ตอนที่ 162 อันใดล่องลอยในห้วงนภา

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“แค่กแค่ก พวกเจ้าคิดกลอนจากหิมะ ข้าเองก็จะใช้หิมะขึ้นต้น ให้ทุกคนได้ลิ้มชิมรสชาติ” ฉินจิ่วเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังอย่างสม่ำเสมอ

เถี่ยฉุยแค่นเสียงเหอะคราหนึ่ง ร่างอันสูงใหญ่ของมันแกว่งไกวไปมา “ดี ดูซิว่ามะเขือเผาอย่างเจ้าจะมีหน้าท่องกลอนเลิศล้ำใดออกมาได้”

“คอยดูแล้วกัน ยังไงต้องเจ๋งกว่าของเจ้า!” เจ้าเป้าชี้นิ้ว ยืนจังก้าท้าทายอีกฝ่ายราวออพติมัส ไพร์ม

ฉินจิ่วเกอกระแอมไอออกมาสองที จากนั้นชี้นิ้วขึ้นฟ้า ทำหน้าคล้ายกำลังลุ่มหลงเมามาย

นิ้วมือขาวผ่องประดุจหยกชี้ไปทางหิมะที่ปลิวตกจากฟ้า ท่ามกลางโลกสีเงิน พลันสีสันที่ชวนให้ผู้คนจิตใจกระปรี้กระเปร่าเบิกบานขึ้นมา

“อันใดล่องลอยในห้วงนภา ข้างบูรพาไหลมาประจิม”

กล่าวจบ ฉินจิ่วเกอก็ชักกระบี่ออกจากฝัก กวาดตามองไปรอบด้านด้วยจิตใจอันเลื่อนลอย เอ่ยรำพึงออกมาสองท่อน ไอขาวลอยจากปากปะปนไปกับเกล็ดหิมะจนเกิดประกายสวยงาม

นัยน์ตาคู่งามของไป๋หลี่ชิงเฉิงเกิดประกายสว่างขึ้นวูบ นางสวมอาภรณ์สีสด ท่อนแขนขาวผ่องดุจใยบัวกอดอยู่บนผีผาหยก ยืนอยู่บนอาคารสีแดงสูงเก้าชั้นท่ามกลางลมเหนือที่พัดโชย

ดวงตาคู่งามดุจหินมีค่าหมุนวนเล็กน้อย แพขนตาเจ็ดสีระริกไหว ยิ่งเพิ่มพูนความสนใจต่อคุณชายที่ร่ำกลอนบนเวทีผู้นั้นอย่างปิดไม่มิด หรือก็คือฉินจิ่วเกออย่างไม่วางตา

ทุกคนตะลึงงัน ตามองไปที่เจี๋ยชางผู้กำลังโบกพัดขาวในมือไหวๆ

เจี๋ยชางเองก็เบิกตาโต ก่อนที่พริบตาต่อมาจะปรบมือชมเปาะ “บทกวีอันประเสริฐ เข้าถึงประเด็น รัดกุมชัดเจน เต็มไปด้วยสีสัน ชี้ชวนให้คิดตาม”

จวงฟานเองก็ได้สติ ไม่ว่าฉินจิ่วเกอจะแต่งกลอนอะไรก็ตาม ต่อให้มันแต่งกลอนแม่ไก่ออกวางไข่อะไรเทือกนั้น ตนในฐานะที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน ก็ยังต้องคอยสนับสนุนไปจนสุดทาง

“กินใจจริงๆ บทกวีสองท่อนนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก สั่นคลอนจิตใจผู้คนจนถึงแก่น จากที่ข้าดู ท่อนต่อไป ต้องเป็นกลอนเจ็ดสี่วรรคแน่ๆ !” จวงฟานทำหน้าด้าน จากที่ตอนแรกยังหน้าขึ้นสี แต่ก็ถูกความเย็นจากหิมะแช่แข็งไป จึงไม่ปรากฏออกมา

