พวกเขาลองสิ้นทุกสิ่งอย่าง แต่กลับไม่ช่วยอะไรเลย แต่นางมหัศจรรย์มากท่านพี่” รอยยิ้มของหมิงอีอีพลันแข็งขึ้น “หากไม่ได้นางหยุดข้าที่คิดดื่มเลือดงูทรายสีเลือดไว้ ข้าก็คงกลายเป็นปีศาจกระหายเลือดไปแล้วกระมัง”

“เหตุใดเจ้าจึงโง่งมเช่นนั้นกัน? โชคดีที่เจ้าไม่ได้ลงมือทำเรื่องโง่เง่าลงไปจริง ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว!” หมิงจิ้งเอ็ดนางเสียงเบา แค่คิดก็นึกกลัวแล้ว

หมิงอีอีพลันคว้าแขนเสื้อเขาไว้แล้วดึงมันเบา ๆ เอ่ยน้ำเสียงเว้าวอน “แต่สุดท้ายข้าก็ไม่ได้ทำนี่? ท่านพี่อย่าโกรธข้าอีกเลย”

หมิงจิ้งมองนางไม่เอ่ยคำ แต่กลับถอนหายใจออกมาแทน

การทดสอบจบลงก่อนเวลาเที่ยงวันพอดิบพอดี จากคนห้าถึงหกร้อยคน ผ่านเข้ามาได้เพียงห้าสิบเท่านั้น เป็นจำนวนเท่ากับที่ทางสำนักเคยกล่าวไว้

เคราะห์ดีคือเยี่ยนซีอู่และเยี่ยนซีโหรวที่ไม่คิดหวังกลับสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างไม่คาดคิด ครั้งนี้นับว่าพวกนางคล้ายแมวตาบอดเดินเหยียบซากหนูโดยแท้ คงได้ใช้โชคที่มีไปจนสิ้นแล้ว

คนที่ผ่านการทดสอบจะกลายเป็นศิษย์ทันที แต่หลังผ่านการทดสอบวันนี้ไปแล้ว อีกสองวันจะมีการจัดงานต้อนรับศิษย์ใหม่ขึ้น

ดังนั้นครึ่งวันที่เหลือจึงปล่อยให้เหล่าศิษย์ใหม่เดินทำความคุ้นเคยกับสถานที่ที่ตนกำลังจะมาอาศัยอยู่

คนส่วนมากเลือกรั้งอยู่ภายในสำนัก แต่ส่วนหนึ่งกลับคิดว่าวันข้างหน้าต้องหดหู่เซื่องซึมมากเป็นแน่ จึงถือโอกาสนี้ออกไปหาความสำราญใจ เพราะจากนี้ไปกว่าจะได้ออกมาก็อีกนาน

แม้ที่พักของศิษย์สำนักสำนักละอองหมอกจะไม่หรูหราเท่าที่บ้านของหนุ่มสาวทั้งหลาย แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย สะอาดเป็นระเบียบ สภาพแวดล้อมดียิ่ง

ห้องหนึ่งพักได้สี่คน ไม่อึดอัดเกินไป ในห้องกว้างขวางพอสมควร ไม่รู้ว่าหมิงอีอีบอกหมิงจิ้งไว้อย่างไร แต่นางได้อยู่เรือนเดียวกับชิงอวี่ เตียงข้างเคียงกันเลยด้วยซ้ำ

เด็กสาวอีกสองคนเกือบจะไม่รอดผ่านเข้าสำนักมา คนหนึ่งเข้าภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์ อีกคนหนึ่งเข้าภาควิชานักปรุงยา เมื่อได้เห็นชิงอวี่ก็ตาเป็นประกายแรงกล้า ประหลาดใจนักที่ได้อยู่ร่วมห้องกับอัจฉริยะเช่นนาง คนอื่น ๆ ต้องอิจฉาตาร้อนแน่

ชิงอวี่มองดูรอบ ๆ ห้องก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง เปิดมันออกครึ่งหนึ่ง พลันพบกับใบหน้าคนคุ้นเคยที่ก็ผลักหน้าต่างเปิดออกมาพร้อมกันพอดี ทั้งสองคนเห็นอีกฝ่ายแล้วก็เป็นต้องชะงักค้างไป