“อืม แต่งได้ดี” หลงเฟิงเอ่ยห้วนสั้น

เจ้าเป้าและเจี๋ยชางต่างปรบมือชมเปาะ บรรดาตระกูลใต้สังกัดเขาพิรุณเซียนและค่ายพรรคเดชมารเองก็ปรบมือส่งเสียงเชียร์ตามกันไป ราวกับว่าบทกวีของฉินจิ่วเกอนั้นช่างประเสริฐเพริศแพร้วอย่างแท้จริง

“แค่กๆ จักรพรรดิหยกปิดตำหนักทอง ตะแกรงกรองร่อนปูนขาว”

ฉินจิ่วเกอเหมือนคางคกที่เมาหัวราน้ำ จมอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ เสพสุขไปกับความสำเร็จของตัวเอง จนศีรษะเอนไปเอียงมา

วินาทีนั้น จะกลั่นดวงธาตุหรือกฎสรรพสิ่งอะไรก็ตามแต่ ล้วนเป็นเหมือนปุถุชนทั่วไปภายในโลกของมัน

มีแต่ตัวฉินจิ่วเกอเอง ที่เป็นเทพเซียนผู้อยู่เหนือมวลมนุษย์ ผู้ที่เข้าใจความสง่างามของธรรมชาติแต่เพียงผู้เดียว

“อันใดล่องลอยในห้วงนภา ข้างบูรพาไหลมาประจิม จักรพรรดิหยกปิดตำหนักทอง ตะแกรงกรองร่อนปูนขาว”

ทุกคนเอ่ยทวนบทกลอนของฉินจิ่วเกอ ทันใดนั้นใบหน้าก็ต้องเปลี่ยนสีกลับกลาย บ้างก็เป็นสีแดงสีเหลือง บ้างก็เป็นสีขาวสีดำ บ้างก็เป็นสีเขียว หรือไม่ก็ฟ้า สรุปคือไม่เหมือนกันสักราย

เหมือนดื่มชาโรยน้ำแข็งในหน้าหนาว กระดกชาร้อนกลางทุ่งทะเลทราย เกิดความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวจนยากหายใจ เหงื่อเย็นแตกกระซิกท่วมทั่ว

เดิมทียังหลงนึกว่าฉินจิ่วเกอผู้มีความมั่นใจเปี่ยมล้นจะมีทักษะอันเลิศภพจบแดนเก็บงำไว้ ไป๋หลี่ชิงเฉิงๆ เองที่ยังเผลอให้ความสนใจแก่อีกฝ่าย จดจ้องมองมันกว่าผู้ใดอยู่ชั่วครู่ ใครจะคาดว่าเมื่อท่องกลอนออกมาเต็มวรรคแล้วกลับกลายเป็นกลอนเต็มกลืนแบบนี้

ไป๋หลี่ชิงเฉิงผิดหวังครั้งใหญ่ ความประทับใจที่มีต่อฉินจิ่วเกอพลันร่วงหายไปในโพรงน้ำแข็ง นัยน์ตาหงส์ของนางเลื่อนออกจากตัวมัน ไม่คิดเหลือบแลสนใจอีก

ฉินจิ่วเกอฉีกยิ้มมุมปากเมื่อรับรู้ว่าสายตาจากบนอากาศได้ถอนไปจากตัวมันแล้ว จึงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

หลงเฟิงทำหน้าเหมือนเพิ่งกลืนแมลงวันปีศาจหัวแดงลงไป จึงถูกฉินจิ่วเกอเตะเข้าให้สองเท้า “อะไร ข้าแต่งได้ไม่ดีรึไง? พวกมันมีกันตั้งสี่คน ยังรวมหัวกันแต่งออกมาได้ท่อนเดียว ฝั่งเราข้าคนเดียวกลับแต่งได้จนจบ นี่ยังดีไม่พออีกหรือไง? ”

เจ้าเป้าทำหน้าปั้นยาก มันหรี่ตาทวงถาม “พี่ฉิน ไหนเล่าวลีทองคำ บทกวีเลิศภพจบแดน? ”

จวงฟานผงกศีรษะเห็นพ้อง ยกมือถูชายเสื้อด้วยความกระอักกระอ่วน “บทนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“บอกไว้ก่อน ข้าเป็นพวกอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย หากได้ยินใครกล่าวโทษข้าอีก ระวังจะได้แตกหักกับข้ามันตรงนี้” หยุดแล้วกล่าวเสริม “อีกอย่าง เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนคือท่านลุงข้า ประมุขตระกูลจวงคือพี่น้องร่วมสาบานข้า”

“แค่กๆๆ ” ทุกคนไอค่อกแค่ก แทบร่วงลงไปกองกับพื้น พร้อมใจกันเลิกเอ่ยถึงบทกวีของฉินจิ่วเกออีก

เอาเถอะ พวกข้าเห็นเจ้ามิอาจตอแยด้วยง่ายๆ หรอกนะ แต่มาทำเหมือนตัวเองแต่งบทกวีระดับอภิมหากาพย์กลอนอย่างนี้ ดูท่ากลับไปคงต้องล้างรูหูให้ดีเสียแล้ว

การปะทะกันระหว่างฉินจิ่วเกอและเถี่ยซานพร้อมพรรคพวกเป็นเพียงตัวชูโรงให้กับงานพิธีสำคัญในวันนี้เท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเฉยๆ

พิธีการหลักของวันนี้ ต้องรอให้ไป๋หลี่ชิงเฉิงเป็นผู้ประกาศหัวข้อเงื่อนไขเสียก่อน เมื่อนั้นศึกนองเลือดถึงจะเริ่มต้นได้

โฉมงามระดับนี้ เป็นได้ทั้งนางเซียนหรือนางมาร ทั้งยังไม่ต่างจากความตายหรือชั่วร้ายดีงามบนโลก

ปุถุชนทั่วไป ย่อมไม่อาจควบคุมยับยั้ง ไม่ว่าจะเป็นมุกทะเลบูรพา หยกที่เจียระไนจากศิลาแข็ง หรือใช้สมบัติทุกชิ้นบนโลก ก็ไม่มีทางนำมาเทียบกับความงามของสตรีนางนี้ได้

แค่ได้ยลความงามของนางเพียงชั่ววูบ ศิษย์สำนักที่ขาดความมั่นใจ ก็จะเกิดความละอายในรูปลักษณ์ของตัวเอง จนต้องปลีกตัวจากไปอย่างเงียบๆ ไม่กล้ารั้งอยู่ต่ออีก

ผู้ที่กล้ารั้งอยู่ใต้อาคาร มีใครบ้างที่ไม่ใช่ยอดอัจฉริยะหรือตระกูลขุมกำลังทรงอำนาจที่มีที่ยืนอยู่ในเมืองเทียนเอิน มีเพียงพวกมันเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติให้ร่วมการคัดเลือกสุดท้าย

สถานที่กลายเป็นเงียบสงบลงทีละน้อย และเกิดการแบ่งฝักเป็นฝ่ายออกเป็นสองพวกอย่างชัดเจน พวกแรก คือศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวผู้มีใบหน้างามประดุจหยก ความหล่อค้ำคอผู้คนที่กำลังยืนอย่างหน้าไม่อายอยู่ข้างหน้าสุด

พวกที่สอง ประกอบไปด้วยหลงเฟิงจวงฟานพร้อมพรรคพวก ยืนขนาบซ้ายขวาเยื้องมาข้างหลัง ศิษย์ของเขาพิรุณเซียนและค่ายพรรคเดชมารก็อยู่ไม่ห่างไปเท่าใด

อีกกลุ่ม คือสี่พี่น้องตระกูลเถี่ยอันเป็นตัวแทนของพรรคทรราช พร้อมศิษย์ผู้ติดตามอีกไม่น้อย แผ่รัศมีความแข็งแกร่งไม่ต่ำทรามออกมา เรือนร่างกำยำดั่งเหล็กไหลของพวกมันช่างดูน่าข่มขวัญ

ไป๋หลี่ชิงเฉิงยืนอยู่เพียงลำพังบนมุมหลังคาที่โผล่พ้นตัวอาคารสูงออกมาเล็กน้อย นิ้วหยกพาดอยู่บนสายผีผา เปล่งเสียงใสกระจ่างออกมา “วีรชนทุกท่าน ผู้น้อยขอเอ่ยวาจาสักสองสามประโยคได้หรือไม่”

“ย่อมได้อยู่แล้ว ใครที่กล้าเห็นต่าง พวกเราสี่พี่น้องจะเด็ดหัวสุนัขมันออกมา แล้วเอาไปแขวนไว้บนประตูเมืองซะ” เถี่ยซานประกาศกร้าว แววตาดุร้ายกวาดส่องไปรอบด้าน

ทุกคนรู้สึกเหยียดหยันอยู่ลึกๆ แต่ทันทีที่สายตาดุดันของเถี่ยซานกวาดมาทางนี้ พวกมันเป็นต้องล่าถอยไปหลายก้าว ในใจยังสั่นสะท้านไม่หาย

ฉินจิ่วเกอตอนนี้จิตใจนิ่งสงบ ไม่เหลือบแลชมความงามของไป๋หลี่ชิงเฉิงอีก ในใจคิดเพียงว่าอีกฝ่ายมีเป้าหมายอะไรกันแน่ เพราะมันสัมผัสได้ว่าในอาคารมีผู้ฝึกวิชาปีศาจดำรงอยู่

“ฮิฮิ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงเอนกายหัวเราะเล็กน้อย ส่งสายตาเป็นเชิงขอบคุณมาทางเถี่ยซานเสี้ยววูบ

แต่ประกายสายตาเสี้ยววูบนี้ ราวกับหนังวัวที่ไม่อาจเป่าทำลายหรือดึงคลายออกได้ ทำเอาเถี่ยซานขาอ่อนยวบ แม้แต่ดวงวิญญาณก็แทบปลิวออกจากร่าง

“เรื่องก็คือ ผู้น้อยบังเอิญพบสุสานแห่งหนึ่งเข้าทางตะวันออกของเหมิงซาน ข่ายปราณในสุสานแห่งนี้ยังอยู่ในสภาพดี พันธนาการยังอยู่ในสภาพใช้การได้ สมควรเป็นมรดกตกทอดจากเมื่อแสนปีก่อน และน่าจะมีมูลค่ามากทีเดียว”

ฉินจิ่วเกอเบิกตากว้าง ใจสั่นสะท้าน ที่แท้เป้าหมายของอีกฝ่ายก็คือสุสาน!

ด้วยนามของสุสานและมรดกภายใน จึงดึงดูดเหล่าผู้ฝึกตนให้เข้าไปในมิติเอกเทศนั้น ก่อเกิดการนองเลือด และหลบหนีเมื่อเสร็จเรื่อง เรื่องทำนองนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินจิ่วเกอเคยประสบมา ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่เป็นตัวต้นเรื่องในตอนนั้น หากไม่ได้อาวุโสใหญ่สอดมือเข้ามาช่วยไว้ก่อน คงจะไม่มีใครขัดขวางมันได้อีก

และวันนี้ภายในเมืองเทียนเอินประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย!

ศิษย์อัจฉริยะทุกคนในที่นี้ต่างก็มาจากตระกูลมีชื่อ ปูมหลังทรัพยากรไม่ขาดแคลน เพื่อการยกระดับของพวกมัน ศิลาวิญญาณทรัพยากรส่วนใหญ่ของตระกูลล้วนแจกจ่ายให้หมดสิ้น คนเหล่านี้จึงไม่ให้ความสำคัญกับของจำพวกขุมสมบัติเท่าใด

ส่วนผู้ฝึกยุทธ์อิสระ ที่นี่ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่สถานที่อย่างสุสานโบราณย่อมต้องมีการเข่นฆ่าแย่งชิงกันเอง ดังนั้นถึงจะเกิดความสนใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกนอกหน้า

ฉวยโอกาสนี้ ฉินจิ่วเกอสำแดงเคล็ดหมื่นมารทมิฬ ใช้คุณลักษณะของผู้ฝึกวิชาปีศาจ เสาะสำรวจดูภายในอาคาร จริงดั่งคาด ภายในมีกลิ่นอายของผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ไม่อ่อนโทรมอยู่หลายขุม ล้วนเป็นมหายุทธ์กลั่นดวงธาตุทั้งสิ้น

“กำแหงนัก! ” ทันใดนั้น ภายในอาคารก็มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น กระแทกจิตเทวะของฉินจิ่วเกอออกมา

อาศัยเคล็ดลมปราณขั้นเจตจำนงสวรรค์ ฉินจิ่วเกอรู้ได้ทันทีว่าตนเทียบกับอีกฝ่ายไม่ได้ ซึ่งก็แปลว่า ระดับพลังที่แท้จริงของฝ่ายนั้นสามารถบดขยี้มันได้เลย

คิดได้ดังนี้ก็รีบรั้งพลังจิตกลับคืนมา ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนคนที่เป็นฝ่ายลงมือเมื่อครู่ คาดว่าคงเพราะกังวลว่าจะถูกเหล่าหัวหอกรับรู้ได้จึงไม่ได้ไล่ตาม หลังเกิดระลอกเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอยทันที

ฉินจิ่วเกอหลั่งเหงื่อชุ่มโชก มันรีบลดใบหน้าที่กำลังซีดเผือดลง ยังดีที่มันสวมหน้ากากปิดใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง จึงไม่ถูกใครพบเห็น

อืม? ไป๋หลี่ชิงเฉิงย่อมสัมผัสถึงการปะทะกันที่เกิดขึ้นในอาคารได้ พลังจิตของอีกฝ่ายแม้ไม่ทรงพลัง แต่กลับสามารถชำแรกเข้าไปในอาคาร จำต้องเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่งั้นแล้ว ต่อให้เป็นเก้าดวงธาตุสูงสุดเช่นเขาพิรุณเซียน ทันทีที่ใช้สัมผัสเทวะกวาดส่องเข้าไป ย่อมต้องถูกผลักกลับออกมาในทันที

หรือในละแวกนี้ยังมีสหายร่วมวิถีอยู่ด้วย?

“ฮิฮิ ชิงเฉินทราบดี ทุกท่านต่างก็เป็นยอดอัจฉริยะในใต้หล้า สุสานธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง ย่อมต้องยุ่งยากไม่คุ้มแรง แต่สุสานที่ชิงเฉิงค้นพบนี้ กลับไม่ธรรมดา”

ไป๋หลี่ชิงเฉิงกลับคืนสู่ท่วงท่าดุจบงกชเหมันต์ตามเดิม เสียงทิพย์ของนางแผ่กระจายออกไป ขยายความยั่วยวนกังวานไปทั่วพื้นที่

“ไม่ธรรมดายังไง? ” ไม่คาดหลงเฟิงกลับเป็นฝ่ายเปิดปากถามขึ้นคนแรก ก็มันยังติดเงินก้อนโตอยู่นี่นะ

ขอเพียงมันหาเงินสิบล้านนั้นมาได้ มันจะเอาเงินก้อนนั้นทุ่มใส่หน้าเจ้าคนสารเลวนั่นเป็นอย่างแรก ให้ศิลาวิญญาณทับมันจนตายไปเลย

ฉินจิ่วเกอปรบมือให้หลงเฟิงจากก้นบึ้งของหัวใจ เจ้าขอนไม้นี้ในที่สุดก็รู้จักคิดกับเขาบ้างแล้ว ถึงกับรู้จักวิธีหาเงิน เป็นเรื่องน่าฉลองนัก

“ที่จริงก็คือ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงอธิบายอย่างเป็นกันเอง “ครั้งหนึ่งอาวุโสของสมาพันธ์อู่ซิ่งได้เข้าไปสำรวจภายในสุสานแห่งนี้ ท่านค้นพบพันธนาการมากมาย หลังจากคลายออก ก็พบสมบัติเล็กๆ เข้าชิ้นหนึ่ง”

“สมบัติอะไร? ” ทุกคนเริ่มใจเต้นแรง แม้ไป๋หลี่ชิงเชิงจะบอกว่าเป็นสมบัติไม่มีค่าอะไร แต่การที่นางกล้าเอ่ยออกมาต่อหน้าสายตานับร้อยนับพันคู่ แปลว่าต้องมีดีในระดับหนึ่ง

โอสถระดับหก? ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ศาสตราโบราณ? หรือจะเป็นข่ายปราณบรรพกาลอันใด?

“เจ้าสมาพันธ์ เชิญ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงหันไปด้านหลัง จากในอาคาร ปรากฏชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา สีหน้าท่าทางดูอิดโรยจนเห็นได้ชัด เคราที่ปลายคางก็ดูคล้ายไม่ได้รับการดูแล

แลดูเลื่อนลอยไร้ชีวิตชีวาเหมือนผีตายซาก

ไม่ว่าคนผู้นี้ไปปรากฏอยู่ที่ใด ทุกคนย่อมต้องจำมันได้

มันก็คือเจ้าสมาพันธ์คนปัจจุบันของสมาพันธ์อู่ซิ่ง เป็นบุคคลที่เพียงกระทืบเท้า ตลอดทั้งเมืองเทียนเอินยังต้องสะท้านไหว

วาบ!

แสงสว่างเจิดจรัสทาบทับลงสู่เมืองเทียนเอิน ทะลวงผ่านเมฆา พัดกวาดพยับเมฆรอบด้านให้ปลิวหาย อำนาจจิตวิญญาณขุมใหญ่แผ่คลื่นระลอก แม้แต่กลั่นดวงธาตุยังต้องใจระส่ำระส่ายด้วยความหวาดกลัว

รูปลักษณ์ของมันคือเจดีย์องค์เล็กๆ ที่ดูไม่สะดุดตาองค์หนึ่ง ขนานนามว่าเจดีย์แปดสมบัติหมุนวิญญาณ

เจดีย์นี้มีขนาดสามชุ่น ฝังไว้ด้วยหยกผลึกร่วมร้อย หรูหราจนไม่อาจมีสิ่งใดเทียบเทียม

ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง!

ฮือฮา

ไกลออกไป เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีไม่รู้เผลอทำแก้วชาในมือแตกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ น้ำชาภายในถูกไอวิญญาณในลักษณะข้นเหลวประคองไว้ในอากาศ

นั่นคือศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางเชียวนะ เดิมทีสี่ขุมอำนาจสูงสุดมีกันเพียงแห่งละชิ้น

ก่อนหน้านี้ ตอนที่อาวุโสใหญ่พาฉินจิ่วเกอไปจากเมืองเทียนเอิน ก็ได้ริบเอาสมบัติวิเศษของสี่หัวหอกจากไปด้วย

เช่นนี้ ทั้งสี่ตระกูลจึงเหลือกันแค่ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำไม่กี่เล่ม คุณภาพไม่อาจนำมาเทียบเปรียบกันได้

โดยเฉพาะเจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนที่เป็นเก้าดวงธาตุขั้นสูงสุด ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำพวกนี้บรรจุพลังมหาวิถีดวงธาตุทองคำของมันได้ไม่ดีนัก

แต่ที่ทำให้เขาพิรุณเซียน ค่ายพรรคเดชมารและพรรคทรราชต้องน้ำตาตกในก็คือ ทั้งที่ทุกคนกลับกลายเป็นยาจกกันหมด มีแต่สมาพันธ์อู่ซิ่งที่อยู่ๆ ก็ปรากฏสมบัติวิเศษระดับนี้ออกมาอย่างน่าพิศวง ทำให้พวกมันไม่อาจสงบจิตใจลงได้